เลือกหน้า

ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์เปิดเผยข้อมูลกระบวนการพิจารณาข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรม ประจำปี 2567

ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
เปิดเผยข้อมูลกระบวนการพิจารณาข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรม ประจำปี 2567
ขณะนี้สำนักงานได้ดำเนินการตรวจสอบเอกสารเรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการกองทุนได้มีมติให้แต่งตั้งอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการ ไปเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567

โดยองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองและพัฒนาโครงการในปีนี้มาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีอยู่ในปัจจุบัน 8 คน และผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกจำนวน 5 คน รวมเป็น 13 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติเพื่อลงนามแต่งตั้ง แต่เนื่องจากยังมีประเด็นปัญหาข้อกฏหมายที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนฯ ที่เกี่ยวเนื่องกับอำนาจในการพิจารณาอนุมัติของอนุกรรมการบริหาร ว่าคณะกรรมการกองทุนมีอำนาจหน้าที่เพียงการรับทราบหรือไม่อย่างไร ที่ประชุมคณะกรรมการยังมีมติให้สำนักงานหารือกฤษฎีกาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อยุติในประเด็นข้อกฎหมายดังกล่าว ส่งผลให้การพิจารณาคัดเลือกโครงการปีนี้ล่าช้าออกไปจากเดิม

อย่างไรก็ตาม กองทุนจะเร่งดำเนินการให้มีการพิจารณากลั่นกรองและพัฒนาโครงการโดยเร็ว ควบคู่ไปกับการหาข้อยุติในประเด็นข้อกฎหมาย ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนจะเร่งดำเนินการให้การพิจารณากลั่นกรองและการพิจารณาอนุมัติทุนให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด

กองทุนสื่อ จับมือ สถานีวิทยุโทรทัศน์ NBT คัดผลงานเด่นเผยแพร่สู่ประชาชน ร่วมมือผลิตคอนเทนต์ที่ดีร่วมกัน รณรงค์รับมือภัยออนไลน์ และร่วมพัฒนาบุคลากร

(29 กุมภาพันธ์ 2567) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ กับ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) ประสานความร่วมมือคัดผลงานเด่นเพื่อเผยแพร่สู่ประชาชน และ ผลิตคอนเทนต์ สร้างภูมิคุ้นกันให้ประชาชนรู้เท่าทันสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์

ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์

โดยมี ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ , นางจริยา ประสพทรัพย์ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม
รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อฯ และ นางสาวศุภลักษณ์ เวชกามา ผู้อำนวยการส่วนจัดและควบคุมรายการ ร่วมลงนามและร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกองทุนพัฒนาสื่อฯ และ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับทั้งสองหน่วยงานที่มีวัตถุประสงค์ตรงกัน ในการสร้างสื่อดีและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนชาวไทย ให้มีทางเลือกในการเลือกสื่อ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประจำวัน เสริมสร้างทักษะการเฝ้าระวังและรู้เท่าทันสื่อ เปิดรับข้อมูลข่าวสารให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลข่าวสารในเชิงลบ ช่วยลดปัญหาข้อมูลที่สร้างความขัดแย้งให้กับสังคม รวมถึงการพัฒนาบุคลากรทั้งภายในและภายนอก มุ่งเน้นในการสร้างคอนเทนต์โดยใช้อุปกรณ์และความพร้อมของ NBT ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อประโยชน์ของประชาชน

นางจริยา ประสพทรัพย์ ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) เราเป็นสถานีโทรทัศน์ของรัฐ โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตรงกับกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้จะช่วยให้ NBT ได้ยกระดับการพัฒนาคอนเทนต์ให้เป็นสื่อน้ำดี สื่อสร้างสรรค์ สร้างสื่อที่มีความหลากหลาย และยกระดับบุคลากรทั้งภายในและภายนอกให้มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น หวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตจะได้มีโอกาสผลิตรายการร่วมกับทางกองทุนสื่อ เพราะเราอยากให้สถานี NBT เป็นสถานีทางเลือกของประชนชน เสมือนสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม เพื่อนำไปพัฒนาตนเองและสังคม

ทั้งนี้ MOU ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อผลิตและเผยแพร่รายการสื่อสร้างสรรค์สังคม เพื่อสร้างความร่วมมือและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการผลิตสื่อที่สร้างสรรค์ระหว่างกัน โดยร่วมดำเนินงานสนับสนุนบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมตลอดถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างสองหน่วยงาน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ปริศนาฝาผนัง ตอนที่ 2

ใครจะคิดว่า วัดโสมนัสราชวรวิหาร ริมคลองผดุงกรุงเกษม ในกรุงเทพมหานครของไทย จะมีความคล้ายคลึงกับทัชมาฮาล จนเปรียบเสมือนอนุสรณ์ความรักแห่งสยามประเทศ ยิ่งเปิดประตูสู่พระวิหาร ด้านในเต็มไปด้วยความวิจิตรบรรจงของจิตรกรรมฝาผนัง ที่บอกเล่าเรื่องราวของปัญจราชาภิเษก หรือการอภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนใต้หน้าต่างและช่องว่างระหว่างหน้าต่างทั้งหมดในพระวิหาร กลับเป็นจิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวของวรรณคดีเรื่องอิเหนาทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ

จิตกร บุษยา นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญด้านการนำชมจิตรกรรมฝาผนังของไทยมาเกือบ 20ปี ผู้ผลิตและทำหน้าที่พิธีกรดำเนินรายการในสารคดีชุด “ปริศนาฝาผนัง” ตอน“อิเหนาและภาพเงาของความรัก” พาผู้ชมเข้าไปสัมผัสความหมายอันลึกซึ้ง พร้อมถอดรหัสที่แฝงเร้นอยู่ในจิตรกรรมฝาผนังเรื่องอิเหนาของที่นี่ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯให้สร้างวัดแห่งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนวดี พระมเหสี ที่ทรงสถาปนาเป็นพระมเหสีองค์แรก และทรงให้นำวรรณคดีเรื่องอิเหนามาเป็นส่วนหนึ่งของจิตรกรรมฝาผนัง เพื่อสื่อสารถึงความผูกพันที่มีต่อสมเด็จพระนางโสมนัสวัฒนวดี ซึ่งพระองค์ท่านทรงฝึกหัดคณะละครส่วนพระองค์ และทรงเตรียมละครเรื่องอิเหนาไว้ถวายรัชกาลที่4 ในพระราชพิธีสมโภชน์ช้างเผือก แต่สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนวดีสิ้นพระชนม์ไปก่อน

“รัชกาลที่4 จึงทรงสานต่อความมุ่งหมายของสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนวดี ด้วยการเขียนภาพอิเหนา เหมือนเป็นการเล่นมหรสพที่ซ้อมไว้ แล้วยังไม่ได้เล่น ให้คนดู และดูมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว ดูมาจนถึงรุ่นเรา นี่คือความรักที่พระองค์ท่านทรงมีต่อสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนวดี เพราะการสร้างวัดนี้ สร้างเป็นอนุสรณ์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระนางเจ้าโสมนัส ที่สิ้นพระชนม์ในวัยไม่มาก พระองค์ท่านทำทุกอย่างเป็นความผูกพันกันหมด ที่หน้าบันมีรูปมงกุฎก็คือพระองค์ท่าน และรูปโสมนัส ก็คือสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี”

“มันคือภาพเงาของความรัก คือถ้าไม่นั่งดูเงาที่เป็นหนังใหญ่เล่นบนจอ ความรักมันจะไม่หวนคืนกลับมา และสิ่งที่รัชกาลที่4ฉายไว้บนจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์ มันคือภาพเงาแห่งความรักที่พระองค์ท่านทรงมีต่อสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสฯ”

จิตกร อธิบายความลึกซึ้งของจิตกรรมฝาผนัง ที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร และยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามและมีความหมายลึกซึ้งอีกหลายสิบแห่ง ที่ จิตกร พาไปสัมผัสความสวยงามพร้อมถอดปริศนาที่แฝงไว้ได้อย่างน่าชม ในสารคดีชุดปริศนาฝาผนังทั้ง 20 ตอน ความยาวตอนละ 25 นาที ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปี 2565 เผยแพร่ทางช่องยูทูบ เฟซบุ๊กและติ๊กต็อก ซึ่งได้รับเสียงตอบรับหลากหลายและยังช่วยให้วัดและชุมชนบางแห่งต่อยอดสู่การท่องเที่ยวด้วย

“หนักสุดคือ คนอยากไปดูจิตรกรรมฝาผนังของจริงและอยากให้เราพานำชม มีรายการวิทยุส่งเสริมเพลงลูกทุ่งส่งเสริมความเป็นไทย ติดต่อถามเข้ามาว่า ผู้ฟังของเขาได้ดูรายการปริศนาฝาผนังแล้วชอบมาก รู้สึกว่าเรามีหัวใจเดียวกัน ก็เลยอยากให้พาคนไปดู บางชุมชนก็บอกว่า ในชุมชนของเขาก็มีวัดที่มีจิตรกรรมฝาผนัง อยากให้รายการมาช่วยถอดรหัสและถ่ายทำบ้าง ส่วนวัดบางแห่ง เช่นวัดโสมนัสฯ ก็เกิดตลาดชุมชนแบบทดลอง

หลังมีคนที่ดูรายการแล้วสนใจเข้ามาดูจิตรกรรมของจริงที่นี่กันมากขึ้น ทางวัดเลยต่อยอดทดลองให้คนในชุมชนทำอาหาร ทำขนม มาลองวางขายในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพราะว่าถ้าเขามาดูจิตรกรรมฝาผนังเสร็จแล้วกลับไปเฉย ๆ ชุมชนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ชุมชนควรมาเกื้อหนุนจากความเข้มแข็งของต้นทุนที่มี จึงคิดทำตลาดชุมชนขึ้น ส่วนอาจารย์คณะโบราณคดีก็ชื่นชมและนำบางตอนไปใช้สอนนักศึกษาด้วย”

จิตกร เล่าด้วยความภูมิใจในเสียงตอบรับจากสารคดี “ปริศนาฝาผนัง” ซึ่งแม้จะไม่ได้มียอดวิวที่ถล่มทลาย แต่กลับได้ในเชิงคุณภาพจากแวดวงวิชาการ พระสงฆ์ และประชาชนทั่วไปที่สนใจและเริ่มเห็นคุณค่าจิตรกรรมฝาผนังของไทย

“เราภาคภูมิในการเป็นประเทศพระพุทธศาสนาและความเป็นไทย และท่านก็ทำไว้แล้ว ซึ่งไม่สามารถตีเป็นมูลค่าได้เลย จิตรกรรมร้อยปี ร้อยกว่าปี หรือเกือบสองร้อยปี ทุก ๆ ที่ที่รวบรวมมา คุณดูสารคดีชุดนี้ คุณจะเห็นน้ำ
พระราชหฤทัยของผู้นำประเทศในสมัยก่อน ก็คือพระเจ้าแผ่นดิน จะเห็นคุณค่าของประเทศที่มีศิลปินฝีมือดีภูมิใจ
ได้ และเรื่องราวที่นำมาถ่ายทอดก็เป็นเรื่องราวที่มุ่งหมายให้คนค้นพบความสุขทั้งสิ้น พ้นทุกข์ พบสุข นั่นคือความตั้งใจ”

จิตกร ทิ้งท้ายถึงผู้ชมที่ใฝ่หาความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ใฝ่หาความสุข ใฝ่หาความเพลิดเพลิน ร่วมท่องเที่ยวสัมผัสความสวยงามและค้นหาปริศนาจากลายเส้นบนฝาผนังไปด้วยกันได้ ในสารคดีชุด “ปริศนาฝาผนัง”

#กองทุนสื่อ #ปริศนาฝาผนัง
#เล่าสื่อกันฟัง #บทความเล่าสื่อกันฟัง
#ผลงานผู้รับทุนกองทุนสื่อ
#สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

ติดตาม “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” ได้ที่
Website : www.thaimediafund.or.th
Facebook : กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
Youtube : www.youtube.com/c/ThaiMediaFund
Line Official : @thaimediafund

ปริศนาฝาผนัง ตอนที่ 1

“ถ้าพี่ตาย แล้วใครจะเล่า”

คำถามสั้น ๆ จากรุ่นน้องคนหนึ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยความหมายที่ซึมลึกถึงใจ ไปกระตุ้นความคิดและนำไปสู่ความตั้งใจของ จิตกร บุษบา นักวิชาการอิสระวัย 51 ปี และผู้เชี่ยวชาญด้านการนำชมจิตรกรรมฝาผนังของไทยมาเกือบ 20ปี ในการเริ่มต้นผลิตสารคดี “ปริศนาฝาผนัง” สารคดีที่เล่าเรื่องราวจากลายเส้น ความเชื่อ บนผนังเก่า กับจิตรกรรมฝาผนัง และบันทึกความรู้จากภาพเขียนบนฝาผนังที่เต็มไปด้วยปริศนา หลายภาพมีที่มาและสะท้อนเรื่องราวในลายเส้น แฝงไปด้วยหลากหลายอารมณ์ ทั้งธรรมะ กฎแห่งกรรม ความสุขปนเศร้า สนุกสนานหรือแม้แต่โรแมนติก

“จิตรกรรมฝาผนัง ปัญหาคือ มันอยู่ของมันนิ่ง ๆ การจะเล่าเรื่องจะเล่ายังไงให้ภาพนิ่ง ๆ บนฝาผนังมันน่าสนใจได้ โจทย์มันยากมาก ยากกว่าที่เราคิด คือเวลาที่เราพาคนไปดู คนดูอยู่ต่อหน้าจิตรกรรม และถูกหุ้มด้วยจิตกรรมในโบสถ์ ในวิหาร ในศาลาการเปรียญ มันมีมนต์สะกดซึ่งกันและกันอยู่แล้ว แตกต่างกับคนดูบนหน้าจอ เหมือนได้ดูภาพแบน ๆ บนฝาผนัง ความยากคือจะเล่าเรื่องยังไง และเรื่องของจิตรกรรมฝาพนังก็เป็นเรื่องยากที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของคนด้วย เพราะว่าเป็นเรื่องชาดก พุทธประวัติ หรือพระวินัยในพระไตรปิฎก เราจะย่อ จะย่อย จะหยิบประเด็นไหนมาเล่า มันก็ต้องคิดกันจนเส้นเลือดในสมองแทบแตก”

“เวลาเรานำชมสถานที่จริง คือผู้ชมเขาได้อยู่ต่อหน้าภาพ ได้เห็นของจริง เราเป็นเหมือนแม่สื่อที่ทำให้เขาตกหลุมรักกัน บรรยากาศการนำชมมันเป็นไพรเวท เมาท์มอยอะไรต่างๆ ได้ แต่เวลาผลิตเป็นสารคดี มันมีระเบียบ รูปแบบวิธีการของมัน”

จิตกร ซึ่งรับหน้าที่ทั้งเป็นคนถอดปริศนา เขียนบท รวมไปถึงพิธีกรดำเนินรายการ เว้นไว้แค่ถ่ายภาพและตัดต่อ ที่ใช้ทีมงานช่วย เล่าถึงความยากในการถ่ายทอดสารคดีชุดนี้ ทั้งหมด 20 ตอน ตอนละ 25 นาที ใช้เวลาผลิตนานกว่า 1 ปี โดยได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปี 2565

โดยสารคดีปริศนาฝาผนังตอนแรก ๆ เริ่มต้นเล่าเรื่อง ค่อย ๆ พาผู้ชมไปรู้จักจิตรกรรมฝาผนังและสิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้น ทั้งตัวละคร เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ข้าวของเครื่องใช้ อาคารสถานที่ ไปจนถึงวิวทิวทัศน์ ที่ปรากฏบนจิตรกรรมฝาผนัง ให้คนดูได้คุ้นเคยและสัมผัสเสน่ห์ความสนุก จนกลายเป็นความท้าทายในการชมจิตรกรรมฝาผนัง แล้วค่อย ๆ นำเสนอเรื่องที่ลึกและยากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งสุวรรณชาดก พระมหาชนก พระเวสสันดรชาดก พร้อมกับชมความสวยงามของลายเส้น ที่บอกเล่าเรื่องราวมากมาย หลายเรื่องแฝงไว้ด้วยความอัศจรรย์ อย่างภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร ซึ่ง ขรัวอินโข่ง เป็นศิลปินผู้วาดไว้ โดยได้นำความรู้เรื่องระบบสุริยะจักรวาลเข้ามาใส่ในจิตรกรรมฝาผนังด้วย

“ด้วยการเขียนพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวพุธ ดาวพฤหัส แบบเหมือนจริงตามแบบวิทยาศาสตร์อยู่ในจิตรกรรม เราได้เชิญวิทยากรที่เป็นนักดูดาวมาช่วยถอดรหัส เขาดูไปดูมา พบว่าตำแหน่งที่ตั้งของดาวมันไปตรงกับช่วงเวลาในสมัยรัชกาลที่4 ซึ่งข้อมูลนาซ่าสามารถดูย้อนหลังไปได้เป็นร้อยๆ ปี”

จิตกรเล่าให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ที่น่าทึ่งของผู้คนในอดีตที่ซ่อนไว้ในจิตรกรรมฝาผนังตอนหนึ่งในสารคดีชุดนี้ ซึ่งทั้ง 20ตอน จะพาไปชมความน่าทึ่งความมหัศจรรย์จากลายเส้นบนฝาผนังที่ทรงคุณค่า และเต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์และมีความหมายที่แฝงไว้มากมาย บางแห่งเป็นภาพจิตรกรรมที่หาชมได้ยาก ซึ่งสารคดีปริศนาฝาผนังแต่ละตอนจะค่อย ๆ พาเราไปถอดรหัสและขมวดแก่นเรื่องราว ที่วาดไว้บนจิตรกรรมฝาผนังได้อย่างสนุกและได้สาระ
“อย่างวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร ที่คนส่วนใหญ่ไปเฉพาะฟังสวดและเผาศพเสร็จแล้วก็กลับ ที่นี่มีสมบัติทางปัญญาที่สำคัญมา ๆ ก็คือโบสถ์และวิหาร เนื่องจากเป็นวัดธรรมยุตที่เคร่งมาก โบสถ์ไม่ค่อยให้คนเข้าไป เราจึงใช้โอกาสการทำโครงการนี้ขออนุญาตเข้าไปถ่ายทำ จิตรกรรมในโบสถ์เขียนประวัติของพระภิกษุและภิกษุณีรูปสำคัญ ๆ ในพุทธศาสนา ว่าแต่ละคนมีชีวิตมาอย่างไรและทำไมจึงอยากบวช บวชแล้วไปคลิกอะไร จึงกลายเป็นผู้บรรลุธรรม ท่านสร้างมีเดียไว้ให้พระฉุกคิดพิจารณา”

“ความยากมันอยู่ตรงนี้ อยู่ที่การถอดปริศนาและขมวดแก่นของเรื่องราวบนจิตรกรรมฝาผนังออกมาให้ได้ ว่าคุณถอดออกมาได้เฉียบขาด เฉียบคมขนาดไหน มันเป็นเรื่องท้าทายที่สุดเลย”

สารคดีชุด “ปริศนาฝาผนัง” เผยแพร่ทาง ยูทูบ เฟซบุ๊ก และติ๊กต็อก ได้รับความสนใจจากผู้ชมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้มีผู้คนที่สนใจอยากไปชมจิตรกรรมฝาผนังตามวัดต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น จนบางแห่งต่อยอดไปให้ชุมชนทำอาหารและขนมมาขายกลายเป็นการท่องเที่ยวชุมชน และที่สำคัญสารคดีชุดนี้เป็นเหมือนการเปิดประตูความรู้ ความภูมิใจในจิตรกรรมไทยอีกบานหนึ่ง ซึ่งอาจจะตอบคำถามจากรุ่นน้องที่ถามจิตกรได้ว่า “ถ้าพี่ตายไป แล้วใครจะเล่า”

#กองทุนสื่อ #ปริศนาฝาผนัง
#เล่าสื่อกันฟัง #บทความเล่าสื่อกันฟัง
#ผลงานผู้รับทุนกองทุนสื่อ
#สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

ติดตาม “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” ได้ที่
Website : www.thaimediafund.or.th
Facebook : กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
Youtube : www.youtube.com/c/ThaiMediaFund
Line Official : @thaimediafund

สื่อสารอย่างไร ? เมื่อ “ประเพณีส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม?”

นับวันการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สภาวะโลกร้อนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยมนุษย์ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ฤดูร้อนที่ร้อนยาวนานจนเกิดความแห้งแล้ง ปัญหาอุทกภัย แผ่นดินถล่มจากฝนตกหนัก ภาวะฝนทิ้งช่วงจนกลายเป็นปัญหาขาดแคลนน้ำในการอุปโภคบริโภคและการทำเกษตรกรรม เป็นต้น จึงเกิดกระแสรณรงค์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินกิจกรรมของมนุษย์ในมิติต่าง ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม นำไปสู่การตั้งคำถามต่อประเพณี “สงกรานต์” การสาดน้ำเป็นการใช้ทรัพยากรน้ำที่คุ้มค่าหรือไม่ ประเพณี “ลอยกระทง” ที่กระทงกลายเป็นขยะเต็มแม่น้ำลำคลอง ทำอย่างไรจึงยังสาดน้ำในวันสงกรานต์ และ ลอยกระทงในวันเพ็ญเดือน 12 ได้ โดยที่ยังคงคุณค่าและความยั่งยืนทั้งประเพณีและสิ่งแวดล้อม

การสนทนากับ ดร.ตรงใจ หุตางกูร นักวิชาการนักวิจัยด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ทำให้รู้ว่า เดิมยุคทางธรณีวิทยา เช่น ยุคน้ำแข็ง “ไพลสโตซีน (Pleistocene)” ยุค “โฮโลซีน” (Holocene) เมื่อโลกอุ่นขึ้น จะถูกแบ่งแยกไปตามการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต 

ภายหลังการพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ในปี 2493 เป็นต้นมา ประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ต้องผลิตอาหารมากขึ้น เลี้ยงสัตว์มากขึ้น การขยายตัวด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม เครื่องยนต์หรือยานยนต์ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น คาร์บอน มีเธน ไปจนถึงการใช้ปุ๋ยเคมี เป็นต้น ทำให้เกิดการสะสมมลภาวะที่กระทบต่อ
สิ่งแวดล้อมโดยรวมไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่บางอย่างเริ่มแก้ไขไม่ได้ เพราะโลกต้องปรับสมดุลตัวเองไปสู่สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับมนุษย์ไปแล้ว”
  ดร.ตรงใจ กล่าว

นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมบางกลุ่มจึงนิยามโลกท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย
ในปัจจุบันว่า “แอนโทรโพซีน” (Anthropocene) หมายถึง ฤดูกาลที่ภาวการณ์ของโลกถูกเปลี่ยนแปลงโดยพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งแม้ยังไม่ได้รับการยอมรับเข้ามาอยู่ในธรณีกาล แต่นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม และนักธรณีวิทยาบางส่วนเริ่มตระหนักถึงความแปรปรวนของสภาพอากาศ การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต และสภาพแวดล้อมถูกทำลายโดยมนุษย์ 

เมื่อกาลเวลาพากิจกรรมไปไกลจากแก่นของประเพณี  

มนุษย์เป็นผู้สร้างวัฒนธรรมบนวิถีดำรงชีวิตที่สัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ เช่น ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์กับสังคม มนุษย์กับธรรมชาติ โดยคนส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นความดีงามต่อสังคม อาทิ ประเพณีลอยกระทงและสงกรานต์ ซึ่งสัมพันธ์กับทรัพยากรน้ำ ทั้งการใช้ประโยชน์และเทศกาลรื่นเริง อย่างแก่นของประเพณีลอยกระทง คือ “การเห็นความสำคัญของน้ำการสำนึกบุญคุณของน้ำ” แก่นของประเพณีสงกรานต์ คือ “การให้ความสำคัญกับครอบครัวการทำบุญกราบไหว้บรรพบุรุษในวันปีใหม่ไทย” ในสมัยก่อนที่ประชากรยังไม่มาก การจัดงานประเพณีลอยกระทงหรือเล่นน้ำสงกรานต์ เป็นเสมือนศูนย์รวมใจด้านวัฒนธรรมของชุมชนเล็ก ๆ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากเท่าปัจจุบันที่ประเพณีเหล่านี้ถูกจัดวางให้อยู่ในรูปแบบของมหกรรมแห่งชาติ กลายเป็นวัฒนธรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ 

แม้งานลอยกระทงหรือสงกรานต์ประกอบด้วยเรื่องพิธีกรรมและงานรื่นเริงในตัว แต่การให้น้ำหนักกับการจัดงานรื่นเริงเพื่อสร้างรายได้หรือทำแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยว การปรับเปลี่ยนรูปแบบจนแทบไม่เหลือเค้าของวัฒนธรรมสงกรานต์แบบเดิม แต่เป็นเหมือนเทศกาลใหม่ที่เอาปืนฉีดน้ำมาเล่นกันเพื่อความสนุกสนาน ส่วนประเพณีลอยกระทงซึ่งจัดขึ้นในยุคที่จำนวนประชากรมากกว่าอดีต ทำให้จำนวนกระทงที่เดิมลอยไม่กี่พันชิ้น
กลายเป็นแสนชิ้นล้านชิ้น ซึ่งเป็นขยะทั้งนั้น

สงกรานต์กับลอยกระทงแม้จะเป็นประเพณีที่ไม่ควรละเลย แต่ก็ถือเป็นจุดเล็ก ๆ ที่เป็นแอนโทรโพซีนที่แม้จะดูเล็กในสเกลใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ฝุ่น PM2.5 ดังนั้น สังคมจึงต้องทำความเข้าใจทั้งบริบทเชิงวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมตลอดจนการปลูกจิตสำนึกจากทั้งสองวัฒนธรรม ถึงแม้จะไม่สามารถหยุดยั้งการทำลายสภาพแวดล้อมแต่ก็ช่วยโลกให้ดีขึ้นได้บ้าง

ผมไม่โลกสวยในการมองว่าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ อะไรที่แก้ไม่ได้คือแก้ไม่ได้ เพราะเมื่อโลกปรับตัวแล้วจะปรับเลยโดยไม่สนใจมนุษย์และมนุษย์ไม่สามารถสั่งโลกได้ มนุษย์จึงต้องปรับตัวท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเพื่ออยู่อย่างไรไม่ให้ตาย ซึ่งเป็นการปรับตัวตามธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน”

ยกตัวอย่าง การตระหนักเรื่องฝุ่น PM2.5 เดิมเรียกว่าหมอกเคมี (Smog) ซึ่งเกิดในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่ปี 2523 เพราะรูปแบบเมืองที่เป็นกึ่งอุตสาหกรรม มีการใช้รถยนต์หนาแน่น แต่ไทยเพิ่งมาตระหนักว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาโดยการพ่นน้ำลดฝุ่น หยุดการใช้รถ ไม่ได้ทำให้ปัญหาจบ เพราะนอกจากควันรถแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ เกี่ยวข้อง เช่น การเผาในพื้นที่การเกษตรที่เปิดมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของทิศทางลม มนุษย์จึงต้องสร้างการตระหนักรู้และหาวิธีป้องกันตนเอง เช่น ออกนอกอาคารให้ใส่หน้ากาก เป็นต้น เพราะผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมบางอย่างเป็นปัญหาระดับมหภาค ระดับโลก ซึ่งผู้คนมีความตระหนัก เช่น การเกิดแคมเปญเรื่องคาร์บอนเครดิต แม้จะยังแก้ไม่ได้ก็ต้องพยายามลด ตัวอย่างเช่นในอดีต
คนตระหนักถึงการเกิดรูรั่วในชั้นโอโซนก็ตื่นตัวรณรงค์เพื่อแก้ปัญหา พอเริ่มแก้ไขจริงจังรูรั่วก็ลดลง

คุณค่าของประเพณีที่แปรเปลี่ยนตามบริบททางสังคม

ดร.ตรงใจ ขยายความเพิ่มเติมว่า คุณค่าหลักของประเพณีสงกรานต์เป็น “วันแห่งครอบครัว” มาจากรากเหง้าของสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับครอบครัว เป็นวาระที่ทุกคนกลับบ้านไปรวมตัวกัน ทำบุญร่วมกัน และรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ส่วนการสาดน้ำเดิมเป็นเพียงการละเล่นที่เด็ก ๆ อยากออกไปสนุกสนานกัน ดังนั้น ต้องแยกชัดว่า “สงกรานต์ไมใช่การสาดน้ำ” แต่การสาดน้ำเป็นงานรื่นเริงที่มาพร้อมกับคุณค่านี้

ด้วยบริบทที่เปลี่ยนไปการสาดน้ำสงกรานต์กลับกลายเป็นจุดขาย สะท้อนถึงความเป็นสังคมทุนนิยมที่จัดงานเหล่านี้เพื่อสร้างรายได้ให้จังหวัดหรือพื้นที่ ซึ่งไม่ผิดเพราะเมื่อจัดงานแล้วมีคนมาแสดงว่าเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ที่ไป ส่วนคนที่ไม่อยากไป ไม่ชอบเที่ยวสงกรานต์ เพียงแต่สื่อส่วนใหญ่มักนำเสนอภาพความรื่นเริงจากการเที่ยวสงกรานต์ แต่ไม่ได้ภาพต่างมุมของคนในสังคมบางส่วนที่มองคุณค่าของสงกรานต์เป็นวันหยุดพักผ่อนวันหนึ่ง เบื่อหน่ายกับการเที่ยวสงกรานต์เพราะไม่อยากเปียกน้ำ มองการเล่นสงกรานต์เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรน้ำ หรืออาจมีเหตุผลอื่นที่น่ารับฟัง ซึ่งสื่อควรนำเสนอเปรียบเทียบ

ถามว่าการจัดงานสงกรานต์กระทบกับทรัพยากรน้ำที่เราอุปโภคบริโภคไหม อันนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาเล่นกันตามมีตามเกิด พื้นที่ไหนไม่มีน้ำก็ไม่เล่น แต่ตอนนี้ประเพณีสงกรานต์กลายเป็นภาพจำร่วมของคนส่วนใหญ่ว่า ขึ้นชื่อว่าประเทศไทยต้องเล่นสงกรานต์กันทุกที่ ทั้ง ๆ ที่บางพื้นที่อาจไม่เล่นสงกรานต์กันเลยก็ได้ แต่ประเด็นคือถ้าเขายังจัดงานเล่นสาดน้ำกันได้แสดงว่าเขายังมีน้ำใช้พอเพียง แค่เราต้องการบอกว่าแก่นของประเพณีสงกรานต์ไม่จำเป็นต้องสาดน้ำ”

สิ่งที่ทำได้คือการตั้งข้อสังเกตให้คนตระหนักถึงการใช้น้ำอย่างพอเหมาะพอสมในการเล่นสงกรานต์ รวมถึงบทบาทของสื่อมวลชนในการช่วยฉายภาพพื้นที่น้ำแล้งที่เกิดขึ้น ณ ปีนั้น ๆ เพื่อรณรงค์การเล่นสงกรานต์แบบประหยัดน้ำ

