เลือกหน้า

วิธีการดูแลตนเองหลังเป็น Long Covid ทำอย่างไร

          ในปัจจุบันผู้ป่วยโควิดมีจำนวนมากขึ้นทุกวัน ส่วนใหญ่รักษา7-14วันก็จะหายไป แต่สิ่งที่ยังพบเจอในบางรายคือภาวะที่เรียกว่าลองโควิด จะมีระยะสั้นหรือยาวก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ดังนั้นในส่วนนี้ก็จะพูดถึงการดูแลตัวเองเบื้องต้นหากเกิดภาวะลองโควิด ให้ถูกต้องและถูกวิธี 

วิธีการดูแลตนเองหลังเป็น Long Covid ทำอย่างไร

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหลังเป็น long covid

-หลีกเลี่ยงข่าวสารด้านลบ

-หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์

-หลีกเลี่ยงยาชุด หรือยาที่นอกเหนือจากที่แพทย์แนะนำ

-หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง ของทอด ของมัน หรืออาหารรสจัด หมักดอง ย่อยยาก 

 

ข้อปฎิบัติหลังเป็น long covid

-พักผ่อนให้เพียงพอ เข้านอนให้เร็ว

-ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ

-ออกกำลังกายเบา ๆ ให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว

-งดเว้นการรับประทานอาหารร่วมกัน

-ล้างมือบ่อย ๆ

-สวมหน้ากากอนามัยใหถูกต้อง

-ไม่ใช้อุปกรณ์รับประทานอาหารและแก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น

 

                 ภาวะลองโควิดในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็ส่งผลต่อร่างกายหรือจิตใจของผู้ป่วยที่หายจากโควิด ซึ่งทางการแพทย์ก็ไม่สามารถระบุได้ ว่าจะอยู่กับตัวบุคคลไปนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างของผู้ป่วย เช่น โรคประจำตัว อายุ ดังนั้นผู้ที่หายจากโควิดแล้วมีภาวะลองโควิดต้องหมั่นสังเกตตัวเองและปฎิบัติตามมาตรการการป้องกันโควิดอย่างเคร่งครัดเพื่อที่จะได้ไม่กลับมาเป็นอีก

วิเคราะห์การสื่อสารออนไลน์ในกรณีคดีผู้กำกับโจ้

        สิงหาคม 2564 เกิดเหตุการณ์ที่กลายเป็นคดีสั่นสะเทือนวงการตำรวจไทย เมื่อปรากฏคลิปตำรวจทรมานผู้ต้องหาคดียาเสพติด ภายในห้องสอบสวน ด้วยการใช้ถุงดำคลุมศีรษะ และทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ชีวิต โดยผู้กระทำความผิดเป็นตำรวจระดับผู้กำกับการ คือ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งร่วมกระทำการกับลูกน้องตำรวจอีก 6 นาย ท้ายที่สุดผู้กำกับโจ้และตำรวจทุกคนได้รับการแจ้งข้อกล่าวหาและถูกจับกุมตามลำดับต่อมา

จากการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยิ่งทำให้ประเด็นดังกล่าวได้รับความสนใจจากประชาชน เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อกระบวนการทำงานของตำรวจไทยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จนทำให้คำว่า “ผู้กำกับโจ้” ติดคำค้นใน Google Trends และแฮชแท็ก #ผู้กำกับโจ้ ติดเทรนด์ทวิตเตอร์นานนับสัปดาห์ Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จึงได้จัดให้มีการศึกษาวิเคราะห์ความคิดเห็น อารมณ์ ความรู้สึกในสื่อออนไลน์ต่อคลิปตำรวจซ้อมผู้ต้องหา : กรณีศึกษาผู้กำกับโจ้ วิเคราะห์ข้อความจากการทวีต (Tweet) ของกลุ่มตัวอย่างบุคคลทั่วไป จำนวน 100 ข้อความ พบว่า ร้อยละ 96 สะท้อนความรู้สึกเชิงลบต่อคดีผู้กำกับโจ้ โดยจัดเป็นกลุ่มความเห็น ความรู้สึกต่อ เหตุการณ์ซ้อมทรมานในคลิปวิดีโอที่ปรากฏ การสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี ข้อมูลผู้กำกับโจ้ในเรื่องชีวิต ทรัพย์สิน ทั้งบ้าน รถหรู รวมถึงระบบ ระบอบ วิถีและวัฒนธรรมตำรวจ และการเชื่อมโยงไปถึงประเด็นทางการเมือง ประเด็นทางสังคม นอกจากนี้ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อเกี่ยวกับการรายงานข่าว หรือการแสดงความเห็นจุดยืนของดาราและคนดัง

          เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ. พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อย และประธานคณะกรรมการคณะอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยรังสิต อดีตนายตำรวจที่ปัจจุบันทำงานด้านวิชาการ ตลอดจนเป็นวิทยากรและให้ความเห็นเกี่ยวกับตำรวจในด้านต่าง ๆ เช่น การปฏิรูปตำรวจ กระบวนการยุติธรรม อาชญาวิทยา เป็นต้น รศ. พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงค์  วิเคราะห์ว่า เหตุที่พฤติกรรมของผู้กำกับโจ้และตำรวจที่ปรากฏในคลิปสร้างความสะเทือนใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ตามมา เพราะการกระทำในลักษณะดังกล่าวนั้น ไม่ใช่พฤติกรรมของตำรวจที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หากแต่เป็นพฤติกรรมของโจร เพราะตามปกติแล้วตำรวจสมควรเป็นผู้ผดุงกระบวนการยุติธรรม หากแต่ในกรณีของผู้กำกับโจ้ สะท้อนให้เห็นถึงข้อปัญหาที่ทำลายกระบวนการดังกล่าว นั่นย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อตำรวจไทยอย่างแน่นอน

          นอกจากนี้แล้วยังสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของตำรวจไทย ที่มีโครงสร้างแบบรวมศูนย์ ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) และประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ทำให้ตำรวจอยู่ภายใต้การเมืองโดยสมบูรณ์ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายการเมืองเข้ามากำหนดทิศทาง นโยบาย การบริหารงาน และเป็นอุปสรรคในการพัฒนากระบวนการยุติธรรม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปฏิรูปตำรวจให้เป็นไปตามหลักสากล เพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปสู่ระดับท้องถิ่น หรือในระดับภูมิภาค เพื่อให้เกิดความใกล้ชิดระหว่างตำรวจกับประชาชน รวมถึงมีการวางระบบการตรวจสอบ การถ่วงดุลอำนาจระหว่างจังหวัด ภูมิภาคหรือระดับท้องถิ่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความโปร่งใส และเรียกศรัทธาจากประชาชนที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจให้กลับคืนมาได้

นอกจากนี้ เรื่องการสื่อสารของภาครัฐก็สำคัญ โดย รศ. พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงค์ ได้แสดงความเห็นว่า ในกรณีของผู้กำกับโจ้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต้องตระหนักว่าเรื่องนี้เป็นการส่งสารไปยังประชาชนจำนวนมาก ดังนั้น ต้องมั่นใจและแน่ใจว่าสารที่ส่งออกไปนั้นเป็นความจริง เพื่อไม่ให้เกิดความคลางแคลงใจของประชาชนในภายหลัง

           ในส่วนการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ปัจจุบันสื่อกระแสหลักมีการหลีกเลี่ยงที่จะนำเสนอข่าวที่มีความหมิ่นเหม่ในประเด็นจริยธรรมและความรุนแรง โดยมีการใช้ภาพอินโฟกราฟิกเพื่อจำลองเหตุการณ์นั้น ๆ แทน อย่างไรก็ตาม ยังมีสื่อที่พยายามนำเสนอประเด็นข่าวในมิติมุมมองอื่น ๆ ที่แตกต่างจากสื่อกระแสหลัก เพื่อพยายามดึงดูดความสนใจของผู้รับสารให้ได้มากที่สุด ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้รับสารเป็นสำคัญว่าเลือกที่จะรับสารในลักษณะและประเด็นใด

           รศ. พ.ต.ท. ดร.กฤษณพงค์ ให้ข้อเสนอแนะอีกว่า ควรให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบพฤติกรรมตำรวจและบุคลากรภาครัฐอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เช่น ในกรณีของผู้กำกับโจ้ ที่มีอัตราในการเติบโตของตำแหน่งที่เร็วกว่า เมื่อเทียบกับรุ่นเพื่อนหรือแม้รุ่นพี่นักเรียนนายร้อยตำรวจ ที่รับราชการมาด้วยกัน ตลอดจนการครอบครองทรัพย์สินต่าง ๆ อย่างที่อยู่อาศัย และรถยนต์หรูเป็นจำนวนมาก เหล่านี้สะท้อนถึงช่องว่างของระบบการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนไม่มีการตั้งคำถามถึงพฤติกรรมที่ได้มาซึ่งตำแหน่งและทรัพย์สินนั้น ๆ ดังนั้น จำเป็นที่ต้องให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสร้างมาตรการโปร่งใส ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาล และสามารถแลกเปลี่ยนเพื่อป้องกันแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างเปิดเผย ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างฮ่องกงหรือสิงคโปร์ จะมีตำแหน่งที่เรียกว่าผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจ คอยทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง แบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่มืออาชีพ ภายใต้ 3 มาตรการ คือ มาตรการเชิงป้องกัน ประชาชนสามารถเป็นผู้ร้องเรียนหน่วยงานรัฐ เมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด เพื่อทำการสืบสวนหาความจริงต่อไป มาตรการเชิงปราบปราม คือ ความต่อเนื่องและเอาจริงเอาจังกับเจ้าหน้าที่ทุกระดับชั้น ให้รางวัลและค่าตอบแทนแก่เจ้าหน้าที่รัฐและผู้ที่ช่วยงานเจ้าหน้าที่รัฐอย่างชัดเจน และมาตรการให้ความรู้ โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยการบ่มเพาะแนะแนวทางที่ถูกต้อง เพื่ออนาคตต่อไป กลุ่มคนเหล่านี้จะมีวิจารณญาณที่ถึงพร้อมจะตัดสินเองได้ว่าสิ่งใดถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ควรทำหรือไม่ควรทำ วิธีการเช่นนี้เป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาระบบยุติธรรมในวงการตำรวจไทย และสร้างต้นแบบของพฤติกรรมที่ดีให้กับเยาวชนต่อไปในอนาคต

          ในส่วนประชาชนผู้ใช้สื่อออนไลน์ จำเป็นที่จะต้องพิจารณาว่าสิ่งที่สื่อนำเสนอนั้น เป็นความจริง หรือความเท็จ ตลอดจนต้องเพิ่มความระมัดระวังในการส่งข้อมูลข่าวสารต่อไปยังผู้คนหมู่มาก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ข้อความ ภาพ และเสียง ยิ่งเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนต่อสังคม ยิ่งต้องตระหนักมากเป็นพิเศษ และควรตั้งอยู่บนพื้นฐานเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์สร้างความตื่นเต้น สนุก และท้าทาย ทั้งนี้ ถ้าหากร่วมกันสร้างบรรทัดฐานการใช้สื่อออนไลน์ไปในทิศทางที่ถูกต้อง จะนำมาซึ่งประโยชน์ต่าง ๆ ตลอดจนการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ และป้องกันการกระทำความผิดจากการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ อันอาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตภายภาคหน้า

มนุษยธรรมในข่าวสงคราม

             สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่พิพาทระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงในเร็ววัน ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นกลายเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก การนำเสนอข่าวจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันของความขัดแย้งดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกันเหตุการณ์สงครามอาจเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ที่สื่อมวลชนต้องให้ความสำคัญ และต้องคำนึงถึงผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่จะเกิดขึ้นในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรับผิดชอบต่อสังคมในข้อเท็จจริงที่นำเสนอ อย่างคำนึงถึงมนุษยธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน

การรายงานข่าวความขัดแย้งและสภาวะสงครามควรเป็นแบบไหน ?

            บทความเรื่อง “ฝ่ายเสรีภาพสื่อฯ TJA แนะแนวทางรายงานข่าว ‘สงครามรัสเซีย-ยูเครน” เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 นายธีรนัย จารุวัสตร์ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย แสดงความเห็นต่อกรณีการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนในขณะนี้ว่า สถานการณ์ดังกล่าวเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนและประชาชนจำนวนมากทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย จึงขอเสนอแนวทางสำหรับสื่อมวลชนไทย ในการรายงานข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวิกฤติสงครามในประเทศยูเครน เพื่อให้มีความเป็นกลาง มีวิจารณญาณ และตั้งอยู่บนจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชน สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

ระมัดระวังในการใช้ภาพและคลิปจากโซเซียลมีเดีย สื่อมวลชนควรตรวจสอบรูปภาพ คลิปวิดิโอ และสื่อต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดียที่อ้างว่าเป็นภาพการสู้รบในประเทศยูเครนให้รอบคอบ ก่อนที่จะนำเสนอในช่องทางของสำนักข่าวตนเอง  ในกรณีที่สื่อมวลชนทราบภายหลังว่าได้เผยแพร่คลิปหรือภาพที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ควรปรับแก้เนื้อข่าวและชี้แจงข้อเท็จจริงกับผู้อ่านหรือผู้ชมโดยไม่ชักช้า

นำเสนอข่าวสารทางการจากฝ่ายต่าง ๆ อย่างรอบคอบ สื่อมวลชนควรตระหนักว่า ข้อมูลจากทางการในยามสงคราม มิได้เป็นข้อเท็จจริงเสมอไป และเมื่อสื่อมวลชนเสนอข่าวสารที่อ้างอิงจากข้อมูลทางการต่าง ๆ ควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็นคำอ้างของหน่วยงานใด ฝ่ายใด และคำกล่าวอ้างนั้น ๆ มีหลักฐานใด ๆหรือไม่ 

เน้นเสนอข่าวเกี่ยวกับประชาชนที่ประสบภัยสงคราม สื่อมวลชนไม่ควรนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสงครามเฉพาะในแง่แสนยานุภาพ กำลังอาวุธหรือยุทธวิธีอย่างเดียว แต่ควรเน้นนำเสนอชะตากรรมของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ไม่ว่าจะเป็นพลเรือน ผู้ลี้ภัย ผู้อพยพ ตลอดจนการประท้วงต่อต้านสงครามของประชาชนในประเทศต่าง ๆ  นอกจากนี้ สื่อมวลชนควรนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับบทบาทของหน่วยงานด้านมนุษยธรรมต่างๆ ในการช่วยเหลือและบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยสงคราม  

การเสนอภาพข่าวความสูญเสียในสงคราม ย่อมกระทำได้ แต่ควรยึดเอาจริยธรรมสื่อมวลชนเป็นสำคัญ อย่างอยู่ในขอบเขตของความพอดี หลีกเลี่ยงภาพหรือคลิปที่อุจาดตาหรือหวาดเสียวเกินความจำเป็น และไม่นำเอาความสูญเสียในสงครามมาเป็นเครื่องมือกระตุ้นเรตติ้งหรือยอดคลิกจนเกินงาม

ควรเลือกแปลข่าวสารจากสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือได้เท่านั้น สื่อมวลชนไทยที่มีหน้าที่แปลข่าวต่างประเทศควรตระหนักว่า สำนักข่าวต่างประเทศมีความน่าเชื่อถือและคุณภาพแตกต่างกันไป นักข่าวไทยจึงควรเลือกแปลข่าวสารจากสำนักข่าวประเภท “wire service” ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการสื่อมวลชนสากลในแง่ของความเป็นกลาง ข้อมูลเที่ยงตรง และตั้งอยู่บนหลักจริยธรรม และ สื่อมวลชนควรตระหนักด้วยว่า สำนักข่าวที่ควบคุมโดยรัฐบาลต่างๆ ย่อมเสนอข่าวสารที่มีลักษณะเป็นโฆษณาชวนเชื่อ แตกต่างจากสำนักข่าวที่ดำเนินการโดยอิสระ

 

มองสื่อไทยรายงานข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน

บทความเรื่อง “สงครามข้อมูลข่าวสาร รัสเซีย-ยูเครน” โดย สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ (2565) ได้ถอดประเด็นการพูดคุยจากรายการวิทยุ “รู้ทันสื่อกับสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ” วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2565 อากาศทางสถานีวิทยุ FM 100.5 อสมท. รศ.ดร.นรินทร์ นำเจริญ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะการสื่อสารมวลชน ได้วิเคราะห์การรายงานข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน ของสื่อมวลชนไทย ในมิติ แหล่งข่าว มุมมองการรายงาน สรุปได้ดังนี้

            แหล่งข่าว ข้อมูลข่าวสารการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่สื่อไทยนำมาใช้และนำเสนอในครั้งนี้ ส่วนใหญ่มักมีที่มาจากสื่อตะวันตก เช่น จากสำนักข่าว CNN หรือสำนักข่าว BBC ขณะที่ข่าวสารจากทางรัสเซียที่ผู้รับสารจะได้เห็นจากสื่อไทย มักจะมีเฉพาะข่าวที่มาจากการแถลงของนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย

            มุมมองการรายงานข่าว รศ.ดร.นรินทร์ นำเจริญ กล่าวย้อนดูการรายงานข่าวของเว็ปไซต์บีบีซีไทย พบว่า มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนในหลากหลายแง่มุม แต่ส่วนใหญ่ให้ความสนใจไปที่ยูเครนเป็นฝ่ายถูกกระทำ เช่นในบทความเรื่อง “รัสเซีย ยูเครน : ดูทีวีรัสเซียรายงานสงคราม เรื่องราวที่ถูกกลับด้านโดยสิ้นเชิง” วันที่ 3 มีนาคม 2565 โดยมีช่วงหนึ่งได้นำเสนอไว้ว่า

 

ผู้ประกาศหญิงของรอสสิยา 1 ก็เน้นย้ำถึงจุดประสงค์ในการเข้าไปในยูเครนว่า “เป็นการปกป้องตัวเองของรัสเซียจากพวกตะวันตก ซึ่งใช้ประชาชนยูเครนในการเผชิญหน้ากับมอสโก” และเพื่อเป็นการตอบโต้กับบรรดาข่าวปลอม ข้อมูลบิดเบือนที่แพร่หลายในอินเตอร์เน็ต รัฐบาลรัสเซียจึงได้ตั้งเว็บไซต์ใหม่ที่ให้แต่ข้อมูลจริงเท่านั้น

