เลือกหน้า

ปัจจุบันมีการฉีดวัคซีนอยู่ 2 แบบ คือ การฉีดเข้าผิวหนัง และ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จากการวิจัยพบว่า “การฉีดเข้าผิวหนัง เสี่ยงต่ำกว่า ผลข้างเคียงน้อยกว่า ภูมิคุ้มกันเทียบเท่า” และยังมีการยืนยันว่า การฉีดเข้าชั้นผิวหนังก็สามารถจัดการสายพันธ์เดลต้าได้ มาดูข้อดี และข้อเสียของแต่ละแบบกัน

ข้อดี-ข้อเสีย การฉีด “วัคซีนเข้าชั้นผิวหนัง”
CVC กลางบางซื่อ โพสต์ข้อความเรื่อง “ทางเลือกเข็มกระตุ้นรูปแบบพิเศษ” โดยระบุว่า ทางเลือกเข็มกระตุ้นรูปแบบพิเศษชนิดวัคซีนไฟเซอร์ (เข็มที่ 3, 4) เป็นไปด้วยความสมัครใจ โดยมี 2 รูปแบบ คือ
1. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครึ่งโดส ขนาดยา 15mcg/dose (0.15 ml)
2. ฉีดเข้าชั้นผิวหนังขนาดยา 10 mcg/dose(0.1 ml)

การฉีดเข้าชั้นผิวหนัง
ข้อดี คือ ประสิทธิภาพการกระตุ้นภูมิฯ ใกล้เคียงกับรูปแบบปกติเต็มโดส แต่จะมีอาการไม่พึงประสงค์เชิงระบบเช่น มีไข้
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้อยกว่ารูปแบบปกติ
ข้อเสีย คือการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง อาจจะมีอาการเจ็บบริเวณที่ฉีดมากกว่าฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

ประโยชน์ที่สำคัญคือในเรื่องของความปลอดภัยและผลแทรกซ้อน
1.การฉีดเข้าชั้นผิวหนังจะใช้ปริมาณน้อยมาก ดังนั้น การกระตุ้นทำให้เกิดผลแทรกซ้อน หรือผลข้างเคียงจะน้อยกว่า
2.ยังสามารถอธิบายได้จากการที่การฉีดเข้าชั้นผิวหนังนั้น กลไกในการกระตุ้นภูมิจะแยกออกอีกสายที่เรียกว่าเป็น Th2 ในขณะที่การฉีดเข้ากล้ามการกระตุ้นจะเป็นสาย Th1 และสาย Th1 นี้เอง ที่เป็นขั้นตอนกระบวนการของโควิด ที่ทำให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง ต่อจากเม็ดเลือดขาว นิวโตรฟิล และต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดมีลิ่มเลือดอุดตัน หรือเนื้อเยื่อและอวัยวะอักเสบทั่วร่างกาย รวมกระทั่งถึงกล้ามเนื้อหัวใจและสมองอักเสบ ที่เราเรียกว่ามรสุมภูมิวิกฤติ (cytokine storm)
3.ทั้งนี้เราทุกคนต้องไม่ลืมว่าวัคซีนนั้น คือร่างจำลองของไวรัสโควิดนั่นเองและส่วนที่วัคซีนทุกยี่ห้อนำมาใช้นั้นจะมีส่วนหรือชิ้นของไวรัสที่เกาะติดกับเซลล์มนุษย์ และเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่ทำให้เกิดการอักเสบ จาก ACE2 รวมกระทั่งถึงการทำให้มีความเบี่ยงเบน ขาดสมดุลระหว่าง Th1 และTh2 โดยออกไปทาง Th1 และ ต่อด้วยอีกหลายสายย่อย รวมทั้ง 17 เป็นตัน รวมทั้งกระตุ้นการสร้างภูมิที่กลายเป็นตัวไวรัสจำแลง anti-idiotypic antibody

ผลข้างเคียงที่พบจากการ “ฉีดวัคซีนเข้าชั้นผิวหนัง”

1.การฉีดเข้าชั้นผิวหนังไม่ต่ำกว่า 400 ราย ได้ผลดีและมีผลข้างเคียงเป็นเฉพาะที่ตุ่มแดง หรือคัน โดยผลข้างเคียงรุนแรงไข้ปวดหัวปวดเมื่อย และอาการร้ายแรงอื่น ๆ ไม่ปรากฏ หรือน้อยมาก
2.ประสบการณ์การศึกษาของ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และจากโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ก็ได้แสดงถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในลักษณะเดียวกัน โดยผลข้างเคียงที่เกิดแก่ระบบทั่วร่างกาย ต่ำกว่าการฉีดเข้ากล้าม 10 เท่าหรือมากกว่า

สรุปประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการฉีดวัคซีนเข้าในชั้นผิวหนัง
จากผลการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยของค่าภูมิคุ้มกันหลังฉีด 2 สัปดาห์นั้น สูงถึง 17,662.3 AU/ml เลยทีเดียว และปฏิกิริยาทั่วร่างกายที่เกิดขึ้นก็น้อยกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

การศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 30 คน โดยทีมนักวิจัยจากเนเธอร์แลนด์ ทดสอบการฉีด Moderna Vaccine ใหม่ โดยแทนที่จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscular Injection: IM) 2 เข็มห่างกัน 4 สัปดาห์ เปลี่ยนเป็นฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง  (Intradermal Injection: ID) 2 เข็มห่างกัน 4 สัปดาห์แทน จากนั้น ได้ทำการวัดระดับแอนติบอดี้ เมื่อฉีดครบ 2 สัปดาห์แล้ว พบว่า ระดับ anti-spike และ anti-RBD สูงเทียบเท่ากับการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ โดยที่ผลข้างเคียงแทบไม่ต่างกันเลย

สอดรับกับ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ก็ได้กล่าวถึงผลการวิจัยภูมิคุ้มกันและความปลอดภัย จากการได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข้าชั้นผิวหนัง ซึ่งเป็นการวิจัยที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยฉีด “วัคซีนเข็ม 3” หรือบูสเตอร์โดส ให้กับอาสาสมัครที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มมาแล้ว 4 – 8 สัปดาห์ และ 8 – 12 สัปดาห์ ซึ่งเปลี่ยนจากการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เป็นฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง หลังจากนั้น 14 วัน ได้เจาะเลือดเพื่อตรวจผลข้างเคียงและการเกิดภูมิคุ้มกัน พบว่า เกิดอาการเฉพาะที่หรือจุดที่ฉีดมากกว่าการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เช่น อาการปวด บวม แดง คลำแล้วเป็นไ
อาการทั่วไปของร่างกายที่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น เช่น ไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย น้อยลง เมื่อเทียบกับการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

การตอบสนองภูมิคุ้มกัน สำหรับส่วนของภูมิทั่วไป พบว่า หากฉีดซิโนแวค 2 เข็ม ในภาพรวมจะมีภูมิขึ้นมาประมาณหนึ่ง แต่หากฉีดกระตุ้นไม่ว่าจะฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือชั้นผิวหนัง และไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา 4 – 8 สัปดาห์ หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย พบว่าเกิดภูมิเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างสูงใกล้เคียงกัน

ขณะที่การยับยั้งโควิด 19 สายพันธุ์เดลตา พบว่า หากฉีด 2 แบบเปรียบเทียบกัน ได้ผลไม่แตกแต่งกันมาก ดังนั้น ยืนยันว่า การฉีดเข้าในชั้นผิวหนังสามารถจัดการสายพันธุ์เดลตาได้เช่นกัน

อ้างอิง : กองส่งเสริมความรอบรู้และสื่อสารสุขภาพ กรมอนามัย