เลือกหน้า

การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ในเด็กและวัยรุ่น ยังคงเป็นความห่วงใยและสงสัยในกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองว่าควรจะมีแนวทางอย่างไร จึงจะไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ และมีความปลอดภัยต่อชีวิตบุตรหลานของตัวเอง เพื่อให้มีความที่เข้าใจถูกต้องตรงกัน จึงขอนำเรื่องควรรู้การฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 ในเด็กและวัยรุ่นมาบอกกล่าวกัน ดังนี้

ข้อแนะนำ  

  1. ปัจจุบันแนะนำให้ฉีดวัคซีนเฉพาะในเด็กและวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงซึ่งมีโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคอ้วน โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ โรคเบาหวาน กลุ่มโรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง เด็กที่มีพัฒนาการช้า โดยยังไม่แนะนำการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กทั่วไป
  2. ไม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 พร้อมกับวัคซีนชนิดอื่น ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 14 วัน ยกเว้นการฉีดวัคซีนที่มีความจำเป็นเช่น วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเมื่อเด็กถูกสัตว์กัด
  3. เด็กและวัยรุ่นหญิงที่มีประจำเดือน อยู่ในระยะหลังคลอด หรือให้นมบุตร สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ได้
  4. เด็กและวัยรุ่นที่หายจากโรคโควิด-19 หรือโรคแทรกซ้อนจากโรคโควิด-19 และโรคคาวาซากิ (MIS-A หรือ MIS-C) ควรเว้นระยะการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ห่างจากวันที่ตรวจพบเชื้อ 1-3 เดือน โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการรักษาด้วยพลาสมา ควรได้รับวัคซีนทันทีเมื่อครบกำหนด 90 วัน

           นอกจากข้อแนะนำแล้ว ยังมีข้อที่ควรระวังมาฝากกันด้วย 

ข้อควรระวัง

  1. เด็กและวัยรุ่นที่มีอาการแพ้วัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 อย่างรุนแรงภายหลังจากการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 หรือแพ้สารที่เป็นส่วนประกอบของวัคนอย่างรุนแรง ควรรับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อพิจารณาเลื่อนหรือเปลี่ยนชนิดวัคซีนในเข็มที่ 2
  2. หากเด็กและวัยรุ่นมีประวัติสัมผัสเสี่ยงใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคโควิด 19 ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปจนกว่าเด็กจะได้รับการตรวจยืนยันว่าไม่ติดเชื้อโรคโควิด 19
  3. วัยรุ่นหญิงที่ตั้งครรภ์ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเมื่อมีอายุครรภ์มากกว่า 3 เดือนขึ้นไป

              เพื่อความปลอดภัยของบุตรหลานของท่านที่ยังอยู่ในวัยเด็กและวัยรุ่น พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 โดยขอให้ฏิบัติตามคำแนะนำ และข้อควรระวังกันอย่างเคร่งครัด และหากมีข้อสงสัยที่ยังไม่เข้าใจอย่างไร ขอให้ท่านไปสอบถามข้อมูลเพื่อให้เกิดความสบายใจจากบุคลากรทางการแพทย์ใกล้บ้านท่านได้ก่อนพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีน

อ้างอิง : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย