เลือกหน้า

การรักษา COVID-19 ในคุณแม่ตั้งครรภ์

กลุ่มที่อาการน้อย  : สัญญาณชีพปกติ

กลุ่มที่อาการรุนแรง : มีอัตราการหายใจ 30 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป หรืออยู่ในภาวะช็อค

.

การรักษา

  1. การให้สารน้ำ แก้ไขภาวะขาดสมดุลของเกลือแร่ 
  2. ให้ออกซิเจน 
  3. การให้ยาต้านไวรัสที่ใช้ในรายที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
  4. ให้ยาปฏิชีวนะ ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเดิม เช่น Ceftriaxone 

.

การดูแลที่คลินิกฝากครรภ์ 

– ควรเลื่อนนัดเพื่อมาฝากครรภ์ ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง หรือตรวจคัดกรองเบาหวานไปจนกว่าจะพ้นช่วงกำหนดเวลากักตัว หรือจนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อ 

– กรณีจำเป็นต้องนัดติดตาม ให้ใช้การป้องกันการแพร่เชื้อตามมาตรฐานของโรงพยาบาล

การให้ยาบางชนิด ที่ต้องคำนึงถึงอายุครรภ์และทารก 

การไม่สามารถนอนคว่ำเพื่อให้ออกซิเจนเพิ่มขึ้นได้ เพิ่มโอกาสที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ 

.

ข้อปฏิบัติเบื้องต้นสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

  1. ฉีดวัคซีน 
  2. เว้นระยะห่างทางสังคม
  3. ล้างมือสม่ำเสมอ
  4. กินอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่
  5. สวมหน้ากากอนามัย ตลอดเวลาเมื่ออยู่นอกบ้าน

ประกวดคลิป “เยาวชนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์วัฒนธรรม” ภายใต้โครงการสร้างสรรค์ไทย (Creative Thai)

กิจกรรมประกวดสื่อสร้างสรรค์ สําหรับเด็กและเยาวชน

ในหัวข้อ “เยาวชนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์วัฒนธรรม”

ภายใต้โครงการ สร้างสรรค์ไทย (Creative Thai)

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดกิจกรรมประกวดสื่อสร้างสรรค์ สําหรับเด็กและเยาวชน ในหัวข้อ “เยาวชนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์วัฒนธรรม” ภายใต้โครงการ สร้างสรรค์ไทย (Creative Thai) เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยการถ่ายทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านกระบวนการบอกเล่าเรื่องราว ที่สร้างความน่าสนใจ และความตระหนักรู้ในวัฒนธรรมอันดีงามของคนในชุมชนและสังคม ผ่านรูปแบบการผลิตสื่อวีดิทัศน์ (คลิปวิดีโอ) โดยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่
ชิงเงินรางวัลรวม 380,000 บาท จํานวน 18 รางวัล พร้อมโล่รางวัลจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้แก่
  • รางวัลชนะเลิศ จํานวน 1 รางวัลๆ ละ 50,000 บาท
  • รองชนะเลิศอันดับ 1 จํานวน 2 รางวัลๆ ละ 40,000 บาท
  • รองชนะ เลิศอันดับ 2 จํานวน 4 รางวัลๆ ละ 30,000 บาท
  • รางวัลชมเชย จํานวน 10 รางวัลๆ ละ 10,000 บาท
  • รางวัล Popular Vote จํานวน 1 รางวัลๆ ละ 30,000 บาท
เปิดรับสมัครผลงานตั้งแต่ 16 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 นี้
ผ่านเว็บไซต์ http://ymc.regist-master.com/

วิธีป้องกันผู้สูงอายุอย่างไรไม่ให้ติดโควิด 19 ในช่วงสงกรานต์

ถึงแม้จะมีการระบาดของโควิด แต่ด้วยความรุนแรงที่ไม่มากนัก จึงทำให้รัฐบาลตัดสินใจไม่ห้ามการฉลองในเทศกาลสงกรานต์ แต่ลูกหลานก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใหญ่ในบ้านด้วย ดังนั้นหากต้องกลับบ้านควรปฏิบัติตนให้เคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและคนในครอบครัว โดยมีหลักง่าย ๆ ดังนี้

 

1) ญาติผู้ใหญ่ ควรรีบฉีดวัคซีนให้ครบ 3 เข็มภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2565 เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันขึ้นสูงสุด 14 วันหลังฉีดเข็ม 3 พอดีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กรณีที่ยังไม่เคยฉีดเลย หรือฉีดไปแล้ว 1 เข็ม ขอให้เร่งฉีดเข็มเพิ่มเติมทันที

2) ก่อนเดินทาง ขอให้ทุกคนได้ฉีดวัคซีนให้ครบ 3 เข็มด้วย

3) ก่อนออกเดินทางไม่เกิน 3 วัน ขอให้ทำการตรวจ ATK ว่าตัวเองมีผลเป็นลบ ถ้าผลเป็นบวก ขอให้          งดเว้นการเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่

4) ในระหว่างเดินทาง ถ้าหากเดินทางโดยบริการสาธารณะ ต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาอย่างเคร่งครัด

5) เมื่อถึงบ้าน ขอให้หลีกเลี่ยงการถอดหน้ากาก โดยเฉพาะถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการทานอาหารร่วมกัน เว้นระยะห่างให้มาก และไม่ประมาท

6) เมื่อเดินทางกลับมาทำงานแล้ว ขอให้ทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) เป็นเวลา 7 วัน 

 

ข้อปฏิบัติเบื้องต้นดังกล่าวเป็นสิ่งง่าย ๆ ที่ประชาชนทุกคนสามารถปฏิบัติได้ และไม่ยุ่งยากจึงขอให้ปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด เพื่อคนในครอบครัว ตนเอง และสังคมโดยรวม

การบริหารจัดการสถานการณ์โควิด 19 สู่โรคประจำถิ่น

มาตรการการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด 19 สู่โรคประจำถิ่น มีอะไรบ้าง

ในปัจจุบันประชาชนยังสามารถรักษาโรคโควิด 19 ได้ทุกที่ ส่วนในอนาคต ผู้ป่วยโควิด จะรักษาฟรีตามสิทธิของแต่ละคน  และประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่การปรับแผนโควิดให้เป็นโรคประจำถิ่นโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 

เป้าหมายของการปรับโควิด 19 สู่โรคประจำถิ่น มีดังนี้

– การเข้าถึงการดูแลรักษาได้อย่างรวดเร็ว มีคุณภาพ อัตราป่วยตายไม่เกิน 0.1%

– ความครอบคลุมวัคซีนเข็มกระตุ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 60% 

– สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และความร่วมมือของประชาชนในการรับมือ และปรับตัว เพื่ออยู่ร่วมกับ  โควิด 19 จาก Pandemic Endemic อย่างปลอดภัย

 

สำหรับสาระสำคัญของแผนและมาตรการของการปรับโควิด 19 สู่โรคประจำถิ่น แบ่งเป็น 4 ด้าน ดังนี้

 

1.ด้านสาธารณสุข

– เร่งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 60%

– ปรับระบบการเฝ้าระวัง เน้นการระบาดเป็นกลุ่มก้อน และผู้ป่วยปอดอักเสบ 

– ผ่อนคลายมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ

– ปรับแนวทางแยกกักตัวผู้ป่วย และกักกันผู้สัมผัส

 

2.ด้านการแพทย์

– ปรับแนวทางการดูแลรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD)

– ดูแลผู้ป่วยที่เสี่ยงอาการรุนแรง และมีอาการรุนแรง รวมทั้งภาวะ Long COVID

 

3.ด้านกฎหมายและสังคม

– บริหารจัดการด้านกฎหมายในทุกหน่วยงานให้สอดคล้องกับการปรับตัวเข้าสู่ Post pandemic

– ผ่อนคลายมาตรการทางสังคม ลดการจํากัดการเดินทางและการรวมตัวของคนหมู่มาก

ทุกภาคส่วนส่งเสริมมาตรการ UP, COVID Free Setting

 

4.ด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ 

– ทุกภาคส่วนร่วมสร้างความรู้ความเข้าใจ และพฤติกรรมให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตร่วมกับโควิด 19 อย่างปลอดภัย (Living with COVID-19)

– สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างครอบคลุมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และสร้างความร่วมมือของประชาชนในแต่ละช่วงเวลา

 

5.ไทม์ไลน์ของการดำเนินการ แบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้

ระยะ Combatting (ระดับ 4) เริ่มตั้งแต่ 12 มี.. – ต้นเม..2565

ระยะ Plateau (ระดับ 3) ตั้งแต่ เม.. – .. 2565 

ระยะ Declining (ระดับ 2) ตั้งแต่ปลาย .. – มิ.. 2565

ระยะ Post pandemic (ระดับ 1) ตั้งแต่ 1 .. เป็นต้นไป

 

ดังนั้นหากติดเชื้อโควิดหลังจากที่รัฐบาลประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นแล้วประชาชนต้องศึกษาหลักเกณฑ์การใช้สิทธิ์หรือเงื่อนไขให้ดีในการที่จะเข้ารับการรักษา