ขณะที่การนำเสนออีกส่วนหนึ่งของบีบีซีไทยแสดงความเห็นใจกับประชาชนในยูเครน เช่น ในบทความเรื่อง “รัสเซีย ยูเครน : เข้าสัปดาห์ที่ 3 ผู้ลี้ภัยสงครามมีมากแค่ไหน และหนีการรุกรานไปที่ใดบ้าง” วันที่ 11 มีนาคม 2565 โดยมีช่วงหนึ่งได้นำเสนอไว้ว่า

UNHCR เชื่อว่ามีพลเรือนกว่า 1 ล้านคนที่ต้องอพยพออกจากบ้านของตัวเองเพื่อหนีภัยการสู้รบไปอยู่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ประเมินว่ามีประชาชนในยูเครนราว 12 ล้านคนที่ต้องการความช่วยเหลือ

 

สำรวจข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครนในสื่อมวลชนไทย

ในเชิงปริมาณ

ผลการศึกษาล่าสุดของ Media Alert (2565) พบว่า 4 รายการข่าวยอดนิยม ที่ออกอากาศในช่วงเวลา 19.00 น.  คือ ข่าวค่ำมิติใหม่ (ช่อง Thai PBS) ไทยรัฐนิวส์โชว์ (ช่องไทยรัฐทีวี ) ทุบโต๊ะข่าว (ช่อง อัมรินทร์ทีวี) และข่าวแหกโค้ง (ช่อง GMM25) โดยทำการศึกษาเฉพาะวันที่ 11, 13 และ 15 มีนาคม 2565 พบว่าสัดส่วนการนำเสนอข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน มีความยาวเวลาการนำเสนอรวมของทั้ง 4 รายการจาก 4 สถานีที่ศึกษา คือ 75 นาที (1 ชั่วโมง 15 นาที) จากเวลาการนำเสนอรวมทั้งหมด 3 วันที่ทำการศึกษาคือ 21 ชั่วโมง 58 นาที หรือ การนำเสนอข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน คิดเป็นสัดส่วนเพียง 5.85% ของเวลาการนำเสนอข่าวทั้งหมดของ 4 สถานี และการรายงานข่าวส่วนใหญ่นั้นมาจากรายการข่าวค่ำมิติใหม่ ทางช่อง Thai PBS โดยไม่พบในรายการไทยรัฐนิวส์โชว์ และทุบโต๊ะข่าว ซึ่งเป็นรายการที่ได้รับเรตติ้งสูงของรายการเล่าข่าวในช่วงเวลาที่เลือกศึกษา

 

            งานการศึกษาของ Media Alert หากสรุปในเชิงปริมาณ กล่าวได้ว่า สื่อหลักเช่นสื่อโทรทัศน์ ในภาพรวม เสนอข่าวสถานการณ์สงคราม รัสเซีย-ยูเครน ในจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับข่าวอื่นๆ

             ส่วนประเด็นที่รายการข่าวโทรทัศน์ที่ Media Alert ศึกษา ได้นำเสนอนั้นไม่แตกต่างไปจากบทวิเคราะห์ที่นำเสนอไปข้างต้นมากนัก คือ มีการนำเสนอในประเด็นเกี่ยวกับ ความเห็น/บทสัมภาษณ์ หรือการสื่อสารของผู้นำของทั้งสองประเทศคู่สงคราม สถานการณ์สงคราม ทหารในสงคราม เช่น สงครามเคมี-ชีวภาพ ในยูเครน?, ขบวนกองทัพรัสเซียห่างจากกรุงเคียฟ 25 กิโลเมตร, รัสเซียถล่มศูนย์ฝึกร่วมของนาโต้ในยูเครน, ผู้นำยูเครนเชื่อมั่น รัสเซียไม่มีทางชนะ, จับตาทหารร่วมรบในยูเครน, ทหารอาสาต่างชาติในยูเครน ถูกกฎหมายหรือไม่? และ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ต่อภูมิศาสตร์โลก เป็นต้น ประเด็น สงครามส่งผลกระทบต่อประชาชน เช่น ยูเครนประกาศเคอร์ฟิวเมืองหลวง 36 ชั่วโมง และชาวยูเครนทยอยกลับประเทศ เป็นต้น ประเด็น สงครามส่งผลกระทบต่อการกีฬา เช่น อูซิก ลั่นไม่คิดคืนสังเวียนจนกว่าสงครามจะสงบ และสงครามรัสเซียส่งผลกระทบทุกวงการ ไม่เว้นแม้กระทั่งวงการกีฬา เป็นต้น สุดท้ายคือประเด็น สงครามส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศไทย เช่น วิกฤติรัสเซีย-ยูเครน คาดทำราคาน้ำมันขึ้น-สินค้าอื่นขึ้นตาม และสงครามกระทบห่วงโซ่อาหารสัตว์วอนรัฐเร่งหาทางออก เป็นต้น

 

ในเชิงเนื้อหา

เมื่อสำรวจบทความข่าวและเนื้อหาการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนไทยที่ปรากฎในสื่อออนไลน์ พบว่า ยังคงเน้นไปที่เป้าหมายและรูปแบบของสงคราม ความรุนแรงของสงครามในแง่ของการทำลายสิ่งปลูกสร้าง ฯลฯ ยกตัวอย่างชื่อบทความจากหลาย ๆ แหล่ง เช่น

รัสเซีย-ยูเครน สงครามยุคใหม่ ใครจะชนะ ? โดย ประชาชาติธุรกิจ

ยูเครน – รัสเซีย : รัสเซียโจมตีศูนย์ฝึกทหารในยูเครนใกล้พรมแดนโปแลนด์ โดย บีบีซีไทย

ด่วน! รัสเซียถล่ม “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์” ในยูเครน โดย ข่าวไทยพีบีเอส

สงครามสื่อยุคใหม่ เป็นอันตรายกว่า‘สงครามนิวเคลียร์’ โดย แนวหน้า

“วิกฤตยูเครน” ทำไมถึงขัดแย้งหนักจนอาจจุดชนวน “สงคราม” โดย ฐานเศรษฐกิจ        

 

บทบาทภาคสังคมต่อการทำหน้าที่ของสื่อหลักและการสื่อสารออนไลน์ ในช่วงข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน

            ในช่วงราว 1 เดือนที่ผ่านมา มีรูปธรรมเหตุการณ์ด้านสื่อและการสื่อสารในสังคมไทยที่เกี่ยวข้องกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน เช่น

            กรณีมีผู้ร้องเรียนต่อองค์กรวิชาชีพสื่อว่า รายการ ‘เล่าข่าวข้น’ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2565 นำคลิปจากสื่อสังคมมาเสนอว่าฝ่ายยูเครนจัดฉากศพพลเรือนผู้เสียชีวิตนับร้อยศพจากการถูกทหารรัสเซียรุกรานและสรุปว่าเป็น ‘ข่าวลวง’ (fake news) ซึ่งต่อมามีการชี้แจงจากรายการว่าความผิดพลาดจากการนำเสนอเพราะเชื่อถือในผู้เผยแพร่ และสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ได้สื่อสารขอโทษในความผิดพลาด

            กรณีการไลฟ์ขายของเมื่อ 6 มีนาคมที่ผ่านมาของแม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง พิมรี่พาย ซึ่งถูกสังคมทวิตเตอร์โจมตีอย่างหนักในเรื่องของการเอาสงครามที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ความสูญเสียของผู้คนมาเล่นเป็นมุกตลกในการขายของ อีกทั้งยังมีเสียงเอฟเฟคต์ตลกประกอบ ผู้ใช้ทวิตเตอร์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย โดยมองว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ในขณะที่ชาวโลกต่างสะเทือนใจกับสงคราม แต่มีคนดังชาวไทยเอาเรื่องนี้มาพูดเล่น

            กรณีไทยโพสต์ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2565 นำโพสต์แสดงความเห็นในโซเชียลมีเดีย  ซึ่งกล่าวหาว่านาย เซเลนสกี ใส่เสื้อยืดที่มีเครื่องหมายสวัสดิกะของนาซี-ฮิตเลอร์ มารายงานเป็นข่าว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เครื่องหมายดังกล่าวเป็นเครื่องหมายตราสัญลักษณ์กองทัพยูเครน จนมีผู้ทักท้วงถึงความผิดพลาด

            กรณี วันที่ 21 มีนาคม 2565 ทีมผู้บริหารสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) ได้เข้าพบกับเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทยเพื่อร่วมกันหารือสร้างความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันระหว่าง ททบ.5 กับสำนักข่าวรัสเซียโดยจะเน้นตาม ‘ข้อเท็จจริง’ ทุกด้านเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการบริโภคข่าวสารของประชาชน ให้เป็นไปตามความถูกต้อง แม่นยำ และทันสถานการณ์ โดยจะมีการลงนามให้ความร่วมมือในเร็วๆ นี้

 

            โดยก่อนหน้านี้ทาง ททบ.5 ได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักข่าวจีน China Media Group และสำนักข่าวของอิหร่าน

 

