เลือกหน้า

กองทุนสื่อเปิดตัวห้องสมุดออนไลน์รวบรวมสื่อพระพุทธศาสนา 5 ประเภทในรูปแบบ Virtual Exhibition ให้ชาวพุทธทั่วโลกเข้าชมได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในการจัดงานมหกรรมพุทธธรรมนำสื่อสร้างสันติสุขปีที่ ๒ “สื่อ ธรรม ดี”

(๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๖) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้เปิดตัวห้องสมุดออนไลน์โดยรวบรวมสื่อพระพุทธศาสนา 5 ประเภท ในรูปแบบ Virtual Exhibition สื่อออนไลน์เสมือนจริง โดยจัดต่อเนื่องเป็นครั้งที่ ๒ ในชื่องาน “มหกรรมพุทธธรรมนำสื่อสร้างสันติสุข ปีที่ ๒” “สื่อ ธรรม ดี” เปรียบเสมือนห้องสมุดออนไลน์ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนา เพิ่มเติมกว่า ๑๐๐ รายการ เพื่อเผยแผ่ให้ประชาชนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ สามารถเข้าถึงธรรมะได้โดยง่ายและกว้างขวาง อีกทั้งยังนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุข ภายใต้แนวคิด “อยู่ที่ไหนก็เข้าถึงธรรมะได้ เพียงปลายนิ้วสัมผัส” โดยแบ่งนิทรรศการออกเป็น ๕ หมวดสาระสำคัญ ได้แก่ ๑. นิทรรศการดูธรรม, ๒. นิทรรศการฟังธรรม,๓. นิทรรศการอ่านธรรม, ๔. นิทรรศการสนทนาธรรม, ๕. นิทรรศการท่องเที่ยวธรรม

ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร(วัดโพธิ์)

ภายในงานยังจัดกิจกรรม On Ground Event ซึ่งจัดขึ้นในวันพุธที่ ๑๓ และวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๖ โดยมีกิจกรรมมากมาย เช่น Walk Rally ธรรม..นำจิต สื่อ..นำใจ / การเสวนา “เทศน์ ทอล์ก” ในหัวข้อ
“สุขด้วยธรรม” และหัวข้อ “สื่อ ธรรม ดี” โดยวิทยากรและศิลปินรับเชิญ ผู้มีความรู้ ความเข้าใจและผู้ศึกษา
ด้านพระพุทธศาสนา อาทิ พระสุธีวชิรปฏิภาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ,
พระเทพวัชราจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม , นางสาวอรอุมา เกษตรพืชผล ตัวแทนสื่อสารมวลชน, นางสาววนิ อินพุทธ , นายเพลิน พรหมแดน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ดนตรีไทยลูกทุ่ง ประจำปี๒๕๕๕ ,ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เป็นผู้ดำเนินรายการกิตติมศักดิ์ นอกจากนี้ยังเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้มีโอกาสแสดงความรู้ ความสามารถเชิงสร้างสรรค์ทางพุทธศาสนา โดยได้จัดทำโครงการประกวดคลิปสั้น “หนูได้ธรรม” ในหัวข้อ “การให้ข้อคิดธรรมะในชีวิตประจำวัน” ซึ่งมีเงินรางวัลรวมกว่า ๕๐,๐๐๐ บาท โดยผลงานที่ได้รับรางวัลทั้งหมดจะนำไปเผยแพร่ในรูปแบบ Virtual Exhibition

โดยการเปิดตัว Virtual Exhibition ครั้งนี้เป็นกิจกรรมวันที่ 2 ของงาน และได้รับเกียรติจาก ดร.ธนกร ศรีสุขใส
ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมพุทธธรรมนำสื่อสร้างสันติสุข ปีที่ ๒ “สื่อ ธรรม ดี” พร้อมด้วย ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, ร้อยโท ดร.ธนกฤษฏ์ เอกโยคยะ รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, เครือข่ายด้านพระพุทธศาสนา, แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนเข้าร่วม ปิดท้ายด้วยการแสดงคอนเสิร์ตจาก อนันต์ ไมค์ทองคำ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมและให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

โครงการประกวดคลิปสั้น “หนูได้ธรรม” ในหัวข้อ “การให้ข้อคิดธรรมะในชีวิตประจำวัน”

รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน “สุขทุกวันด้วยเบญจธรรม 5 ประการ” จาก ทีมบ้านบรบือ โรงเรียนบ้านบรบือ (บรบือราษฎร์ผดุง) จังหวัดมหาสารคาม

รางวัลรองชนะเลิศ จำนวน 2 รางวัล ได้เเก่
1. ผลงาน “ธรรมง่าย ๆ” จากทีม YN Film โรงเรียนวัดยานนาวา สำนักงานเขตสาทร กรุงเทพมหานคร
2. ผลงาน “เทพารักษ์กับคนตัดไม้ “MODERN” จากทีม PogyTheStudio โรงเรียนสิรินธร จังหวัดสุรินทร์

รางวัลชมเชย 10 รางวัล ได้แก่
1. ผลงาน กาลามสูตรป้องกันมิจฉาชีพ จาก เด็กหญิงบุญยนุช บุญยืน โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง จังหวัดระยอง
2. ผลงาน ฉันทะ จาก ทีม S.P.T.Entertainment โรงเรียนสตรีพัทลุง จังหวัดพัทลุง
3. ผลงาน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จาก ทีมเด็กดีมีธรรม โรงเรียนหันคาพิทยาคม จังหวัดชัยนาท
4. ผลงาน ตื่นเช้ามีเเต่เสีย จาก เด็กชายพรสิทธิ์ พลสงคราม โรงเรียนบ้านหนองขาม จังหวัดขอนแก่น
5. ผลงาน หัวใจนักปราชญ์ (หนทางสู่ความสำเร็จ) จาก ทีมถ้าเราไม่ธรรม แล้วใครจะทำ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ฝ่ายมัธยม จังหวังนครราชสีมา
6. ผลงาน เจ็บตัวแต่ไม่เจ็บใจ จาก ทีมโรงเรียนมีนบุรี
7. ผลงาน ธรรมได้มั้ย ฉันทำได้ จาก ทีมแอนนาทำได้ ทุกคนก็ทำได้ โรงเรียนยโสธรพิทยาคม จังหวัดยโสธร
8. ผลงาน ธรรมะกระตุกเบ็ด จาก ทีม AYS Production โรงเรียนอยุธยานุสรณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
9. ผลงาน ผมได้ธรรม จาก ทีมคิดส์ดี สตูดิโอ โรงเรียนทับช้างวิทยาคม จังหวัดสงขลา
10. ผลงาน เพื่อนอภัย จาก ทีม NPLB มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

สามารถรับชมได้ที่ www.มหกรรมพุทธธรรมนำสื่อสร้างสันติสุข.com

ฉันจะไปอนุสาวรีย์ ตอนที่ 1

             เน็กซ์สเตชั่น สถานีต่อไป อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เสียงประกาศจากบนรถไฟฟ้าที่คุ้นเคย เพื่อให้ผู้โดยสารได้เตรียมตัวลงสู่จุดหมายปลายทางที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วงเวียนที่เชื่อมระหว่างถนนพหลโยธิน ราชวิถี และพญาไท กลายเป็นทั้งจุดนัดพบ ชุมทางการต่อรถ กลางมหานครกรุงเทพฯ ที่โดดเด่นด้วยอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่
รูปทรงคล้ายดาบปลายปืน
5 แฉก ยืนล้อมด้วยรูปปั้นทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจและพลเรือน อยู่กลางสมรภูมิรบอย่างสง่างาม

แต่ละวันมีผู้คนเดินทางผ่านอนุสาวรีย์แห่งนี้นับล้านคน แต่เชื่อว่าผู้คนที่เดินทางผ่านอนุสาวรีย์แห่งนี้ รวมทั้งคนไทยอีกมากมาย อาจจะไม่เคยรู้ถึงประวัติศาสตร์และความสำคัญของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ตั้งอยู่กลางกรุงเทพฯ
มานานกว่า 80 ปีแล้ว

แต่เราสามารถหาคำตอบได้ง่าย ๆ และสนุกสนาน ผ่านการชมสารคดีท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ “ฉันจะไปอนุสาวรีย์ตอนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ  ที่ดำเนินรายการโดย เต้ย พงศกร เมตตาวิภานนท์ ดารานักแสดงหนุ่มหล่อแบบไทย ๆ ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตา เติมด้วยความสดใสน่ารักของ สนุ๊ก ภัณฑิรา วงศ์ทอง พิธีกรภาคสนามที่จะพาเราไปเที่ยวแบบสบาย ๆ ให้รู้จัก สัมผัสความสวยงามและเรื่องราวประวัติศาสตร์ของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่สร้างเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน 59  นาย ที่เสียชีวิตจากการสู้รบ
ในกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสในการขอคืนผืนแผ่นดินไทยในอินโดจีนสมัยสงครามโลกครั้งที่
2

ซึ่งมีการสร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิขึ้นเมื่อปี2484 และเปิดอนุสาวรีย์ในปี2485 โดยมีศาสตราจารย์ศิลป์  พีระศรี ปูชนียบุคคลด้านศิลปะของไทย เป็นผู้ควบคุมการสร้างอนุสาวรีย์ และมีเหล่าลูกศิษย์อาจารย์ศิลป์ เป็นผู้ปั้นรูปปั้นรอบอนุสาวรีย์ได้อย่างสง่างาม และยังมีการจารึกรายนามเหล่าทหารหาญที่สละชีพเพื่อชาติในสงครามต่าง ๆ รวม 801 นายไว้ด้วย โดยสนุ๊กพาไปเที่ยวชมแง่มุมต่างๆของอนุสาวรีย์แบบดูสบาย ๆ ได้ความรู้ประวัติศาสตร์และความสวยงามของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แถมปิดท้ายด้วยพาไปชิมความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวเรืออนุสาวรีย์ ที่อยู่คู่กับย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมาช้านาน เรียกว่าอิ่มตา อิ่มใจ อิ่มท้อง ครบรสเลยทีเดียว

ไม่เฉพาะแต่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเท่านั้น สารคดี “ฉันจะไปอนุสาวรีย์ ซึ่งมีทั้งหมด 52 ตอน จะพาผู้ชมไปท่องเที่ยวสัมผัสความสวยงามและความสำคัญของอนุสาวรีย์ที่น่าสนใจ 52 อนุสาวรีย์ทั่วไทย เพื่อให้คนไทยได้รู้จักและเรียนรู้อนุสาวรีย์ในประเทศได้มากขึ้น ซึ่งเกิดจากแรงบันดาลใจของ ธันวา เสียงหวาน หัวหน้าโครงการและควบคุมการผลิตสารคดีชุดนี้ 

            “เมื่อประมาณปี2564 มีเหตุการณ์ที่บุคคลที่3 รู้ไม่จริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย หรือบุคลคลต่าง ๆ
ที่สำคัญ เขาอาจจะรู้ครึ่งไม่รู้ครึ่ง พูดความจริงไม่หมด เราอยากนำข้อมูลตรงนี้มาเผยแพร่ว่า จริง ๆ แล้วบุคคล
ในประวัติศาสตร์ เขามีความสำคัญในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้เข้าใจถ่องแท้มากกว่าแค่รู้บางท่อนหรือบางตอน หรือรู้ไม่จริง แล้วนำมาพูดมาสื่อสารต่อ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งทางสังคม”

“ทั้งนี้ถ้าบุคคลเหล่านี้เขาไม่สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศ เขาคงไม่สร้างอนุสาวรีย์ รวมถึงสถานการณ์หรือสถานที่ ที่มีความสำคัญกับเรา ทำไมเขาสร้างเป็นอนุสาวรีย์ อยากให้เยาวชนได้รับรู้ความจริง จึงนำเสนอโปรเจกต์นี้กับทางกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์”

หลังได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทเชิงยุทธศาสตร์ ปี2564 สารคดีท่องเที่ยว เชิงประวัติศาสตร์ ฉันจะไปอนุสาวรีย์สารคดีสั้น ความยาว 5-9 นาที แบบจบในตอน ทั้ง 52 ตอน จึงผลิตและถ่ายทอดผ่านทางช่องยูทูบ ซึ่งแต่ละตอนพิธีกรภาคสนามที่สลับปรับเปลี่ยนหมุนเวียนกันพาไปเที่ยวอย่างมีสาระ สนุกสนาน และเต็มไปด้วยเกร็ดความรู้ในแง่มุมที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน  เปิดโลกการเรียนรู้ผ่าน 52 อนุสาวรีย์ต่าง ๆ ของไทย ที่แล้วแต่สร้างคุณูปการให้ประเทศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ทั้งอนุสาวรีย์ของพระมหาษัตริย์ไทยหลาย ๆ พระองค์ ที่ทรงพระปรีชาสามารถในแต่ละด้าน อนุสาวรีย์จิตรภูมิศักดิ์ นักคิดนักเขียนนักต่อสู้ทางการเมือง ที่หลายคนอาจไม่ค่อยรู้จักในแง่ความเป็นนักนิรุกติศาสตร์ มีความเชี่ยวชาญด้านภาษา สามารถนำภาษาไปหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ได้ ไปจนถึงอนุสาวรีย์โผนกิ่งเพชร แชมป์โลกมวยสากลคนแรกของไทย ที่หัวหิน หรือแม้แต่อนุสาวรีย์จ่าแซม วีรบุรุษถ้ำหลวง ที่เชียงราย และอนุสาวรีย์อีกมากมายที่จะทำให้เราเพลิดเพลินและรู้จักอนุสาวรีย์ในไทยได้มากกว่าที่เคยรู้ แค่เริ่มเปิดใจดูสารคดี ฉันจะไปอนุสาวรีย์ สักตอน 

ขอแสดงความยินดีกับ รองศาสตราจารย์ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบ เรื่องการแต่งตั้ง
นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เป็นกรรมการ
ผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการพัฒนาเด็ก เยาวชนและครอบครัว) ในคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป

รองศาสตราจารย์ ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ สำเร็จการศึกษาจาก Certificate in Policy Studies Cambridge University เป็นบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิและมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในด้านเด็ก เยาวชน และครอบครัว
มีประสบการณ์ด้านบริหารจัดการโครงการ เช่น หัวหน้าโครงการ Child watch สำนักงาน สสส. และเป็นหัวหน้าสำนักประสานงานการวิจัยด้านเด็กและการศึกษาสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในอดีตเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ อีกทั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติด้านการศึกษา รัฐสภา ปัจจุบันเป็นหัวหน้าแผนงานพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา หน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยเพื่อพัฒนาพื้นที่ กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการปลุกพลังสังคมแห่งการเรียนรู้ จัดประกวดคลิปวิดีโอ ชิงโล่และเงินรางวัล มูลค่ารวม 450,000 บาท

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ลงนามความร่วมมือส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน ชวนนักเรียน นักศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป ร่วมประกวดคลิปวิดีโอ ชิงเงินรางวัลรวม 450,000 บาท ภายใต้แนวคิด “เรียนดีมีความสุข”งานนี้เปิดกว้างสำหรับทุกคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ เพียงแค่มีไอเดียสร้างสรรค์ที่อยากแชร์กับสังคม ก็สามารถส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้

(18 ธันวาคม 2566) ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง
ความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยนายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กับ กระทรวงศึกษาธิการ โดยนายสุเทพ แก่งสันเทียะ เลขาธิการสภาการศึกษา รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ลงนามฯ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการผลิตสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ เกี่ยวกับการศึกษา คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และหน้าที่พลเมือง สำหรับเด็กและเยาวชนไทย

พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ปัจจุบันสื่อมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตและการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนอย่างมาก สื่อสามารถเป็นแหล่งความรู้ แหล่งบันเทิง และแหล่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชน อย่างไรก็ตามสื่อที่ไม่ดีก็มีโทษต่อเด็กและเยาวชนเช่นกัน สื่อที่รุนแรง สื่อลามก
สื่อที่บิดเบือนความจริง ล้วนสามารถสร้างปัญหาให้กับเด็กและเยาวชนได้หากเด็กและเยาวชนขาดทักษะในการ
รับสื่ออย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ด้วยเหตุนี้ ความร่วมมือระหว่างกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์และกระทรวงศึกษาธิการ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน ในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทุกระดับ ทุกประเภท

ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลง
ความร่วมมือฉบับนี้ เป็นการสานต่อความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งสองหน่วยงาน กองทุนสื่อ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็ก เยาวชนและครอบครัวมีทักษะในการรู้เท่าทันสื่อ เฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัย
และไม่สร้างสรรค์ สามารถใช้สื่อในการพัฒนาตนเอง ชุมชนและสังคม และพัฒนาองค์ความรู้ในการสร้างนวัตกรรมด้านสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้มีสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและ
ใช้ประโยชน์ได้อย่างทั่วถึง หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และกระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นการพัฒนาศักยภาพสื่อ และสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้มีพื้นที่ในการสร้างสรรค์สื่อด้วยตนเองผ่านกิจกรรมการประกวด รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการผลิตสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ออกสู่สังคมมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ MOU ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่มุ่งเน้นใน 6 ประเด็นหลัก ได้แก่
1) ส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ที่เกี่ยวกับการศึกษา คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และหน้าที่พลเมือง
2) ส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเรียนรู้เทคนิคและวิธีการผลิตสื่อด้วยตนเอง โดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ
3) สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยอันตรายที่แฝงมาในสื่อออนไลน์รูปแบบต่างๆ
4) ส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชน มีความภาคภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมประเพณีไทย และสำนึกความเป็นไทย
5) แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ระหว่างกัน เพื่อนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของแต่ละฝ่าย
6) ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการนำผลงานของทั้งสองฝ่ายไปประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง ตลอดจนสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สำหรับกิจกรรมแรกตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ จะเริ่มด้วยการ ประกวดคลิปวิดีโอภายใต้แนวคิด “เรียนดีมีความสุข” เพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีของนักเรียน ครู และประชาชน ปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกในการทำความดี แนะแนวการเรียนและเป้าหมายชีวิต โดยแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อ ได้แก่
1.“เด็กไทยฐานใจดี” ส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีของนักเรียน ครู และประชาชน
2.“พลังความดีสร้างชาติ” ปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกในการทำความดี
3.“Coaching ปิ๊งอาชีพ” แนะแนวการเรียนและเป้าหมายชีวิต
การส่งผลงาน สามารถใช้ช่องทางแอปพลิเคชัน TikTok โดยเปิดบัญชีผู้ใช้เป็นสาธารณะ พร้อมติดแฮชแท็ก

#เรียนดีมีความสุข #MOEContentCreatorAwards และ #เด็กไทยฐานใจดี หรือ #พลังความดีสร้างชาติ #Coachingปิ๊งอาชีพ

ตามหัวข้อที่ส่งเข้าร่วมประกวด ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 450,000 บาท พร้อมรับโล่รางวัลและเกียรติบัตรจากกองทุนสื่อ และกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ยังมีรางวัล Popular Vote ยอดกด Like สูงสุด
ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการประกวดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ www.thaimediafund.or.th เว็บไซต์กระทรวงศึกษาธิการ www.moe.go.th รวมทั้ง Facebook Fanpage : กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

 

“กระแสบนออนไลน์” สะท้อน “ความสนใจของคนในสังคม” หรือไม่?

“กระแสบนออนไลน์” สะท้อน “ความสนใจของคนในสังคม” หรือไม่?

ในเดือนตุลาคมมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ ทั้งเหตุการณ์ในประเทศ คือเหตุการณ์ยิงใส่ฝูงชน
ที่สยามพารากอน และเหตุการณ์ในต่างประเทศ คือเหตุการณ์กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลและการตอบโต้ของอิสราเอลจนกลายเป็นสงคราม แต่ทว่าจากผลการศึกษาของ Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ Wisesight กลับพบว่า ประเด็นที่ผู้คนให้ความสนใจสูงสุดในเดือนตุลาคมกลับเป็นเรื่อง
ความบันเทิง การศึกษาการสื่อสารออนไลน์ของสังคมไทยในเดือนตุลาคม 2566 โดย Media Alert และ Wisesight ใช้เครื่องมือ ZocialEye สำรวจจาก 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่ 1) Facebook 2) X 3) Instagram 4) YouTube และ
5) TikTok พบว่า 2 อันดับความสนใจสูงสุดในสื่อสังคมออนไลน์คือ สัปเหร่อ ภาพยนตร์เรื่องที่ 6 ของจักรวาล
ไทบ้าน ตามมาด้วยกระแสละครเรื่องพรหมลิขิตละครย้อนยุคภาคต่อของบุพเพสันนิวาสที่เคยครองกระแสในสื่อสังคมออนไลน์เมื่อ 6 ปีก่อน แม้ว่าเหตุการณ์ยิงใส่ฝูงชนที่สยามพารากอนและเหตุการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส จะติดอันดับความสนใจเป็นอันดับที่ 3 และ 4 แต่ก็เป็นเพียง 2 ประเด็นในกลุ่มเนื้อหาอาชญากรรม และกลุ่มเนื้อหาการเมืองระหว่างประเทศที่ติด 10 อันดับความสนใจ ในขณะที่อีก 8 อันดับเป็นประเด็นเรื่องความบันเทิงต่าง ๆ

หากจำแนก 10 ประเด็นที่ได้รับความสนใจและมีการสื่อสารในสื่อสังคมออนไลน์มากที่สุดในเดือนตุลาคม 2566
เป็น 3 กลุ่มเนื้อหา คือ กลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง รวม 8 ประเด็น มี 208,240,319 Engagement กลุ่มเนื้อหาอาชญากรรม คือ เหตุการณ์ยิงใส่ฝูงชนที่สยามพารากอน มี 45,818,251 Engagement และกลุ่มเนื้อหาการเมืองระหว่างประเทศ คือ กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอล และการตอบโต้ของอิสราเอล มี 34,454,461 Engagement
The Story Thailand จึงเชิญ ผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม อาจารย์ประจำภาควิชาวารสารสนเทศ
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาช่วยวิเคราะห์ว่ากระแสบนออนไลน์นั้นสะท้อนว่าคนในสังคม
สนใจความบันเทิงมากกว่าสนใจเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่มีผลต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเช่นนั้นหรือ

ผศ.ดร.สกุลศรี กล่าวว่า การสื่อสารบนโลกออนไลน์มีเรื่องบันเทิงมากกว่าเรื่องอื่น เพราะเรื่องบันเทิงเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ง่าย ประกอบกับเรื่องบันเทิงเป็นหัวข้อที่เปิดประเด็นการพูดคุยโดยอินฟลูเอนเซอร์ ตอบสนองด้วยการสนทนาของกลุ่มแฟนคลับทำให้เกิดการพูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์สูง ในขณะที่เหตุการณ์ยิงใส่ฝูงชนที่สยาม
พารากอน และเหตุการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส เป็นประเด็นที่อาจจะไม่เกิดการสนทนากันบนโลกโซเชียล (Social Conversation) แต่ผู้คนติดตามข่าวสาร ประกอบกับเรื่องนี้ไม่ได้เปิดพื้นที่สาธารณะได้มากพอ
ไม่ได้นำไปสู่การถกเถียง อภิปราย หรือแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์น้อย ส่วนคอนเทนต์
ที่นำเสนอโดยสำนักข่าวนั้น เนื้อหาเป็นการรายงานข่าวให้รู้ คนอาจจะแค่ดูแค่อ่านแล้วจบไป ทำให้ไม่เกิดปริมาณของการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงไม่สามารถสรุปได้ว่าคนไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่สามารถบอกได้ว่าคนสนใจข่าวลักษณะนี้มากหรือน้อย แต่สามารถบอกได้ว่าคนไม่มีประเด็นที่จะพูดคุยในเรื่องนี้ เว้นแต่ว่าหากมีการเปิดประเด็นจากสำนักข่าว เช่น การทำ crowd sourcing เกี่ยวกับข่าวยิงใส่ฝูงชนและเหตุการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส แล้วคนไม่ปฏิสัมพันธ์ นั่นอาจจะวัดได้ว่าคนไม่สนใจ

“แฟนคลับ” คุยกันมากกว่า “แฟนข่าว” การปฏิสัมพันธ์หรือการมี engagement กันบนออนไลน์นั้น ส่วนใหญ่
เรื่องที่สนทนากันจะเป็นเรื่องที่เป็น community ที่มีแฟนคลับ มีคนสนใจ เนื้อหาข้อมูลมักเป็นเรื่องที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ง่าย เป็นเรื่องของความชอบ ความสนใจ ไม่ได้ต้องมีข้อมูลเชิงลึก และไม่ได้มีความรู้สึกว่าถ้าพูดอะไรไปแล้วจะเกิดการแบ่งแยกฝ่ายเพราะ ชอบศิลปินคนเดียวกัน ชอบละครเรื่องเดียวกัน หรือวิพากษ์วิจารณ์ภาพยนตร์ที่ดูมาเหมือนกัน

ผศ.ดร.สกุลศรี มองว่าประเด็นเหล่านี้เป็นประเด็นที่พูดคุยกันได้ง่าย ยิ่งอยู่บนออนไลน์ คนที่ไม่รู้จักกันสามารถจะแชร์จะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ชอบเหมือนกัน เพราะออนไลน์เปิดพื้นที่ให้คนทำแบบนี้ได้ง่ายขึ้น ทำให้มีปริมาณการสนทนาจำนวนมากเกี่ยวกับความชอบ ความสนใจ มากกว่าประเด็นเชิงสังคมซึ่งเป็นเรื่องหนัก แต่ทว่า กรณีเหตุการณ์ยิงใส่ฝูงชนในสยามพารากอนจะเห็นปริมาณการพูดคุยมากกว่าเหตุการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส เพราะความตกใจ ความสงสัย ความคิดเห็นจึงไปในทิศทางที่ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ มีความคิดเห็นเชิงตระหนก อยากรู้ข้อมูล ช่วยกันเสาะหาคำตอบว่าเขาคือใคร ทำไมเขาถึงทำ เรียกได้ว่ามีปัจจัยที่ทำให้คนสามารถมีบางอย่างร่วมกันได้บนออนไลน์ ทำให้เกิดการพูดคุยกันได้

ส่วนประเด็นเหตุการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส สำหรับคนบางคนอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นข้อมูลหนัก และไม่แน่ใจว่ามีความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ถูกต้องหรือไม่ ทำให้เกิดการเว้นระยะที่จะแสดงความคิดเห็น แต่อัตราการ search ของคนเกี่ยวกับเรื่องนี้อาจจะสูง เพราะคนไม่รู้ไม่เข้าใจ หากอัตราการค้นหาสูงแสดงว่าคนสนใจ หรือหากยอดวิว ยอดอ่าน ยอดคนชมคลิปในยูทูบ ที่มีคนเคยวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ก่อนสถานการณ์ครั้งนี้
หากยอดวิวโตขึ้น การค้นหาโตขึ้น ก็สะท้อนความสนใจได้ เพราะบางเรื่องความสนใจไม่ได้สะท้อนแค่คนพูดคุยกัน
“ถามว่าสะท้อนบริบทของสังคมได้ไหม ก็สามารถจำลองภาพให้เห็นได้ว่าเรื่องที่คุยกันได้ง่าย เรื่องที่ไม่มี barrier ทางข้อมูลว่าเราเข้าใจมันมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งเป็นเรื่องความชอบความสนใจ ก็เป็นจริตปกติของคนที่จะสนใจและพูดคุยกันได้”

แต่ทั้งนี้ ผศ.ดร.สกุลศรี ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมในมิติของการกินระยะเวลาของความสนใจ เช่น บางเรื่องอาจจะอยู่ในความสนใจเพียงไม่กี่วัน บางเรื่องอยู่ในความสนใจยาวนาน การอยู่ในความสนใจยาว เพราะว่ามีการหยอดคอนเทนต์อื่นเพิ่มหรือไม่ เช่น เคสภาพยนตร์เรื่องสัปเหร่อที่คนไปดูแล้วรีวิว มีการทำข่าว มีคนวิจารณ์เพิ่ม และมีการเชื่อมต่อไปยังเรื่อง soft power ทำให้มีการขยายประเด็นไปมากกว่าภาพยนตร์ ทำให้เกิดปริมาณการพูดคุยและ
ถกเถียงกันมากกว่าตัวภาพยนตร์ และเป็นการขยายระยะเวลาในการสนใจเรื่องนั้น ๆ ออกไป ทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์สูง ขณะที่กลุ่มที่มีเนื้อหาหนัก ๆ ต้องพิจารณาว่าเป็นเนื้อหาอะไร กลุ่มที่เป็นแฟนคลับมีลักษณะใด
มีกลุ่มที่สนใจต่อยอดประเด็นไหม มีการขยายประเด็นการสนทนาไปได้ไหม

กระแสในสื่อสังคมออนไลน์สะท้อนความ “สนใจ” หรือ “เพิกเฉย” ต่อประเด็นทางสังคม

ผศ.ดร.สกุลศรี กล่าวว่า ลำพังเพียงปริมาณการสื่อสารพูดคุยไม่ได้สะท้อนความจริงของสังคมทั้งหมด ดังนั้น เป็นการยากที่จะบอกว่าคนในสังคมเพิกเฉยต่อการเสพข่าวสารหรือประเด็นทางสังคม ทั้งนี้ต้องดูว่าลักษณะการแสดงความคิดเห็นพูดคุยนั้นเป็นประเภทไหนบ้าง ถ้าเห็นจะสามารถวิเคราะห์ในเชิงพฤติกรรมได้ว่าตอบรับในเชิงอารมณ์หรือเชิงข้อมูล หรืออยากมีส่วนร่วมในการแก้ไขประเด็นไหน หรือไม่ อย่างไร

 คือต้องเข้าไปดูการแสดงความคิดเห็น การพูดคุยที่เกิดขึ้นว่าส่วนใหญ่ไปในทิศทางใด เช่น แสดงความเห็นด้วยอารมณ์อย่างเดียว โกรธ ไม่พอใจ ด่าว่ากัน อันนี้เป็นแค่การแสดงออกทางอารมณ์ ไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนประเด็นได้ว่าจะแก้ไข หรือจะช่วยอะไรได้ไหม คนสนใจแค่ระดับอารมณ์ร่วม แต่ถ้าการแสดงความคิดเห็นเป็นลักษณะให้ความเห็น ให้ข้อแนะนำ มีลักษณะของการพยายามแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือว่าอยากหาทางออก แสดงว่า
มีความกระตือรือร้นต่อประเด็นนั้นที่อยากให้เกิดการแก้ไข หรืออยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม

“บอกไม่ได้ขนาดนั้นว่าคนไม่สนใจเรื่องสังคม แต่แอบมีความกังวลว่าไม่มีข่าวอื่นเลยที่ติดอันดับ (นอกจากข่าวยิง
ใส่ฝูงชน ข่าวสงครามที่เป็นข่าวใหญ่) อาทิ ประเด็นเงินดิจิทัล ซึ่งสะท้อนได้ว่าคนอาจไม่สนใจ หรือสนใจแต่ไม่ถกเถียง ไม่แลกเปลี่ยน และไม่อยากมีการสนทนาในเรื่องที่เป็นประเด็นหนัก  ทำให้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่คนใช้ชีวิต
ที่หลุดจากความเป็นจริงแล้วมาอยู่กับความบันเทิง

ผศ.ดร.สกุลศรี  กล่าวว่า เป็นความกังวลอย่างหนึ่ง เพราะการที่คนไม่แลกเปลี่ยนประเด็นเหล่านี้เลย ทำให้บางประเด็นที่อยากจุดให้เป็นประเด็นทางสังคมที่ต้องรับรู้และผลักดันร่วมกันก็ทำไม่ได้ หรืออยากจะฟังเสียงต่อนโยบายของรัฐก็ทำได้ยากเพราะไม่มีการพูดคุยถกเถียงกันเรื่องนี้ หรือพวกเขาคุยกันแต่คุยในที่ปิด

นอกจากนี้ อาจจะมีประเด็นว่า คนบนโซเชียลเองเรียนรู้ว่าหากแสดงออกในประเด็นที่มีข้อถกเถียงกันก็อันตรายว่าจะโดนทัวร์ลง อาจจะต้องทะเลาะกับคนอื่น

“อาจจะเป็นการเรียนรู้ของคนใช้โซเชียลมีเดียว่าเรื่องที่ต้องอภิปรายถกเถียงกันเราเก็บไว้คุยกันข้างนอกไม่คุยบนโซเชียลมีเดีย เพราะไม่อยากเจอสถานการณ์แบบนั้น ซึ่งเป็นสัญญาณไม่ดี เพราะคนควรถกเถียงกันได้

 

คนจะปฏิสัมพันธ์กับคนด้วยกันมากกว่าสำนักข่าว

สื่อเปิดประเด็น แล้วคนถกเถียงกันได้ มักจะเป็นประเด็นที่เป็นดราม่า ตอบจริตของคน เป็นคอนเทนต์ที่มีการพูดไปคุยมา อาทิ เป็นข่าวอาชญากรรม ความรุนแรง เพราะคนมีข้อมูล มีคลิปที่แชร์มา ถกเถียงกันต่อได้ มีคนที่เห็นใจแรงงานที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ในกรณีข่าวสงครามฮามาส อิสราเอลอยากรู้ว่าเขาทำอะไร เขาจะกลับไหม ครอบครัวเพื่อนฝูงก็พูดคุย ถ้ามีข้อมูลพูดได้ ก็จะมีปริมาณการ engagement ที่สูง แต่ก็ไม่มีคอนเทนต์ที่ชวนให้คนพูดคุยกันอย่างมีเหตุมีผล เพราะข่าวส่วนใหญ่เป็นการให้ข้อมูล

“คนเริ่มไม่ตามสำนักข่าว แต่ตาม Influencer และแลกเปลี่ยนกันเป็นชุมชน”

Facebook ปิดการมองเห็นมากขึ้น ทำให้ คนเห็นแต่ข้อมูลซ้ำ ๆ ไม่หลากหลาย จนเกิดความไม่สนใจ แต่ใน TikTok คนเห็นคอนเทนต์สดใหม่ตลอด และฟีดมาให้คนเห็น เกิดปฏิสัมพันธ์ง่าย จึงเกิดปริมาณการปฏิสัมพันธ์ที่สูง และ TikTok มีฟีเจอร์ที่ดึงดูดคนใช้มาก ทำให้คนเห็นคอนเทนต์บน TikTok มาก TikTok ใช้ง่าย ผู้ใช้จึงมีทุกช่วงวัย ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่นปิดกั้นการมองเห็น ส่วน X เป็นแพลตฟอร์มของคนรุ่นใหม่

เรื่องหนักจะยังอยู่บน Facebook เพราะต้องการพื้นที่ในการให้ข้อมูลมาก เป็นการวิเคราะห์ข้อมูล จึงมักใช้โดยสำนักข่าวและอินฟลูฯ มากกว่าคนทั่วไป

“ถ้าเป็นข่าว คนจะตามสำนักข่าวบน Facebook ถ้าบันเทิงคนจะวิ่งไป TikTok นักข่าวที่ใช้ TikTok เก่งก็ยังมีไม่มาก ในขณะที่มี content creator จำนวนมากเอาข่าวมาเล่า”

ผศ.ดร.สกุลศรี กล่าวว่า หากเป้าหมายการสื่อสารต้องการให้คนพูดคุยกัน ต่อให้เป็นเรื่องยาก ต้องย่อยให้ง่าย ต้องนำเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคน ต้องทำให้คนรู้สึกว่าประเด็นนั้นเป็นเรื่องของเขา กระทบเขา เขามีความเสี่ยงกับประเด็นนั้น ถ้าเขาไม่รู้ เนื้อหาที่นำเสนอต้องเปิดพื้นที่ให้คนได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน อาทิ คุณรู้ไหม คุณบอกข้อมูลได้ไหม คุณมีประสบการณ์แบบนี้หรือไม่ คุณอยากแชร์ประสบการณ์แบบนี้หรือไม่

“หากพยายามมอบอำนาจให้เขามีส่วนร่วม ก็มีโอกาสที่เขาจะถกเถียง แต่หากเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนก็ต้องทำใจว่าจะไม่มีคนคุยกับเรา คอนเทนต์นั้นต้องแชร์ประสบการณ์ คอนเทนต์ไหนที่สามารถเชื่อมโยงประสบการณ์ของคนดูคนอ่านได้ ก็เป็นไปได้ที่จะมี engagement กับมันมากขึ้น แต่หากเขารู้สึกว่าอ่านแล้วแค่รู้ แล้วผ่านไป เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องของเขา ก็ต้องทำใจว่าเขาแค่อ่านแล้วผ่านไป”

 

สื่อ Influencer ผู้ใช้งานทั่วไป คือ ผู้ร่วมสร้างความสนใจในประเด็น

หากถามว่าจะทำอย่างไรให้คนมีข้อถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในประเด็นที่น่าจะนำพาสังคมไปสู่การพูดคุยกันได้ ต้องใช้ 3 พลังร่วมกัน คือ เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ใชัทั่วไปอยากคุยกันไหม มีอินฟลูฯ ที่สามารถดึงคนให้มาสนใจแล้วเปิดประเด็นพูดคุยกันได้ไหม พอเกิดการสนทนาแบบนี้บนออนไลน์แล้วสำนักข่าวทำให้เกิดประเด็นต่อเนื่องไหม

หากถอดสูตรไทบ้านออกมาจะได้รูปแบบนี้ ไปดูภาพยนตร์มา รีวิว เกิดกระแส สำนักข่าวทำข่าวต่อ บางประเด็นอินฟลูฯ เปิดประเด็น แล้วสื่อไปทำเพิ่ม มีหน่วยงานมาหยิบประเด็นนี้ไปต่อยอดทำในมุมของตัวเอง เช่น จัดเสวนา ทำคอนเทนต์เพิ่ม ชวนคนมาทำกิจกรรม เป็นการป้อนคอนเทนต์ใหม่กลับเข้าไปในออนไลน์ การสนทนาจะขยับจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่ง

“หากต้องการให้คนมีการสนทนาเรื่องไหน ต้องออกแบบการสื่อสารที่ทำให้เกิดการพูดคุยได้มากกว่าหนึ่งประเด็น และสามารถขยายประเด็นในการพูดคุยได้”

 

ถ้าสื่อต้องการมีบทบาทในการขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม “สื่อต้องหาทำเรื่องหนักให้คนอยากคุยกันให้ได้”

“จากที่สอบถามเด็ก ๆ ที่สอนหนังสือว่า เด็ก ๆ สนใจประเด็นอะไรมาก 3 อันดับแรกที่ให้ความสนใจเท่ากันคือ การเมือง อาชญากรรม และบันเทิง เพราะ 3 เรื่องนี้เป็นเรื่องใกล้ชิดและส่งผลกระทบกับเรื่องอื่น”

สื่อออนไลน์และสื่อมวลชน สามารถขับเคลื่อนประเด็นทางสังคมได้ บางเรื่องอินฟลูฯ เปิดบนออนไลน์ แล้วสื่อนำไปนำเสนอต่อ บางเรื่องเปิดด้วยสื่อแล้วอินฟลูฯ นำมาขยายประเด็นต่อบนออนไลน์ ขึ้นกับประเด็นว่าต้องเปิดโดยใคร คนจึงสนใจ เปิดที่ไหน ต้องมีการวางแผน ไม่มีเป็นธรรมชาติที่แท้จริง

ไม่ใช่ว่าเรื่องการยิงใส่ฝูงชนที่สยามพารากอน เหตุการณ์สงครามอิสราเอล-ฮามาส คนไม่สนใจ แต่หัวใจหลัก คือ “สื่อต้องหาทางทำเรื่องนั้นให้ใกล้ชิดคนมากขึ้น เมื่อไรที่เรื่องนั้นใกล้ชิด และรู้สึกว่ามีผลกระทบ คนจะพูดกันในเรื่องนั้นมากขึ้น” แต่ปริมาณของการคุยไม่สำคัญเท่ากับลักษณะของการพูดคุย บางเรื่องอาจจะไม่มีปริมาณการคุยจำนวนมาก แต่เป็นการสนทนาที่มีคุณภาพ (quality conversation) เป็นการพูดคุยที่ผลักดันการแลกเปลี่ยนได้ แบบนี้น่าสนใจ

แต่อาจต้องไปศึกษาดูว่า หากสื่อทำประเด็นซีเรียส ผลปลายทางคืออะไร อาทิ นำเสนอเรื่องโรคซึมเศร้า อยากให้คนมาแสดงความคิดเห็น หรืออยากให้คนไปถึงจุดที่ดูแลตนเอง หรืออยากให้คนเข้าใจคนที่เป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น และหากเกิดการสนทนา ผลปลายทางจะไปในทางสู่เป้าหมายนั้นไหม สิ่งนี้เป็นตัวชี้วัดว่าปฏิสัมพันธ์เป็นไปตามเป้าหมายที่สื่ออยากจะสื่อสารหรือไม่

“สื่อน่าจะลองวางแผนว่าหากเปลี่ยนจากเป้าหมายเพื่อรายงานให้ทราบให้เข้าใจ เป็นการผลักดันให้ไปถึงเป้าหมายที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือให้เกิดการกระทำ การสื่อข่าวนั้นสามารถสร้างการแสดงความคิดเห็นให้ไปในทิศทางที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่”

แต่หากบางเรื่องที่ต้องให้เป็นกระแส ให้มีการพูดถึง ไม่เช่นนั้นประเด็นนั้นจะหายไป “สื่อจะต้องเรียนรู้ที่จะทำคอนเทนต์มากกว่าหนึ่งชิ้น คอนเทนต์นั้นต้องสามารถต่อยอดได้ และต้องทำความร่วมมือกับอินฟลูฯ บางกลุ่ม หรือมีคอมมูนิตี้กับแฟนข่าวของตัวเองที่สามารถกระจายต่อไปยังคอมมูนิตี้กลุ่มอื่น ๆ ได้ นี่เป็นสิ่งที่สื่อสามารถทำได้”

ส่วนอินฟลูฯ กับผู้ใช้งานทั่วไป เป็นตัวแปรที่ว่าสื่อจะทำงานร่วมมือกับพวกเขาอย่างไร เพื่อผลักดันประเด็นที่คนควรต้องรู้ให้คนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ สำนักข่าวต้องเจาะประเด็นที่คนสนใจในประเด็นเฉพาะมากขึ้น มีคนสนใจประเด็นเฉพาะอยู่มาก หากสำนักข่าวเจาะประเด็นเฉพาะได้จริง ๆ จะสามารถสร้างแฟนได้ คนรู้สึกถึงความเป็นเพื่อน ความไม่เป็นทางการ คนจะคุยกันได้มากขึ้น แม้จะเป็นประเด็นข่าวหนัก ๆ

“กระแสบนออนไลน์” สะท้อน “ความสนใจของคนในสังคม” ได้ แต่อาจไม่ทั้งหมด เพราะโลกออนไลน์ไม่ได้มีเพียง
5 แพลตฟอร์มนี้ คือ Facebook,  X, Instagram, YouTube และ TikTok เท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่บนโลกออนไลน์อื่น ๆ อีกที่ผู้คนให้ความสนใจและแสดงออกในรูปแบบที่ไม่ใช่การสื่อสารพูดคุยกันในที่สาธารณะ แต่เป็นการค้นหาข้อมูล และการสื่อสารในกลุ่มเฉพาะ ทั้งนี้ สังคมเป็นผลผลิตของการกระทำของคนทุกคนในสังคม

“หากต้องการให้สังคมของเรามีความสนใจประเด็นทางสังคม เราจะต้องให้ความสำคัญและสื่อสารในเรื่องนั้น ๆ”

ประโยคทิ้งท้ายจากผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม อาจารย์ประจำภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย