เลือกหน้า

ใครฆ่าคุณค่าข่าว ข่าวไร้คุณค่าฆ่าสังคม

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างช่องทางสื่อสารที่เปิดกว้าง และเปิดทางให้ทุกคนสามารถเลือกเสพหรือเป็นผู้ผลิตสื่อผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อใคร ๆ ก็สามารถเป็นสื่อได้จึงเกิดปรากฎการณ์การนำเสนอข่าวหรือคอนเทนต์บนสื่อออนไลน์ที่ยากต่อการกำกับดูแลให้เป็นไปตามมาตรฐานหรือจริยธรรมสื่ออย่างที่ควรเป็น อาทิ การนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่มุ่งความบันเทิง เน้นความตื่นเต้นเร้าอารมณ์ วางคุณค่าข่าวไว้กับความเป็นดราม่าเพื่อเรียกเรตติ้ง ยอดการมองเห็น ยอดจำนวนผู้ชมที่มีส่วนร่วมหรือตอบสนองต่อโพสต์ข่าวนั้น ๆ ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจลงโฆษณาของแบรนด์ ที่น่าตั้งคำถามคือ ทำไมสื่อมวลชนกระแสหลักจึงปรับตัวตามสื่อออนไลน์เพื่อให้แข่งขันได้ จนไปถึงการเสนอข่าวปลอมหรือข่าวบิดเบือนเกลื่อนพื้นที่สังคมออนไลน์

คุณสมชัย สุวรรณบรรณ อดีตกรรมการนโยบาย และอดีตผู้อำนวยการ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ ไทยพีบีเอส เปรียบเทียบการนำเสนอคอนเทนต์บนหน้าสื่อทุกวันนี้ว่าไม่ต่างจากการบริโภคอาหารที่ผิดอย. คือบริโภคแล้วท้องเสีย แต่ยังบริโภคต่อไปเพราะว่ารสชาติอร่อย การนำเสนอข่าวของสื่อก็เช่นกัน ที่อ้างว่าทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่จริง ๆ แล้วประชาชนไม่ได้ประโยชน์จากข่าวนั้นมากกว่าอารมณ์ความรู้สึก หน่วยงานที่รับผิดชอบก็นิ่งเฉย ไม่ตรวจตราดูแล ปล่อยให้สังคมบริโภคคอนเทนต์ที่เป็นพิษสะสมไปเรื่อย ๆ เพราะติดใจรสชาติจัดจ้าน แต่สุขภาพของผู้บริโภคเสื่อมลง และไม่ใช่แค่ความเสื่อมของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความเสื่อมของสุขภาพสังคมโดยรวม ทั้งนี้เป็นเพราะไม่มีใครเตือนว่าการบริโภคคอนเทนต์ที่ด้อยคุณภาพไปนาน ๆ จะทำให้กระบวนการทางความคิด กระบวนการทางตรรกะผิดเพี้ยนไปหมด ส่วนผู้ผลิตและขายคอนเทนต์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เพราะรวยไปแล้ว

“ก่อนจะถามว่ามีคุณค่าข่าวไหม ต้องแยกแยะก่อนว่าสิ่งที่นำเสนออยู่นั้นเป็นข่าวหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ข่าวก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องคุณค่าข่าว ตัวอย่างกรณีข่าวลุงพล และข่าวอื่น ๆ ที่วนเวียนในสื่อสังคมออนไลน์และบนสื่อกระแสหลัก หลายครั้งไม่ใช่ข่าว”

ข่าว คือ “ความถูกต้อง” และ “ข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้”

คุณสมชัย กล่าวว่า คำจำกัดความของคอนเทนต์ประเภทข่าว ประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ “Accuracy” การนำเสนอที่มีความถูกต้องเที่ยงตรงต่อประเด็นที่เกิดขึ้น และ “Verifying Fact” ข้อมูลที่เป็นข่าวต้องพิสูจน์ตรวจสอบได้ว่า เป็นความจริง เป็นข้อเท็จจริง

แต่คอนเทนต์ที่ปรากฎตามแพลตฟอร์มสื่อต่าง ๆ ซึ่งผสมความเป็นดราม่าเข้าไป ไม่ใช่ทั้งข่าวและไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ (Comment) เป็นจำนวนมาก อาทิ ความคิดเห็นของคนที่ไม่รู้จริงแต่อยากแสดงความคิดเห็น ความคิดเห็นของผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องยึดโยงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือเข้าข้างกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การคาดเดาไปต่าง ๆ นานา (Speculative) ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นข้อเท็จจริง หรือ ความคิดเห็น เช่น ในข่าวแนววิถีเหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาตร์

ดังนั้น เมื่อเอาหลักความเป็นข่าวไปจับคอนเทนต์ใน(บาง)สื่อกระแสหลักหรือสื่อสังคมออนไลน์ จะพบว่ามีจำนวนมากเลยที่ไม่ใช่ข่าว แล้วจะวัดคุณค่าข่าวกันตรงไหน หรือถึงเป็นข่าวตามนิยามแล้ว ก็ยังต้องผ่านขั้นตอนการจัดลำดับคุณค่าข่าว ซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของกองบรรณาธิการ หรือบรรณาธิการอาวุโสในการพิจารณาว่า สมควรนำเสนอสู่สาธารณะหรือไม่

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ยังคงเป็นข้อต่อสู้กันมาตลอด คือ การแยกแยะว่าข่าวใดเป็นประโยชน์สาธารณะ (Public Interest) ที่กระทบต่อผู้คนจำนวนมาก ข่าวใดเป็นเพียงความสนใจใคร่รู้ส่วนบุคคลหรือเฉพาะคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (Human Interest) หรือบางครั้งเรื่องราวแบบ Human Interest อาจกลายเป็น Public Interest ได้ จึงเป็นหน้าที่ของบรรณาธิการอาวุโสอีกเช่นกัน หากต้องการรักษาภาพลักษณ์ของแบรนด์ในฐานะความเป็นสื่อคุณภาพ จะต้องระแวดระวังในการพิจารณาว่า อะไรคือข่าวเพื่อประโยชน์สาธารณะ อะไรเป็นเพียงความสนใจของคนเฉพาะกลุ่ม เพื่อแยกแยะสิ่งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวออกจากกัน

“นิยามความเป็นข่าวในประเทศไทยถูกใช้อย่างผิดเพี้ยนและไม่ถูกต้อง สิ่งที่คุยกันทางหน้าจอทีวีหรือบนสื่อสังคมออนไลน์ หลายครั้งไม่สามารถพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงได้ เป็นเพียงการคาดเดา ให้ความเห็น และถึงแม้การแสดงความคิดเห็นของคนบางคนเป็นข่าวได้ เช่น กรณีข่าวอาชญากรรม ความเห็นของผู้บัญชาการตำรวจนครบาล อัยการ ทนายความฝ่ายจำเลย เป็นข่าวได้ แต่จะให้จำเลยมาพูดออกสื่อไม่ได้” คุณสมชัย กล่าว 

ในประเทศอังกฤษ ยุโรป สหรัฐอเมริกา เหตุการณ์หรือคอนเทนต์ที่ปรากฎในสื่อกระแสหลักหรือสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะช่าวอาชญากรรมที่มีประชาชนสนใจจำนวนมาก การไต่สวนคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งยึดหลักอ้างอิงผลทางนิติเวช การสอบสวนที่มีความหลากหลายและเป็นมืออาชีพ จะมีกฎหมายคุ้มครองเฉพาะ เช่น “Perverting the course of justice” ของประเทศอังกฤษ หรือ “Obstruction of justice” ของประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อกำกับดูแลการทำงานของสื่อไม่ให้ไปยุ่งเหยิงหรือเบี่ยงเบนกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนป้องปรามการรายงานข่าวของสื่อมวลชนที่อาจทำให้รูปคดีบิดเบี้ยว สังคมเกิดความเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

ยกตัวอย่าง คดีแม่ลูกหนึ่งจมน้ำตายในอังกฤษ ปกติสื่อมวลชนจะรายงานสถานการณ์ข่าวพื้น ๆ โดยทั่วไป แต่จะมีกลุ่มยูทูบเบอร์และสื่อสังคมออนไลน์เริ่มไปรายงาน ณ ที่เกิดเหตุ บรรยายเรื่องราวให้เกิดปมดราม่าต่าง ๆ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเตือนให้ยุติ ไม่เช่นนั้นจะโดนคดีไปยุ่งเหยิงกระบวนการไต่สวนของตำรวจ

นอกจากนี้ ในประเทศอังกฤษยังมีหน่วยงานกำกับดูแลสื่อวิทยุโทรทัศน์ เรียกว่า Ofcom เปรียบได้กับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ของไทย ซึ่งวางแนวทางการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีอาชญากรรมตามหลักของกระบวนการยุติธรรม ประกอบด้วย ตำรวจ อัยการ เจ้าหน้าที่นิติเวช ทนายความฝ่ายจำเลย เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปตามครรลองที่ถูกต้อง ไม่มีกระแสกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสังคมส่วนใดส่วนหนึ่ง เช่น จากญาติพี่น้องของผู้เสียหายหรือผู้ตาย จากญาติพี่น้องของจำเลย

ดังนั้น สื่อมวลชนในอังกฤษจะไม่สัมภาษณ์ญาติพี่น้อง หรือ บุคคลใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีแต่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์ ขณะที่พยานซึ่งเห็นเหตุการณ์ต้องไปให้การกับตำรวจ ไม่ใช่มาให้การกับสื่อมวลชน ไม่เช่นนั้นพยานคนนั้นอาจโดนคดี และสื่อมวลชนจะโดนข้อหา Perverting the course of justice ไปด้วย

“ซึ่งต่างจากการรายงานข่าวอาชญากรรมของสื่อมวลชนไทยที่ค่อนข้างเลอะเทอะเปรอะเปื้อน มีความเป็นดราม่าสูง เข้าใจว่า กสทช. ไทย น่าจะมีกรอบควบคุมการนำเสนอข่าวอาชญากรรม เพียงแต่ปฏิบัติได้ตามขั้นตอนหรือไม่” คุณสมชัย กล่าว

อย่างไรก็ตาม คุณสมชัย กล่าวว่า เป็นความลำบากใจในการนำเสนอความคิดเรื่องการออกกฎหมายป้องกันความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเกิดโดยการกระทำของใคร เพราะที่ผ่านมา ความเป็นมืออาชีพของตำรวจหรือสื่อมวลชนก็มีปัญหาอยู่เหมือนกัน เช่น มีทั้งสื่อคุณภาพซึ่งสามารถเปิดโปงกระบวนการยุติธรรมที่บิดเบี้ยวโดยสุจริต และสื่อที่ตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมโดยรับวาระจากใครบางคน เพื่อทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว หรือมีผลต่อความไว้วางใจในกระบวนการยุติธรรม และความเป็นมืออาชีพของตำรวจ

ที่ผ่านมามีกระบวนการขับเคลื่อนให้มีกฎหมายควบคุมเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เกิดหน่วยงานกสทช. มาทำหน้าที่กำกับดูแล แต่เมื่อมีสื่อสังคมออนไลน์เกิดขึ้น กลับยังไม่มีความชัดเจนว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานใดในการกำกับดูแลสื่อเหล่านี้ ซึ่งได้ประโยชน์จากการขายโฆษณาเช่นกัน ดังนั้น การเคลื่อนไหวผ่านพรรคการเมืองเพื่อให้มีมาตรการทางกฎหมายมาจัดการกับแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่ปฏิบัติตามกรอบจริยธรรมที่ดีงาม ถือเป็นสิ่งใหม่ ขนาดในประเทศอังกฤษยังต้องออกกฎหมายเพิ่มเติมในการคุ้มครองผู้เยาว์ เมื่อพบแพลตฟอร์มออนไลน์ที่นำเสนอคอนเทนต์ไม่เหมาะสม จะโดนกฎหมายเล่นงานตรงไปที่ตัวแพลตฟอร์ม เช่น ยูทูบ เฟซบุ๊ก ติ๊กต็อก ให้ต้องถอดคอนเทนต์นั้นออกไป

“ถึงจะยังไม่รู้ว่า การออกกฎหมายเหล่านี้มาจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่ถือว่ายังดีที่มีการเคลื่อนไหวเพื่อเริ่มต้นอะไรบางอย่าง เป็นการต่อจิ๊กซอว์ให้แต่ละองค์กรมีกระบวนการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น”

การลงโทษโดยผู้บริโภคสื่อ เมื่อกฎหมายยังเอื้อมไมถึง

แม้ในประเทศอังกฤษมี Ofcom ประเทศไทยมีกสทช. ในการกำกับดูแลการทำงานของสื่อ แต่ก็ครอบคลุมเฉพะสื่อวิทยุโทรทัศน์ที่ใช้คลื่นความถี่ซึ่งเป็นทรัพยากรสาธารณะ แต่ยังขาดกลไกในการตรวจสอบดูแลสื่อประเภทอื่น เช่น สื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่มีองค์กรใดมารวบรวมและกำหนดมาตรฐานจริยธรรมร่วมกัน ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งถูกแทนที่ด้วยสื่อดิจิทัล ก็มีแค่กฎหมายปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เป็นเครื่องมือกำกับ หรือเป็นเพียงสมาคมสื่อที่ตั้งขึ้นมากำกับดูแลกันเอง ดังนั้น สิ่งที่เห็นว่าเกิดขึ้นได้จริงจังพอประมาณแม้จะไม่เกิดผล 100% คือ “การกำหนดมาตรการลงโทษโดยสังคมหรือผู้บริโภคสื่อ (Social Sanction หรือ Consumer Sanction)”

ตัวอย่างบรรดาสื่อสิ่งพิมพ์หัวสี สื่อแทบลอยด์ในอังกฤษที่นิยมลงข่าวหวือหวาจนขาดมาตรฐานจริยธรรมความเป็นสื่อ สร้างความเสียหายกับเหยื่ออาชญากรรม สื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่ได้อยู่ในกำกับดูแลของ Ofcom หรือตัวสื่อมวลชนเองที่ได้ประโยชน์จาการขายขยะออกมาทางหน้าสื่อสิ่งพิมพ์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ สมาคมผู้บริโภคจะรวมตัวกันอย่างแข็งขันเพื่อรณรงค์กิจกรรมอย่างเปิดเผย (High Campaign) โดยพุ่งเป้าไปที่แบรนด์ดัง หรือผู้โฆษณารายใหญ่ กดดันให้ยุติการลงโฆษณาสนับสนุนแพลตฟอร์มข่าวที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือสื่อที่อ้างว่าเป็นสื่อมวลชนแต่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานความเป็นสื่อ หากยังดื้อดึงเพียงเพื่อต้องการกระแสเรตติ้ง ผู้บริโภคจะหยุดซื้อสินค้าและบริการขององค์กรนั้น ๆ เพื่อให้ยอดขายตก ชื่อเสียงของแบรนด์เริ่มเสียหายจนต้องค่อย ๆ ทยอยถอดโฆษณาออกจากสื่อ กระทั่งสื่อต้องเปลี่ยนพฤติกรรม หรือเลิกกิจการไปในที่สุด

“เหตุที่ขบวนการ High Campaign เลือกรณรงค์กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ซื้อสื่อโฆษณาซึ่งถือแบรนด์ดัง ๆ ธุรกิจยักษ์ใหญ่ เช่น บริษัทรถยนต์ สายการบิน ห้างค้าปลีก แทนที่จะเป็นสื่อมวลชนโดยตรง เพราะรู้ดีว่าสื่อบางรายไม่สนใจอยู่แล้วเนื่องจากเรตติ้งสูง การเล็งเป้าไปที่ผู้ซื้อสื่อโฆษณา ซึ่งต้องระวังเรื่องมูลค่าของแบรนด์ ภาพลักษณ์ของแบรนด์ หากเกิดความเสียหายจะทบทวนว่า การลงโฆษณาต่อไปจะคุ้มไหม ทั้งหมดต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรและต้องทำไปเรื่อย ๆ จึงจะเห็นผลสำเร็จในการใช้มาตรการทางสังคมควบคุมสื่อ”

คุณสมชัย กล่าวว่า การคาดหวังการกำกับดูแลแค่เฉพาะจากภาครัฐ หรือสมาคมสื่ออาจเป็นได้ยาก แต่หากผู้บริโภคลองเริ่มต้นทำ High Campaign ทำนองนี้ไปเรื่อย ๆ โดยร่วมกับสมาคมผู้บริโภค มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ต่อต้านสื่อที่ทำข่าวที่ไม่มีคุณค่ามาขาย ผลิตคอนเทนต์ที่สร้างความสับสนยุ่งเหยิงกับสังคม ก็น่าจะได้ผลเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในประเทศอื่น

รวมไปถึงการทำงานควบคู่ไปกับสื่อมวลชนน้ำดี เพื่อจุดประเด็นล็อบบี้พรรรคการเมืองให้ออกกฎหมายป้องกันการเข้าไปยุ่งเหยิงกับกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ perverting หรือ obstruction ก็ได้ ขณะเดียวกันสื่อมวลชนที่ต้องการให้คุณภาพวงการสื่อดีขึ้น อาจจุดประกายเรียกร้องหาเพื่อนร่วมวิชาชีพมาร่วมดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน แม้ว่าจะยังมีสื่อที่ออกนอกลู่นอกทาง และได้ประโยชน์จากการขายเรตติ้งอยู่ก็ตาม

ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ เป็นเรื่องจำเป็น 

คุณสมชัย กล่าวว่า การสอนสังคมให้รู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) เป็นเรื่องต้องใช้เวลาพอสมควร เท่าที่สังเกตดูจากสื่อสังคมออนไลน์ เวลามีข่าวหรือคอนเทนต์ข่าวที่ขายความเป็นดราม่า มันยากที่จะชี้ประเด็นให้สังคมเรียนรู้และเท่าทัน ซึ่งอาจจะไม่สำเร็จด้วย แต่ถ้าเริ่มจากทำมาตรการลงโทษทางสังคมให้สำเร็จสักหนึ่งแคมเปญ จะเกิดโดมิโนกระทบไปส่วนอื่นได้

“หลายครั้งเวลาผมเห็นข่าวที่ลงในสื่อสังคมออนไลน์หรือกลุ่มไลน์ที่มีเยอะแยะไปหมด พอเปิดดูก็รู้ว่าบางเรื่องเป็นการชวนเชื่อ (Propaganda) ที่ถูกชี้นำมาแล้ว เช่น ด้านการเมืองบ้าง ด้านสังคมบ้าง คนอ่านก็เชื่อแล้วคล้อยตาม เพราะวิธีการเขียนค่อนข้างเป็นมืออาชีพ พอเราไปตั้งคำถามว่าคอนเทนต์นี้มาจากไหน ก็ถูกตำหนิว่าทำไมต้องตั้งคำถาม หรือถ้าไปให้ความเห็นอะไรที่แตกต่างออกไปบนสื่อสังคมออนไลน์ จะมีคนมาทะเลาะกับเรา” 

คุณสมชัย แนะว่าการรู้เท่าทันสื่อที่สังคมทำได้เลยคือให้ความระมัดระวังในการเปิดรับและคอยตรวจสอบที่มาที่ไปของข่าวหรือแหล่งข่าว การตั้งคำถามกับข่าวหรือคอนเทนต์ที่ปล่อยมาลอย ๆ โดยไม่รู้ว่ามาจากไหน ใครเป็นคนเขียน ใครให้ข้อมูล เพื่อดูว่ามีความน่าเชื่อถือแค่ไหน ถ้าเป็นข่าวที่มาจากสำนักข่าว อาทิ ซีเอ็นเอ็น บีบีซี อัลจาซีร่า อย่างน้อยก็มีหลักประกันในความเป็นแบรนด์ว่าข่าวหรือคอนเทนต์เหล่านี้ผ่านกระบวนการทางวารสารศาสตร์ในการตรวจสอบจากองค์กรสื่อ ส่วนกรณีแอบอ้างชื่อสำนักข่าวมาทำให้คอนเทนต์ของตัวเองน่าเชื่อถือ ก็ควรตรวจสอบข้อมูลกับเว็บไซต์สำนักข่าวว่านำเสนอข่าวนี้ออกไปจริงหรือไม่   

“คนยุคเบบี้บูมเมอร์อย่างผมอายุ 60-70 ปี ที่เชื่อโดยไม่ตรวจสอบก็มี เยอะมากด้วย ทั้งที่ควรต้องระแวดระวัง แล้วการไปสอนให้คนปูนนี้เข้าใจเรื่องการรู้เท่าทันสื่อนั้นยาก เผอิญผมอยู่ในวงการสื่อจึงมีทักษะพอตรวจสอบได้ สามารถใช้ความเป็นมืออาชีพตรวจสอบคนที่นำเสนอคอนเทนต์แบบมีวาระได้ตามหลักมาตรฐานสากล แต่เพื่อนผมที่ไม่ได้อยู่วงการสื่อ จะระอาเวลาที่ผมพยายามบอกเขาเรื่อง Media Literacy เราจึงต้องสอนคนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตขึ้นมาให้เรียนรู้ทักษะการตรวจสอบข่าว ไม่ใช่เฉพาะกับสื่อกระแสหลัก แต่รวมถึงการตรวจสอบข่าวที่มีมากมายเป็นร้อยเป็นพันบนสื่อสังคมออนไลน์ด้วย”  

คุณสมชัย สรุปสั้น ๆ อย่างน่าสนใจว่า “สื่อใดที่ไม่สามารถสร้างแบรนด์ให้มีความน่าเชื่อถือ เป็นสื่อที่ไม่น่าเชื่อถือ” และขยายต่อว่าสื่อยักษ์ใหญ่สะสมความน่าเชื่อถือของแบรนด์มานานนับสิบ ๆ ปี ส่วนสื่อสังคมออนไลน์ เช่น ยูทูบเบอร์ หรือ อินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งใช้ตัวเองเป็นแบรนด์ วันหนึ่งเมื่อทำผิดพลาด มีคนทักท้วงโต้แย้งจนเขาอยู่ไม่ได้ ก็ต้องปรับตัวให้อยู่ในร่องในรอย และสร้างความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น แต่เป็นเรื่องตลกร้ายที่มีคนจำนวนหนึ่งยังเลือกเชื่อถือสำนักข่าวซึ่งไม่เคยได้ยินชื่อ นำคอนเทนต์ที่ไม่มีที่มาที่ไปมาบอกว่า เป็นความจริง

“ผมเห็นอสมท ทำแคมเปญ “ชัวร์ก่อนแชร์” คือ ถ้ามีสื่อยักษ์ใหญ่ที่แบรนด์น่าเชื่อถือ ช่วยกันทำเรื่องนี้บ้างก็ดี อย่างบีบีซีเองก็ตั้งหน่วยงานชื่อ BBC Verify คอยตรวจสอบข่าวเฟคนิวส์ไม่ว่าจะมาจากสื่อใด จากนั้นนำมาลงในแพลตฟอร์มของตัวเอง เพื่อให้ผู้อ่านตรวจสอบว่าข่าวที่บริโภคไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนและเชื่อไปแล้ว สุดท้ายไม่ใช่ข่าวจริง”

ทำอย่างไรเมื่อการสร้างคุณค่าข่าวต้องเผชิญกับการแข่งขันช่วงชิงเรตติ้ง

คุณสมชัย ให้ความเห็นว่า ต้องเริ่มจากจุดที่มีคนบ่นกันมากก่อน ซึ่งคือ ข่าวอาชญากรรม แต่ถามว่า ข่าวอื่นมีปัญหาไหม ก็มีปัญหาเหมือนกันหมด อย่างเวลาพูดเรื่องข่าวการเมือง จะมีประเด็นเรื่องพวกใครพวกมัน แต่พอเป็นข่าวอาชญากรรม สังคมคิดตรงกันว่า ยอมให้นำเสนอข่าวอาชญากรรมแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องหาแนวทางกำกับดูแล ทีนี้การจับปลาหลายมือก็อาจหลุดมือหมด ดังนั้น ต้องเริ่มแคมเปญจากจุดที่คนบ่นเยอะ จัดลำดับความสำคัญแล้วดูว่า ขับเคลื่อนไปได้แค่ไหน ซึ่งแค่การเคลื่อนไหวในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของดาราที่ไปอ่านข่าวหน้าจอ ผู้ประกาศข่าวหน้าจอ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ต้องนับถึงกลุ่มที่ไปรับวาระมาเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการกันต่อไป

ส่วนความอยู่รอดของสื่อในกลไกของระบอบทุนนิยม ซึ่งบังคับให้สื่อต้องสร้างเรตติ้งให้สูง มียอดการมอง ยอดเข้าชม หรือ Engagement มาก ๆ ทำให้โฆษณาเข้าก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่เข้าไปดูจะเชื่อในคอนเทนต์ทั้งหมด อาจแค่ดูสนุก ผ่อนคลายไปวัน ๆ แล้วเรื่องแบบนี้ ไม่สามารถเอากฎหมายไปบังคับได้ ดีไม่ดีสื่อจะท้วงว่า ไปควบคุมสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนเสียอีก แต่ถ้าเป็นมาตรการลงโทษทางสังคม จะเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพสื่อ แต่เราไม่บริโภคสินค้าคุณเพราะเราไม่ชอบคุณ

แม้จะยากอยู่สักหน่อยในการตามหาผู้ที่จะมานำประเด็นเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน แต่การขยับของหน่วยหนึ่งในสังคมที่มีเป้าประสงค์ชัดเจน มีความตั้งใจจริงอย่างชัดเจน แม้เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ก็ขยายผลได้ คุณสมชัย เห็นว่าน่าจะเริ่มต้นจากสมาคมคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งมีการขับเคลื่อนอยู่หลายโครงการ เช่น การเคลื่อนไหวต่อประเด็นการควบรวมค่ายมือถือ ตลอดจนมูลนิธิต่าง ๆ หรือ เอ็นจีโอที่เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิเสรีภาพสื่อ คุณภาพสื่อ มาตรฐานจริยธรรมสื่อ จะร่วมมือกันเป็นกลุ่มก้อน หรือต่างคนต่างทำก็ได้แต่ขอให้มีเป้าหมายเดียวกัน

“เมื่อถึงจุดหนึ่งจะมีแรงกดดันกลับไปหาสื่อเอง หากสังคมมุ่งเป้าไปยังแพลตฟอร์มที่ถึงแม้จะมีโฆษณาเข้าเยอะ ๆ แต่นำข่าวหรือคอนเทนต์ดราม่าที่ไม่มีคุณค่ามาขาย แล้วทำแคมเปญบอยคอตสินค้าของบริษัทที่ไปลงโฆษณาในแพลตฟอร์มนั้นอย่างชัดเจน เปิดเผย ถึงเริ่มแรกจะไม่ได้ผล แต่ถ้าทำต่อไปเรื่อย ๆ ก็น่าจะได้ผลเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศอื่น ๆ ” คุณสมชาย กล่าวในที่สุด

Winner Gamer เกมพิชิตฝัน II ตอนที่ 2

“เล่นนานเกิน! เด็กวัย 13 ติดเกมออนไลน์ ช็อคใจสั่น ถูกหามส่ง ร.พ.”
“เด็กป.6 ติดเกมหนัก ไม่ยอมขยับ 48 ชม. แม่เครียดตามป้อนข้าว”
“โอละพ่อ!เด็ก10ขวบ โกหกพ่อ โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก สูญเงิน 1.2 ล้าน ที่แท้เติมเกม”
“อึ้ง! เด็กไทยติดเกมออนไลน์ ขโมยบัตรเครดิตพ่อแม่ เติมเงินเป็นแสนบาท”

ตัวอย่างพาดหัวข่าวเด็กติดเกมเหล่านี้ มักมีให้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่มีแต่ในแง่มุมของการสร้างปัญหา และก่อเหตุความรุนแรง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ก็มีเด็กอีกหลายคนที่เล่นเกม จนได้เป็นเกมเมอร์ เป็นนักกีฬาE-sport หรือนำความเชี่ยวชาญจากการเล่นเกมไปสร้างอาชีพกระทั่งประสบความสำเร็จ มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

แนวคิดนี้กลายมาเป็นไอเดียเริ่มต้นของ ปริฉัตร์ บุญสาร และทีมงานบริษัท เท่นิยม จำกัด ที่นำมาสร้างสรรค์ผลิตเป็นรายการทอล์คที่ชื่อว่า “Winner Gamer เกมพิชิตฝัน II” โดยในซีซั่น2นี้ ยังคงได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปี 2564 ส่วนรูปแบบในการนำเสนอ จะต่างจากซีซั่นแรก ที่เน้นนำเสนอเรื่องราวของเด็กติดเกม ว่าสามารถก้าวข้ามจากภาวการณ์นั้นออกมาได้อย่างไร และจะเป็น The Winner ในชีวิตจริงได้อย่างไร ส่วนในซีซั่นนี้จะเน้นเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันให้รู้เท่าทันสื่อในเกมมากขึ้น

“เด็กหลาย ๆ คน ก็อยากเป็นแชมป์ อยากเป็นเกมเมอร์ อยากเป็นนักกีฬา E-sport เพราะมองว่าเล่นเกมแบบนี้แล้วจะได้เงินเยอะ ร่ำรวย โดยไม่ได้คิดว่าระหว่างทาง ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ เขาต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่เรามอง เราไม่ได้มองปลายทางที่เขาประสบความสำเร็จ แต่เรามองถึงระหว่างทาง ก่อนที่เขาจะประสบความสำเร็จ เขาจะต้องผ่านอะไรมา ต้องมีวินัย ฝึกซ้อม รู้เท่าทันเกม ไม่ใช่เล่นเกมตลอด 24 ชั่วโมง แล้วก็ไม่เรียน ทุกอย่างต้องมีความบาลานซ์อย่างเหมาะสม ถึงจะประสบความสำเร็จได้”

รายการทอล์ค “Winner Gamer เกมพิชิตฝัน II” มีทั้งหมด 12 ตอน ความยาวตอนละ 25 นาที ออกอากาศทางช่อง 9 Mcot HD ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และสามารถชมย้อนหลังได้ทางยูทูบ โดยแต่ละตอนจะเล่าผ่านประสบการณ์ของบุคคลต้นแบบ ซึ่งมีแง่มุมที่น่าสนใจแตกต่างกันออกไป เช่น เส้นทางชีวิตของ “เนส สรรเพชร มารัตร์” นักกีฬาE-sport ฉายาเฟริ์สวัน ที่เคยเป็นเกมเมอร์อยู่สโมสรของบุรีรัมย์ ที่บ้านเขาไม่ได้ร่ำรวย แต่ชอบเล่นเกม จึงพยายามฝึกฝนมาเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้ทิ้งการเรียน สุดท้ายได้เป็นเกมเมอร์ที่ประสบความสำเร็จมีรายได้เยอะมาก , เรื่องราวของ “ทัก ชวิทลิทธ์ ธิเดชรัตน์” ที่เคยเป็นเด็กติดเกม แต่สอบติดแพทย์ได้สำเร็จ , และเคสเด็กติดเกม ที่ใช้ความชอบและความเชี่ยวชาญมาเปิดบริษัทเอไอเป็นของตัวเอง ฯลฯ

“ความตั้งใจของเรา ไม่ใช่ดูแค่รู้ว่าคนนี้เขามีความเป็นมายังไง แต่อยากให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ดูแล้วรู้สึกว่าลูกเราหลานเราก็ติดเกมแบบนี้นี่นา แล้วนำแง่คิดที่ได้จากการรับชมไปปรับใช้ เพราะบางครอบครัวอาจจะยังไม่รู้จักวิธีแก้ไข ซึ่งในแต่ละตอน นอกจากมีบุคคลต้นแบบแล้ว ก็ยังมีคนใกล้ชิด พ่อแม่ ครอบครัว หรือเพื่อน ๆ ที่อยู่ในห้วงเวลาที่เขาติดเกม มาเล่าให้ฟังด้วยว่า ณ ช่วงเวลานั้นเป็นยังไง แล้วกว่าที่จะครอบครัวจะทำให้เขากลับมาประสบความสำเร็จได้เหมือนในปัจจุบัน เขามีวิธีการยังไง และยังมีนักจิตวิทยามาช่วยให้คำแนะนำด้วยว่า สิ่งที่พ่อแม่ทำ หรือบุคคลต้นแบบทำ เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้วหรือยัง หรือมันควรจะเป็นอย่างไร”

บุคคลต้นแบบ ที่เคยเป็นเด็กติดเกมทั้ง 12 คน ล้วนมีเรื่องราวชีวิต และแง่คิด จากประสบการณ์ที่เคยพ่ายแพ้ หรือล้มเหลวมาก่อน กว่าที่พวกเขาจะก้าวมายืนอยู่ในจุดที่ประสบความสำเร็จ แต่ละคนจะมีวิธีจัดการชีวิตตัวเองอย่างไร มาร่วมพิสูจน์กันได้ใน Winner Gamer เกมพิชิตฝัน 2

#กองทุนสื่อ #WinnerGamerเกมพิชิตฝันSeason2
#เล่าสื่อกันฟัง #บทความเล่าสื่อกันฟัง
#ผลงานผู้รับทุนกองทุนสื่อ
#สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

ติดตาม “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” ได้ที่
Website : www.thaimediafund.or.th
Facebook : กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
Youtube : www.youtube.com/c/ThaiMediaFund
Line Official : @thaimediafund

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดเสวนาบทบาทสื่อมวลชนในการขับเคลื่อนสังคม ย้ำจุดยืนรักษาจรรยาบรรณ ยึดถือวิชาชีพ ใส่ใจประเด็นสังคม เพื่อเป็นกระบอกเสียง สะท้อนปัญหาต่างๆ ในสังคมตามความเป็นจริง

(19 ก.พ. 2567) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับสำนักข่าว The Reporters จัดเสวนาบทบาทสื่อมวลชนในการขับเคลื่อนสังคม ในโครงการอบรม “We Are The Reporters สื่อเพื่อขับเคลื่อนสังคม”
ที่ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารฝึกประสบการณ์วิชาชีพเชิงบูรณาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ในฐานะคนทำข่าว
ที่มีจิตวิญญาณ เรากำลังชวนทุกท่านให้ใช้ทักษะวิชาชีพของการเป็นสื่อมวลชนในการขับเคลื่อนสังคม หากเรา
ไม่ใส่ใจประเด็นสังคม คงมองไม่เห็นปัญหา แต่ถ้าสนใจก็จะเห็นมากขึ้นเปรียบเหมือนแม่น้ำ ที่บางวันสกปรก บางวันใส หากน้ำใสก็เป็นน้ำที่เราปรารถนา ในฐานะคนทำข่าวต้องดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่น้ำสายนี้ เราจะปล่อยให้เน่าไปกว่านี้อีกหรือไม่ หรือจะทำให้มันสะอาด ให้มีชีวิตชีวา ทำให้ทุกคนมีความสุข สิ่งที่อยู่ในแม่น้ำ หรือใต้น้ำที่เขายังไม่เห็น หรือมีการปกปิดเอาไว้ จะทำอย่างไรให้น้ำสะอาด

“ความเป็นสื่อ ใครที่ไม่อยู่ในวงการนี้อาจไม่อิน นี่ไม่ใช่แค่อาชีพ แต่เป็นวิชาชีพ ถ้าใจไม่รัก ทำไม่ได้ ถ้าทำแล้วความสุข คือใช่เลย การทำงานที่ต่อยอดให้คนอื่น วันที่ได้ต่อสู้ให้คนอื่น แล้วผลสัมฤทธิ์เกิดจากการทำงานข่าวของคุณ ความรู้สึกมันยิ่งกว่าได้รางวัล ซึ่งจริต จิตวิญญาณแบบนี้ เป็นหัวใจสำคัญ ถ้ามีจิตวิญญาณที่รักความเป็นธรรม เห็นปัญหาแล้วอยากจะพูด เห็นคนลำบากแล้วอยู่นิ่งไม่ได้ ใครไม่สนใจก็ได้ แต่ฉันต้องสนใจ ไม่ชอบการทุจริต มันจะผลักดันไปสู่การเป็นสื่อมวลชน เป็นผู้สื่อข่าว ตนเองจึงเชื่อว่าจิตวิญญาณแบบนี้ยังมีอยู่ การโตขึ้น ก็ต้องบริหารจัดการสภาพแวดล้อมตัวแปรมากมาย ต้องใช้ความอดทน ใช้สติปัญญา ความรอบคอบมากขึ้น” ดร.ธนกร กล่าว

ดร.ธนกร ยังได้ยกตัวอย่างสื่อที่มีความสมดุล และนำเสนอสิ่งที่คนสนใจ และเรื่องที่ควรสะท้อนสังคมไปควบคู่กัน เช่น ไทยรัฐออนไลน์ มีการนำเสนอข่าวหวยที่คนสนใจ แต่ก็นำเสนอประเด็นสังคม และเรื่องราวสาระอื่นๆ ที่ประชาชนควรรู้ไปควบคู่กัน หรือ ข่าวสามมิติ ที่ชัดเจนในประเด็นทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน เรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น และเรื่องที่อาจมีอะไรอยู่เบื้องหลัง โดย ดร.ธนกร ย้ำว่า เราตั้งข้อสงสัย ตั้งข้อสังเกตได้ แต่จะไม่ด่วนตัดสินเด็ดขาด ไม่ตั้งธงไว้ล่วงหน้า จึงเป็นการทำงานข่าวในเชิงสืบสวนสอบสวนที่ดี

“การทำงานอย่างมีความสุข เราจะไม่ถามว่าเราได้อะไร เพราะเราได้ความสุข แต่ที่สุดเมื่อถึงจุดหนึ่งจะทำให้งานของเรากลับมาดูแลเรา ฝีมือกลับมาดูแลเรา แต่ตอนลงทุนสร้างงานเราไม่คิดว่าได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ แต่พอสักพัก เมื่อผลงานมันเกิดตัวตนในทางการงาน มันจะมาเป็นรางวัลให้เรา“ ดร.ธนกร กล่าว

นายอนุวัต เฟื่องทองแดง ช่องวัน 31 ยกตัวอย่างรายการอนุวัติทั่วไทย ที่ไม่ใช่แค่รายการท่องเที่ยวอย่างเดียว
แต่คือการนำเสนอวิถีชาวบ้าน โดยเฉพาะเทปข้าวหลามดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ยอดดูล่าสุดเกือบล้าน มีเทคนิคการทำที่ไม่เหมือนที่ใด ซึ่งมีคนจาก TikTok ไปซื้อตาม สะท้อนว่าพลังโซเชียลเป็นพลังบวกมหาศาล ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำแล้วสนุก ช่วยสร้างเศรษฐกิจชุมชน หรือย้อนกลับไปเมื่อช่วงโควิด-19 ที่มีการประชาสัมพันธ์น้อย เราในฐานะสื่อจึงนำข้อมูลเหล่านั้นมาย่อยให้ประชาชนเข้าใจง่าย เราต้องคิดว่ากลุ่มเป้าหมายเราคือใคร จะนำเสนออย่างไรแล้วคนดูดจะได้อะไรจากเรา

นายอนุวัต กล่าวถึงบทบาทการขับเคลื่อนสังคม โดยมองว่าปัจจุบันกลไกรัฐไม่สามารถแก้ปัญหาสังคมได้ แต่การขับเคลื่อนสังคมเกิดขึ้นจากเพจ สื่อ และมูลนิธิต่าง ๆ ที่ไม่ใช่กลไกของฝ่ายปกครอง สื่อในปัจจุบันทำหน้าที่เหมือน
พี่อ้อย พี่ฉอด ส่งข้อความขอเงิน ฝากขายที่เข้ามาในช่องทางส่วนตัว เพราะประชาชนมองว่าสื่อเป็นทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนคนในครอบครัว เราจึงต้องช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้ แต่ขอตั้งคำถามว่านี่คือหน้าที่ของสื่อใช่หรือไม่

ส่วนบทบาทของช่องวัน 31  ในการนำเสนอข่าวเพื่อขับเคลื่อนสังคมคือ การนำความบันเทิงและสาระความรู้กลมกล่อมเข้าด้วยกัน คนดูข่าวช่องวัน 31 ก็จะได้วิธีคิด และความประเทืองปัญญาด้วย โดย อนุวัตมองว่า แต่ละสื่อมีกลุ่มคนดู และความชอบที่แตกต่างกันไป บางช่องคนดูชอบข่าวอาชญากรรมมาก บางช่องชอบการเมือง
อย่างช่องวัน คนดูชอบข่าวที่ดูแล้วรู้สึกดี เป็นพลังบวก เรื่องของคนดี หรือเรื่องราวดี ๆ

นางสาวอรพิณ ยิ่งยงค์พัฒนา บรรณาธิการบริหารไทยรัฐออนไลน์ ระบุว่าไทยรัฐมีหลายแพลตฟอร์ม แต่ข่าวจะไปทิศทางเดียวกันหมด ซึ่งเป้าหมายของหลายสื่อคือช่วยคน สำนักข่าวของไทยรัฐก็เช่นกัน อยากทำให้ชีวิตของคนไทยดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จะเห็นได้ว่าแต่ละส่วน เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ กลุ่มคนดู หรือคนเสพข่าวออนไลน์เปลี่ยนไป มีทั้งโตขึ้น และกลุ่มเด็กใหม่ ๆ ที่กำลังเติบโตขึ้น ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องปรับโฉมภาพลักษณ์
ไม่ใช่เพียงปรับปลี่ยนแต่ภายนอก แต่เป็นเรื่องเลือกประเด็นข่าวด้วย

ส่วนประเด็นสิทธิมนุษยชน อาจจะดูเป็น Concept ที่จับต้องยาก ไม่เข้าใจ ขายไม่ได้ และเป็นโจทย์ที่ใหญ่มาก แต่ในความที่เป็นแพลตฟอร์มใหญ่ ซึ่งมีคนเข้าชมเยอะ และมีความหลากหลายทั้งชาวบ้านทั่วไป จนถึงผู้กำหนดนโยบาย ฉะนั้นการออกแบบเนื้อหาในแต่ละวันจะต้องครบทุกอย่าง เราจะอยู่รอดได้ต้องเป็นข่าวที่ตอบสนองความสนใจใคร่รู้ของผู้คนที่จะต้องทำให้สนุก และบันเทิง แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดที่ทำไปจะต้องสร้างปัญญา และต้องทบทวนตนเองว่าสิ่งที่ทำไปทำให้ชีวิตคนดีขึ้นหรือไม่

ข่าวที่ให้ความรู้จะมีจุดที่ยากคือเรื่องที่ประชาชนมีฉันทามติ และอินไปด้วยกัน แต่จะมีอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่ได้มี
ฉันทามติคิดเห็นไม่ตรงกัน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการรายงานข่าว เป็นการรายงานตามความคิดเห็นของสังคม ในสังคมที่ขัดแย้งกันอยู่สูงมาก คือจุดทดสอบความเป็นมืออาชีพในการทำงาน ส่วนเรื่องการโดนทัวร์ลงก็โดนบ่อย เพราะเป็นเรื่องปกติที่ประชาชนรู้สึกและให้ความสนใจ หากเป็นทัวร์ลงที่มาจากประชาชนปกติเราก็ใส่ใจ และพร้อมที่จะแก้ไข แต่หากเป็น IO ก็ขำดี เพราะมีอยู่ทุกวัน

นางสาวอรพิณ ได้ยกตัวอย่างข่าวที่ล่อแหลม และทำยาก คือประเด็นเกี่ยวกับเยาวชนกับคดีมาตรา 112 ซึ่งล่าสุด
ทำสกู๊ปน้องหยก ผู้ต้องหา โดยเราไม่ได้มีสิทธิพูดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกหรือผิด แต่สิ่งที่เราสนใจคือกระแสสังคมที่มองต่อเด็กคนหนึ่ง ในช่วงที่มีความเกลียดชัง สะท้อนว่าเราจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยความเกลียดชังต่อเด็กไม่ได้ และเราคิดว่าจะนำเสนออย่างไรเพื่อให้คนเปิดใจ สุดท้ายแล้วน้องจะทำผิดหรือไม่ เราไม่รู้ได้ อยู่ที่กระบวนการที่จะตัดสิน แต่อย่าพึ่งไปมีความคิดที่จะเข่นฆ่า ทำร้าย หรือเอาความเกลียดชังเข้านำได้หรือไม่ เพราะสังคมต้องการความเรียนรู้ว่าความเป็นมนุษย์ และการเติบโตในสังคมที่ไม่เหมือนกัน หรือเราเองที่ไม่เห็นด้วยในความคิดเห็นของคนอื่น และเราจัดการความรู้สึกของตัวเราได้อย่างไร ซึ่งมองว่าเป็นบทบาทของนำเสนอข่าว
เช่นกัน ที่จะสร้างบรรยากาศการสนทนาที่มีคุณภาพ

สำหรับบทบาทสื่อต่อการขับเคลื่อนสังคม เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ตอนนี้เกิดปัญหาอีกหลายอย่าง เช่น ทัศนคติทางการเมือง และปัญหาทางเศรษฐกิจ ว่าจะแก้ไขอย่างไร เราจะมีบทบาทอย่างไร ที่จะนำกลับไปสู่ความคิดตั้งต้น ที่จะให้ชีวิตของคนนั้นดียิ่งขึ้น เป็นการทำงานที่คาดหวังให้เห็นการเปลี่ยนแปลงโดยจะต้องมีการตอบสนองจากภาครัฐ คือนักข่าวจะต้องเกาะติด ไม่ไปให้เรื่องจบไป ซึ่งเราต้องทำข้อมูล เก็บข้อมูลในรอบด้าน และถึงวันนึงเราก็ต้องไปพูดคุยกับหน่วยรัฐที่เกี่ยวข้อง ว่าปัญหาเกิดขึ้นมาแล้ว และภาครัฐจะแก้ปัญหาอย่างไร และ
นำไปสู่การตอบสนองหรือแก้ไขให้กับประชาชน เป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันสอดส่ายสายตา และตรวจสอบให้มากขึ้น ซึ่งหากอยู่ในวิสัยที่เขาทำได้เขาก็จะแก้ไข

นายมนตรี อุดมพงษ์ ข่าวสามมิติ กล่าวว่า โอกาสในการเปิดโลกทัศน์ เห็นมุมมองกว้างขึ้นจากคนมีประสบการณ์ มันยาก เพราะวิธีที่ฉลาดสุดคือการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น เมื่อเรียนรู้ไปแล้วก็จะสนุกตามวัย นกที่มันอ้วน ก็จะไม่สามารถลอดช่องกรงขังได้ นกที่มีอิสรภาพ อยากออกก็ได้ เข้าก็ได้ เพราะเข้าได้กับช่องที่มีกรอบกติกา แต่ถ้ากินจุ ก็จะทำไม่ได้ เปรียบเสมือนการเป็นนักข่าวที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้ไม่สามารถพูดถึง หรือนำเสนอเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ แตะไม่ได้ เมื่อคุณกินจนอ้วน คุณจะบินไม่ขึ้น แล้วคุณจะอิสรภาพมาจากไหน ตอนนี้เป็นช่วงวัยของการเรียนรู้ ดังนั้น จึงมีอิสระที่จะคิดไม่มีกรอบมากำหนด ขอแค่ไม่ผิดกฎหมาย

สำหรับบทบาทในข่าวสามมิติ ปณิธานของทีมสามมิติ หรือกองบรรณาธิการ คือรายการเรามันดึก เราไม่สามารถเล่าเรื่องให้ทุกคนฟังได้ จึงต้องเจาะกลุ่มคน ในตอนต้นจึงเป็นกลุ่มคนนอนดึก คนวัยทำงาน ข้าราชการ เพื่อ
ขับเคลื่อนประเด็นที่เป็นวาระทางสังคม เอาประเด็นหลัก แต่ก็ไม่ทิ้งความบันเทิง บางเรื่องอาจมีเรื่องที่ต้องอธิบายเพิ่มเติมให้สังคมเข้าใจ เช่น หมูเถื่อน คนอาจเข้าใจว่าดีแล้วที่หมูถูก จึงต้องทำความเข้าใจว่าการที่มีของนอกเข้ามาทำให้กลไกในประเทศเปลี่ยนไป ราคาหมูในไทยไม่ขึ้น ถูกกกต่ำลง และทำให้ผู้เลี้ยงคนไทยหายไปจากระบบ ส่วนหมู
ที่นำเข้ามาแบบผิดกฎหมาย หากคนเลิกเลี้ยงหมู ไปรอกินหมูนำเข้า ก็ต้องเพิ่มภาษี ทำให้ราคาหมูที่นำเข้ามาจะแพงกว่าหมูที่ขายในประเทศไทยดังนั้น รัฐบาลจึงต้องมองเห็นมิติแบบนี้ ไม่ใช่ประโยชน์เฉพาะหน้า ต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้ความไม่ชอบธรรมของคนเปลี่ยนแปลงไป

นายมนตรี ยังเล่าถึงเหตุการณ์การทำข่าวในอดีตว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอความเป็นธรรมที่ช่องสาม จากโดน
เจ้าหน้าที่ตำรวจจับ เพราะพบหลักฐานที่มียาบ้าอยู่ในห้องพัก จึงไปดูว่าใครคือผู้เช่า และออกหมายจับ ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการในการทำข่าว จนรู้ว่าชื่อนี้มีอยู่ในประเทศไทยกว่า 7 คน ที่เหมือนกันทั้งชื่อ และนามสกุล การขยายเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนคนเดียว แต่ให้เป็นเรื่องที่มีการขยายให้มีการตรวจสอบมากขึ้น ไม่ให้ใครโดนแบบนี้

ทุกวันนี้พฤติกรรมของผู้รับสารไม่ได้เป็นแบบเดิมแล้ว ที่ต้องรอเวลาข่าว แต่อยากดูต้องได้ดู ซึ่งทุกวันนี้เนื้อหาเปลี่ยนไปไวมาก ดังนั้น จุดยืนของข่าวสามมิติ ท่ามกลางปัญหาที่เรามี สภาพเศรษฐกิจโดยปัจจุบัน โครงสร้าง เพียงพอที่จะดำรงชีวิต แต่ไม่มากพอที่จะพลิกชีวิตได้ จุดยืนของสื่อ ต้องแก้โครงสร้าง รถที่ขับเคลื่อน ไม่ได้มาจากที่ปัดน้ำฝน ไม่ใช่จากที่ปัดกระจก แต่คือล้อ แต่ส่วนอื่นคือโครงสร้าง รายการข่าวก็เหมือนกัน ถ้าเรามุ่งแก้โครงสร้างของสังคม ปัญหาจุกจิกก็ต้องยอม มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง ต้องทำหลายอย่างพร้อมกัน
กว่าจะสอนคนว่ายน้ำได้ก็ต้องผ่านการจมมาก่อน สถานีก็ต้องมีจุดยืน และต้องเป็นจุดยืนของวิชาชีพสื่อด้วย
มันไม่ใช่แค่เราเลือกอาชีพ แต่อาชีพก็เลือกเราด้วย และการทำข่าวตอนนี้วิธีคิดเหมือนเดิม แม้จะเปลี่ยนวัฒนธรรม ช่องทางไปยังไงก็ได้ แต่เนื้อหาไม่ได้เปลี่ยน

นายมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า ความท้าทายของเนื้อหาอยู่ตรงที่ในวันที่กราฟมันตก ถ้ามันขึ้นทุกคนแฮปปี้ ในวันที่มันตก ยังมีความสุขอยู่ไหม แต่เราได้ตอบสนองต่อวิชาชีพแล้วหรือไม่ ถ้ายังคงมีอยู่ ก็ไม่ทำให้วิชาชีพสื่อเราสิ้นไร้
ไม้ตอก

กองทุนสื่อปลื้ม ภาพยนตร์ “A time to fly” ได้รับรางวัล Golden Elephant honor จากงานสัปดาห์ภาพยนตร์นานาชาติล้านช้าง-แม่โขง ครั้งที่ 5

(23 ธันวาคม 2566) ภาพยนตร์แห่งความภาคภูมิใจ “A Time To Fly” บินล่าฝัน ผลงานของผู้รับทุนกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ คว้ารางวัลช้างทองเชิดชูเกียรติภาพยนตร์ดีเด่น ครั้งที่ 5 ในงานสัปดาห์ภาพยนตร์นานาชาติล้านช้าง – แม่โขง (Golden Elephant Honor for Outstanding Film to the 5 th
Lancang – Mekong International Film week.) ณ นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน)
ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

งานสัปดาห์ภาพยนตร์นานาชาติล้านช้าง-แม่โขง จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2559 มีเป้าหมายจัดฉายภาพยนตร์
และ ประชุมการแลกเปลี่ยนความร่วมมือด้านภาพยนตร์ ส่งเสริมการฉายภาพยนตร์ในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำ
ล้านช้าง-แม่โขง เพื่อจัดตั้งกลไกการทำงานระยะยาวเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเชิงประสานของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในภูมิภาค และเป็นดังสะพานวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างผู้ชมทั่วโลกผ่าน “ภาษาภาพยนตร์” และล่าสุดครั้งที่ 5 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-26 ธันวาคม 2566 โดยมีผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของกลุ่มประเทศลุ่มน้ำล้านช้าง-แม่โขง จำนวนมากกว่า 200 คน จัดฉายภาพยนตร์จากประเทศไทย
จีน กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม จำนวน 20 เรื่อง นับเป็นอีกหนึ่งโอกาสดีที่ช่วยให้ประเทศไทยได้นำเสนอภาพยนตร์ในงานดังกล่าว ได้แก่เรื่อง “A Time To Fly บินล่าฝัน” และ “DEEP โปรเจกต์ลับ หลับ เป็น ตาย”

สำหรับภาพยนตร์เรื่อง “A Time To Fly บินล่าฝัน” โดยบริษัท อิเมจิแมกซ์ จำกัด ฝีมือการกำกับของ
คุณโส่ย-ศักดิ์ศิริ คชพัชรินทร์ บอกเล่าเรื่องราวล่าฝันของ “หม่อง ทองดี” เด็กไร้สัญชาติในจังหวัดเชียงใหม่
ผู้มีชื่อเสียงจากการแข่งขันเครื่องบินกระดาษจนคว้าแชมป์ระดับประเทศ แต่ไม่สามารถเดินทางไปร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติที่ญี่ปุ่นเพราะปัญหาไร้สัญชาติ ทางการออกพาสปอร์ตให้ไม่ได้ จึงเกิดการรวมตัวของอาจารย์
นักวิชาการ นักกฎหมาย และสื่อมวลชน ที่พยายามช่วยผลักดันให้น้องหม่อง ได้ไปแข่งขันภายใต้เวลาอันจํากัด
ที่กําลังจะหมดลง

Winner Gamer เกมพิชิตฝัน II ตอนที่ 1

“ตอนแรก ๆ พ่อแค่ยึดมือถือ จำกัดเวลาการเล่นคอมฯ แต่ฝันก็ดื้อ ยังคงเล่นต่อ สุดท้ายมีปากเสียงกันรุนแรง
พ่อโกรธมาก ยกคอมฯไปทุ่มทิ้ง แล้วก็เอาไม้แขวนเสื้อมาตีฝันด้วย”

ฝัน นภัสพร อุปจ๊ะ นักกีฬา E-sport ทีมชาติไทย ยังคงจำภาพเหตุการณ์ในวันที่ถูกพ่อทำโทษได้ดี หลังเธอเริ่มเล่นเกมตั้งแต่ 10 ขวบ ก่อนมาติดเกมอย่างหนัก ชนิดแบบเล่นทั้งวันทั้งคืน ดึกดื่นจนถึงตีสองตีสาม กระทั่งผลการเรียนตกต่ำ พ่อแม่ตักเตือนอะไรก็ชอบเถียง ไม่ฟัง ไม่ยอมรับ เป็นเหตุให้ทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง และความรุนแรงในครอบครัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงวันที่พ่อโมโหมาก ถึงขั้นโยนคอมพิวเตอร์ทิ้ง

“ในวันที่เกิดเรื่อง น่าจะเป็นจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตของฝันแล้ว ตอนนั้นมองว่ามันเป็นความรุนแรงในครอบครัว เสียใจมาก รู้สึกว่าไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครต้องการเราเลย”

หลังจากนั้นฝันก็พยายามพิสูจน์ตัวเอง ด้วยการกลับมาตั้งใจเรียน และตั้งใจฝึกซ้อมเล่นเกมไปด้วย กระทั่งได้เป็นนักกีฬาE-sport ทีมชาติไทย ไปแข่งกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่ประเทศเวียดนาม และคว้าเหรียญทองแดงกีฬาE-sport “League of Legends: Wild Rift” ประเภททีมหญิง มาครอง

“ก่อนเป็นนักกีฬาทีมชาติ ที่บ้านแทบไม่ได้ยอมรับ เขากังวลว่าอนาคตจะดีไหม ให้ลองหาอย่างอื่นทำน่าจะดีกว่า ฝันก็ไม่ได้เถียงอะไร รับฟัง และพยายามพิสูจน์ให้เขาเห็น ฝึกซ้อมไปเรื่อย ๆ จนได้ไปแข่งซีเกมส์ และได้เหรียญทองแดงกลับมา จากนั้นพ่อแม่ก็มองฝันดีขึ้น เขาภูมิใจในตัวเรา มันเป็นเรื่องที่ฝันดีใจมาก ที่เขายอมรับในตัวฝันมากขึ้น”

เรื่องราวชีวิตของ ฝัน นภัสพร อุปจ๊ะ จากเด็กติดเกม ที่กว่าจะได้มาเป็นนักกีฬา E-sport ทีมชาติไทย เป็น 1 ใน 12 บุคคลต้นแบบ ที่นำเสนออยู่ในรายการทอล์ค “Winner Gamer เกมพิชิตฝัน II” ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปี 2564 มีทั้งหมด 12 ตอน เริ่มออกอากาศทางช่อง 9 Mcot HD ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ยังสามารถชมย้อนหลังได้ทางยูทูบ

ปริฉัตร์ บุญสาร และทีมงานบริษัท เท่นิยม จำกัด ผู้ผลิตรายการนี้ บอกว่าบุคคลต้นแบบทั้ง 12 คน ใน 12 ตอน ที่คัดสรรมา ล้วนมีเรื่องราวชีวิตและแง่คิด จากประสบการณ์ที่เคยพ่ายแพ้หรือล้มเหลวมาก่อน กว่าที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งแต่ละคนแต่ละครอบครัวก็จะมีวิธีจัดการชีวิตที่แตกต่างกันออกไป จึงอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้รับชม เพราะประสบการณ์จากบุคคลต้นแบบ ผู้ปกครอง เพื่อน และนักจิตวิทยาที่มาให้คำแนะนำในรายการทุก ๆ ตอน สามารถนำไปประยุกต์ปรับใช้ได้ในชีวิตจริง

“Winner Gamer เกมพิชิตฝัน II” ใช้เวลาผลิตอยู่หลายเดือน มีความท้าทายตั้งแต่การค้นหาข้อมูลเรื่องราวชีวิตของบุคคลต้นแบบที่ความชัดเจน ดูแตกต่างและน่าสนใจ การนำเนื้อหาที่ได้มาเล่าเรื่องให้น่าชมและได้ประโยชน์กับครอบครัวที่มีปัญหาลูกหลานติดเกม รวมถึงการบาลานซ์เนื้อหาไม่ให้สุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก

“เราไม่ได้นำเสนอว่าเขาประสบความสำเร็จ การเล่นเกมมันดีมาก แต่เราจะเน้นนำเสนอเรื่องราวระหว่างทาง ว่าเส้นทางที่เดินไปมันก็มีอุปสรรคอย่างไร ไม่ใช่เล่นเกม 24 ชั่วโมงแล้วจะรวยได้ กว่าจะก้าวข้ามช่วงนี้ไปได้ เขาต้องจัดการชีวิตยังไงบ้างในช่วงที่ผ่านมา เราจะเลือกนำเสนอในแง่มุมนี้ หรือในเคสที่เป็นเด็กติดเกม มีปัญหาทะเลาะกับครอบครัวรุนแรง เราก็จะไม่นำเสนอในแง่มุมแย่ ๆ ของเขา แต่จะนำเสนอว่าในช่วงที่เขาติดเกมและมีปัญหากับครอบครัว เขาผ่านตรงนั้นมาได้อย่างไร จัดการกับชีวิตยังไงมากกว่า”

หลังเผยแพร่รายการ ก็มีฟีดแบคที่น่าสนใจจากหลากหลายกลุ่ม ทั้งเด็ก ๆ และเยาวชนที่เป็นแฟนคลับติดตามผลงานของพี่ ๆ ที่เป็นบุคคลต้นแบบ ผู้ปกครองที่กำลังมีปัญหาลูกหลานติดเกม รวมถึงเครือข่ายที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเด็กติดเกม ที่เข้ามาติดตามเพจ “Winner Gamer เกมพิชิตฝัน II” และช่วยแชร์เผยแพร่ต่อไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองที่อยู่ในเครือข่ายให้ได้นำไปใช้ประโยชน์

“มีผู้ปกครองหลายคนเข้ามาคอมเมนต์ในยูทูบ ส่วนใหญ่บอกว่าลูกเขาเป็นแบบนี้อยู่พอดีเลย ได้ดูรายการแล้ว
จะเอากลับไปใช้ และจะไปแนะนำให้ลูกหลานดูด้วย อย่างป้าคนหนึ่ง บอกว่าหลานเขาติดเกมอย่างนี้เลย ดีใจมากที่ได้มาเห็นคลิปนี้ เขาจะลองนำเทคนิคเหล่านี้กลับไปใช้กับหลาน เราเองก็ดีใจที่เขาได้มาดูรายการของเรา แล้วรู้สึกเหมือนเขาได้เจอทางออกที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับครอบครัวของเขาได้”

“Winner Gamer เกมพิชิตฝัน II” ไม่ได้นำเสนอแค่เรื่องราวชีวิตของบุคคลต้นแบบจากเด็กติดเกม แล้วพัฒนาไปเป็นเกมเมอร์ หรือ นักกีฬาE-sportชื่อดังเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายคน ที่นำเอาความรู้จากการเล่นเกมไปพัฒนา
เป็นอาชีพที่เขาชอบได้ด้วย ประสบการณ์และแง่คิดจากพวก อาจจะเป็นคำตอบให้กับอีกหลาย ๆ บ้าน อีกหลาย ๆ ครอบครัว ที่ยังคิดไม่ตกว่าจะต้องจัดการกับลูกหลานยังไง ได้เข้าใจและมองเห็นทางออกได้มากขึ้น