อย่างไรก็ตาม ในแง่การจัดการพื้นที่ถือว่าดีขึ้นมากตรงที่มีการจัดโซนการละเล่นในเมือง ไม่ใช่สาดน้ำกันตรงไหนก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่ภาครัฐตระหนักว่าต้องมีการบริหารจัดการ เพราะการจัดงานที่มีคนเข้าร่วมมากนั้นควบคุมยาก เช่น การประแป้งที่เลยเถิดเป็นการลวนลาม เพียงแต่ไม่ใช่เป็นการตระหนักเพื่อให้หยุดหรือไม่หยุดมีงานประเพณี เพราะในมุมมองของวัฒนธรรมต้องเป็นไปโดยการเห็นพ้องของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่การสั่งการโดยอำนาจรัฐหรือใครคนใดคนหนึ่ง เมื่อต้องจัดก็ต้องจัดให้ปลอดภัย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ”

ส่วนคุณค่าหลักของประเพณีลอยกระทง ดร.ตรงใจ เล่าว่า ในทางตำนานแบ่งเป็น 2 สาย ได้แก่ สายพุทธหมายถึงการบูชาพระพุทธเจ้าจากรอยพระบาทที่ปรากฎบนฝั่งน้ำ และสายฮินดูหมายถึงการบูชาพระแม่คงคา เมื่อนำมาอธิบายให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม แก่นของการลอยกระทงก็คือ “การเห็นคุณค่าของน้ำและขอบคุณน้ำ” เป็นการนำพาความเคารพไปสู่พระพุทธเจ้าตามหลักพุทธหรือทวยเทพตามหลักฮินดู เพราะในโลกของฮินดูปรากฎการณ์ทางธรรมชาติถูกแปลความให้เป็นเทพเพื่อให้จับต้องได้ในเชิงความคิดและการให้ความเคารพ ซึ่งพระแม่คงคาเป็นตัวแทนของน้ำอยู่แล้ว

การสื่อสารและการศึกษาเพื่อธำรงทั้งประเพณีและสิ่งแวดล้อม

ดร.ตรงใจ กล่าวว่า สื่อมวลชนสามารถย่อยเรื่องราวเหล่านี้ให้เป็นความรู้ที่คนยุคปัจจุบันจับต้องได้ว่าน้ำคือรากเหง้าที่เป็นแก่นแท้ของประเพณีลอยกระทง เพื่อให้คนตระหนักในคุณค่าของน้ำโดยไม่จำเป็นต้องนำกระทงไปลอยในแม่น้ำก็ได้ หากคนส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าการลอยกระทงสร้างขยะและมลพิษทางน้ำ การลอยกระทงอาจถูกปรับเปลี่ยนไปในเชิงสัญลักษณ์หรือพิธีกรรมว่าเคยมีประเพณีแบบนี้เพื่อสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์น้ำ

โดยส่วนตัวผมเป็นคนไม่ลอยกระทง รู้สึกว่าสร้างมลภาวะ แต่มุมมองของผมต่อประเพณีเหล่านี้คือการตระหนักรู้ว่าน้ำสำคัญกับชีวิต ซึ่งง่ายต่อการทำความเข้าใจมากกว่าสงกรานต์ที่เป็นเหมือนมหกรรมของชาติ ภาพ “สงกรานต์” ที่ถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชนทำให้ดูเหมือนมีงานรื่นเริงกันทั้งเมืองทั้งที่ยังมีคนอีกมากเลือกที่จะ
อยู่บ้านหรือกลับไปหาครอบครัว”

สื่อมวลชนสามารถนำเสนอปรากฏการณ์ความรื่นเริงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ควรให้มุมมองที่สมดุลในมิติอื่น ๆ อาทิ การให้ข้อมูลความรู้กับสังคมให้รู้ลึกถึงรากเหง้า เข้าใจถึงคุณค่าของทั้งสองวัฒนธรรม การตั้งประเด็นใหม่เพื่อเปลี่ยนความคิดและการกระทำ เช่น การนำเสนอข่าวหรือรายงานข่าวเกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์ในมิติของ “วันครอบครัว” การนำเสนอประเด็นปัญหาด้านมลภาวะ ปัญหาการขาดแคลนน้ำในเขตชลประทานในพื้นที่เกษตรกรรมต่าง ๆ ผ่านความคิดเห็นของเกษตรกรที่รอฝนเพื่อให้สังคมโดยรวมเกิดการตระหนักกันเองว่า “สงกรานต์” ควร ลด เลิก หรือ เล่นกันแต่พอดี

นอกจากสื่อมวลชนแล้ว ดร.ตรงใจมองว่าเป็นหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการและโรงเรียนที่ต้องปรับความเข้าใจในภาพรวมทั้งหมด เช่น นอกจากมองการลอยกระทงหรือสงกรานต์เป็นประเพณีที่ดีงามแล้ว ยังต้องตระหนักเรื่องคุณค่าของน้ำควบคู่ไปด้วย ผ่านการนำเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์มาสู่การเรียนวัฒนธรรม เพื่อขยายมุมมองไปสู่ความเข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและต่อยอดไปถึงความเข้าใจโลกปัจจุบันที่กำลังเผชิญปัญหามลภาวะ รวมถึงการชี้ให้เห็นรากเหง้าดั้งเดิมของวัฒนธรรมซึ่งมาจากการเห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อมและปรับโลกทัศน์ให้เหมาะสม เช่น เมื่อประเพณีลอยกระทงสอนให้รู้จักคุณค่าของน้ำก็ต้องใช้น้ำอย่างมีคุณค่า

สำหรับ “องค์กรเอกชน” ซึ่งมุ่งดำเนินแนวนโยบายการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ถือเป็นอีกหน่วยหนึ่งที่สามารถช่วยเสริมการปลูกจิตสำนึกให้กับสังคม เช่น ประเพณีสงกรานต์ ถ้าจับไปที่แก่นของ “ครอบครัว” อาจทำแคมเปญเน้นการช่วยเหลือครอบครัวที่มีปัญหาโดยเชิญหน่วยงานด้านการพัฒนาสังคมหรือเชิญครอบครัวที่มีพื้นฐานดีอยู่แล้วมาร่วมช่วยกันหาทางออก ส่วนประเพณีลอยกระทงซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อาจทำแคมเปญขุดลอกคูคลอง บำบัดน้ำเสีย การให้องค์ความรู้ การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี การให้ทุนโครงการบำบัดน้ำเสีย รวมถึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการเผยแพร่ภาคอุตสาหกรรมที่มีโครงการหรือเทคโนโลยีในการบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีให้เห็นเป็นแบบอย่าง

การรณรงค์ลดขยะผ่านแคมเปญการลอยกระทงเชิงสัญลักษณ์ การลอยกระทงออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันแทน หากอยากลอยกระทงจริงอาจร่วมกันหาแนวทางในการผลิตวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้เลย เพราะถึงจะมีการรณรงค์ลดจำนวนกระทงในทุกปี แต่การผลิตกระทง 1 ใบ ประกอบด้วยวัสดุที่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมหลายอย่างทั้งพลาสติก โฟม ขนมปัง เข็มหมุด ลวดเย็บกระดาษ ถึงต่อให้ทำจากวัสดุธรรมชาติ สุดท้ายก็ยังเป็นขยะอยู่ดี ซึ่งวัสดุเหล่านี้หากไม่ไช้ทำกระทง สามารถนำไปทำประโยชน์ด้านอื่นได้อีกมากมาย

เรื่องนี้มองได้ 2 มุม คือ คนผลิตกระทงมีรายได้ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ถ้าสื่อนำเสนอภาพปริมาณขยะที่เกิดขึ้นทุกปี ฉายภาพกระบวนการทำลายทิ้งที่ยากลำบาก จนคนส่วนใหญ่เห็นว่าสร้างปัญหาจริง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ไปลอยกระทงหรือไปเที่ยวแต่ไม่ลอยกระทง พอคนขาย ๆ ไม่ได้ก็จะลดและเลิกไปในที่สุด”

ดร.ตรงใจ กล่าวต่อไปว่า การจัดงานเทศกาลงานประกวดนางนพมาศ ประกวดกระทงยักษ์ สามารถดำเนินการให้เป็นกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่ประเด็นคือไม่ต้องลอยน้ำจริง ลอยอย่างจำกัด หรือ ลอยเป็นสัญลักษณ์ก็ได้ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยยึดติดพิธีกรรม ต้องการประหยัด และต้องการแค่ความสนุกสนานรื่นเริง

ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามบริบท สมัยผมยังเด็กทั้งสองประเพณีไม่ได้จัดใหญ่ขนาดนี้ แต่ตอนนี้ต้องแข่งกันจัดงานแข่งกันรายงานว่าใครจัดได้ใหญ่กว่ากัน จนทำให้คุณค่าทางวัฒนธรรมถูกกลบโดยคุณค่าทางทุนนิยม พอพูดถึงสงกรานต์คือสาดน้ำ พูดถึงลอยกระทงคือปล่อยกระทงลงน้ำ”

นอกจากนี้ ยังเป็นหน้าที่ของ “นักวิชาการ” ในการทำงานร่วมกับสื่อมวลชนเพื่อส่งต่อความรู้ที่เป็นเหตุเป็นผลให้สื่อนำไปย่อยเป็นข้อมูลที่เสพง่ายส่งต่อให้กับมวลชน

ในฐานะที่ทำงานด้านวัฒนธรรม ดร.ตรงใจ กล่าวว่า นักวิชาการทำได้แค่ให้ความรู้ที่เป็นเหตุเป็นผล แต่ไม่สามารถ
ชี้ชัดว่าประเพณีนี้ควรมีอยู่ต่อไปหรือถูกยกเลิก เพราะวัฒนธรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การปรับเปลี่ยนยกเลิกต้องเป็นไปตามธรรมชาติ หมายความว่าเมื่อประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าไม่เหมาะสมก็จะค่อย ๆ ลด ละ เลิกไปโดยปริยาย

อีกทั้งจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวแปรสำคัญของการเกิดมลภาวะต่าง ๆ แนวทางแก้ไข คือ การเสริมสร้างองค์ความรู้ให้คนส่วนใหญ่ในสังคมจนกว่าพวกเขาจะตระหนักได้ด้วยตัวเองเพราะประเด็นด้านวัฒนธรรมที่ยึดโยงกับปัญหาสิ่งแวดล้อมจะถูกยกเลิกปรับเปลี่ยนหรือบรรเทาลงได้เพราะคนส่วนใหญ่มี “องค์ความรู้” นั่นเอง