            ต่อมาวันที่ 23 มีนาคม 2565  เวลาประมาณ 21.30 น. สถานีโทรทัศน์กองทัพบก ททบ.5 แจ้งสื่อมวลชนว่า ขอยกเลิกการแถลงข่าว กรณีร่วมมือ รัสเซีย-จีน-อิหร่าน ในวันพรุ่งนี้ (24 มีค.) ช่วง 1400 น. โดยไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมจึงยกเลิกการแถลงข่าว แต่มีรายงานข่าวว่า กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 มีกำหนดที่จะไปพบหารือกับ เอกอัครราชทูตยูเครน ประจำประเทศไทย ในวันพรุ่งนี้ (24 มีค. จึงทำให้มีการวิเคราะห์ว่า อาจเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่เป็นกลาง ในกรณีสงคราม รัสเซีย-ยูเครน

ล่าสุดวันที่ 25 มีนาคม 2565  กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 กล่าวในรายการ “เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์” ในส่วนนโยบายงานข่าวของททบ.5 ว่า ช่อง 5 จะเข้าไปอยู่ในสงครามข่าวสาร ข่าวสารใดที่รัสเซีย ยูเครน จีน อิหร่าน คิดว่าไม่ถูกต้อง และต้องการให้คนไทยรู้ว่า สิ่งที่ถูกต้อง คือ อะไร ให้ส่งมาที่ ททบ.5 โดยได้สั่งการว่า ห้ามบิดเบือนข่าว ให้ออกทุกอย่างเหมือนกับที่ทางการ 4 ประเทศส่งมา เพราะเป็นข่าวที่สถานทูตรับรอง เพื่อคนไทยสามารถฟังทั้งสองฝั่ง และไปพิจารณาเองว่า ใครเสนอข่าวเท็จ ใครเสนอข่าวจริง

 

บทสรุป

            หลักการสำคัญในการนำเสนอข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน ของทั้งสื่อหลักและสื่อออนไลน์ทั่วไป  คือ ต้องสื่อสารอย่างคำนึงถึงจริยธรรม โดยเฉพาะความถูกต้อง เที่ยงตรงของข้อมูล ด้วยการอ้างถึงหรือนำเสนอข่าวจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้แล้ว ยังมีเรื่องของหลักสิทธิมนุษยชน และ หลักมนุษยธรรมที่สื่อต้องคำนึงถึงด้วย ขณะเดียวกัน ภาคสังคมผู้รับสื่อก็ควรจะร่วมมีบทบาทในการตรวจสอบ ทักท้วงสื่อ รวมถึงการสื่อสารออนไลน์ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน

            สงครามคือความเศร้า ความสูญเสีย แม้พลเมืองโลกส่วนใหญ่คงอยากให้ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ยุติ ลงโดยเร็ว แต่ในความเป็นจริงก็ยากที่จะระบุว่าสงครามครั้งนี้ จะยุติลงเมื่อไร จะสร้างความสูญเสีย ความเสียหาย ต่อประชาชนและประเทศคู่สงคราม และสร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ฯลฯ ให้กับประเทศต่างๆ ไปอีกนานแค่ไหน เพียงใด แต่ในหลักการการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์แล้ว ถ้าสื่อและนักสื่อสารออนไลน์ ยึดมั่นใน ความถูกต้อง ความเที่ยงตรงของข้อมูล หลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน ควบคู่ไปกับ การนำเสนอหรือการวิเคราะห์เพื่อหาทางออกจากสงคราม เพื่อลดความสูญเสีย ไม่มุ่งเสนอเพียงความขัดแย้ง สถานการณ์การสู้รบ การวิเคราะห์ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ หรือการเสนอข่าวอย่างฝักใฝ่หรือถือข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะนั่นคือการสื่อสารอย่างขาดจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งที่ ในความเป็นมนุษย์ หากเห็นคุณค่าชีวิตผู้อื่น เช่นชีวิตตนเอง สงครามคือการพลัดพราก การสูญเสีย ความเสียหาย ทั้งต่อชีวิต และอื่นๆมากมาย ดังนั้น ความขัดแย้งรุนแรงในสงครามทุกครั้ง ควรเป็นบทเรียนต่อมนุษยชาติในการร่วมสร้างศักยภาพความร่วมมือในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ก่อนนำไปสู่ความรุนแรงของสงคราม 

Long COVID อาการที่เกิดขึ้นหลังจากติดเชื้อโควิด 19

               ผู้ที่หายจากโรคโควิดแล้ว อาจจะมีข้อสงสัยว่าทำไมถึงยังมีอาการอยู่หรือบางรายก็ยังมีอาการที่เป็นต่อเนื่องนานกว่าปกติ โดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับกลุ่มที่มีโรคประจำตัว อาจจะอยู่กับผู้ที่ป่วยตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป หรือบางรายอาจจะมากน้อยก็แล้วแต่ตัวบุคคล ซึ่งอาการเหล่านี้เรียกว่าภาวะลองโควิด  (Long covid) เรามาทำความรู้จักกับภาวะลองโควิดกันให้มากขึ้น เพื่อรู้เท่าทันวิธีการป้องกันหรือการปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงกันดีกว่า

 

Long Covid คืออะไร

Long COVID  คือ อาการที่เกิดขึ้นหลังจากติดเชื้อโควิด อาการที่เกิดขึ้นจะไม่ได้มีลักษณะ

ตายตัว ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล สามารถเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย โอกาสที่จะเกิดภาวะ Long COVID เกิดขึ้นได้ 30-50%  

 

อาการมีอะไรบ้าง

-ปวดหัว มึนงง ไม่สดชื่น

– ความจำสั้น สมาธิสั้น

-แสบตา คันตา น้ำตาไหล

-คัดจมูก จมูกไม่ได้กลิ่น

-การรับรสชาติอาหารเปลี่ยนไป หรือพบอาการชาที่ลิ้นในบางราย

-มีอาการไอ หอบเหนื่อย หายใจไม่ทัน

-ใจสั่น เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก

-มีไข้

-ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย

-ปวดข้อ กล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง

-มีภาวะสมองล้า

-นอนไม่หลับ

-ความดันโลหิตสูง

-วิตกกังวล ซึมเศร้า

 

กลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอาการ Long COVID คือกลุ่มใดบ้าง

-ผู้สูงอายุ

-ผู้ทีมีภาวะอ้วน

-ผู้ที่มีโรคประจำตัว

-ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ

-ผู้ที่ขณะติดเชื้อโควิด 19 มีอาการรุนแรง กลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงในการเกิด Long COVID ได้มากกว่ากลุ่มที่ติดเชื้อและไม่มีอาการ

               อาการลองโควิดอย่างที่เราทราบกันดีว่าเกิดจากการที่ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นวิธีที่จะช่วยให้ผู้ป่วยลดการเป็นภาวะลองโควิด คือการปฎิบัติตัวเองเบื้องต้นตามมาตรการการป้องกันโควิดอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด ก็จะช่วยให้ลดภาวการเกิดลองโควิดได้และที่สำคัญคือ ควรตรวจสอบความผิดปกติของร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอ และพบแพทย์เพื่อประเมินระดับสุขภาพของตนเองเมื่อรู้สึกว่าร่างกายมีอาการผิดปกติ

เจอ แจก จบ

แนวทางการรักษาแบบผู้ป่วยนอก “เจอ แจก จบ” แก่ผู้ป่วยโควิด เป็นแนวทางการรักษาระบบใหม่ ที่เพิ่มจากระบบการรับตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล (รวมฮอสพิเทลกับโรงพยาบาลคู่สัญญา) โรงพยาบาลสนาม การกักในชุมชน กักตัวที่บ้าน ที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ขั้นตอนการเข้าระบบการรักษา ดังนี้

  หากมีอาการทางเดินหายใจหรือประวัติสัมผัสเสี่ยงสูง เมื่อตรวจ ATK ด้วยตนเอง แล้วผลเป็นบวก

  โทรสายด่วนเบอร์ 1330 สายด่วนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

  ไปรับบริการที่คลินิกทางเดินหายใจ (ARI Clinic) หรือคลินิกสงสัยผู้ติดเชื้อ (PUI) ที่มีในทุกโรงพยาบาล

  หากมีภาวะเสี่ยง ให้โทรติดต่อโรงพยาบาลที่มีสิทธิการรักษาเพื่อประเมิน ภาวะเสี่ยงได้แก่ เป็นกลุ่ม 608 มีโรคประจำตัวเสี่ยงสูงเรื้อรัง หรือตั้งครรภ์ โดยอาการที่ติดเชื้อโควิดต้องมีอาการไม่มาก จะให้เข้าระบบการกักตัวที่บ้าน ชุมชน กักตัวที่โรงแรม และฮอสพิเทล แต่หากมีภาวะเสี่ยงและอาการรุนแรงจะส่งรับการรักษาในโรงพยาบาล

เมื่อแพทย์ประเมินแล้วว่า มีความพร้อมและไม่มีภาวะเสี่ยง สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัวเองที่บ้าน แพทย์จะสั่งจ่ายยาตามระดับอาการของโรค

การจ่ายยา

  1. ยาฟาวิพิราเวียร์
  2. ยาฟ้าทะลายโจร
  3. ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ แก้ไอ ลดน้ำมูก