เลือกหน้า

ที่นี่ที่เดียว The Only One Thailand ตอนที่ 2

กลางตลาดสดธนบุรี ในกรุงเทพของไทย สาวญี่ปุ่นหน้าตาน่ารักอย่าง อามาชิตะ ฮารุกะ หรือ ฮารูปี้ บล็อกเกอร์สาวชื่อดัง ถึงกับยืนงงอยู่ในดงแม่ค้า เมื่อได้รับภารกิจจาก จุ๊บจิ๊บ เชิญยิ้ม พิธีกรรายการ “ที่นี่ที่เดียว Only One Thailand” ให้ไปจ่ายตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับการทำอาหารที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติอย่าง ข้าวซอย โดยห้ามไม่ให้เธอสื่อสารภาษาไทยที่พูดได้น้อยนิดเด็ดขาด

แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับบล็อกเกอร์สาวน่ารัก มากความสามารถ อย่างฮารูปี้ แขกเยือนในรายการนี้ ที่กลายเป็นสาวน้อยผจญภัยในตลาดสดเมืองไทย ซึ่งเธอใช้การสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษามือง่าย ๆ ค่อย ๆ อธิบายให้แม่ค้าเข้าใจถึงสิ่งที่เธอต้องการ ทั้งเส้นข้าวซอย มะนาว ผักกาดดอง หอมแดง กะทิ แต่กว่าจะซื้อวัตถุดิบทำข้าวซอยเมืองเหนือได้ครบตามรายการ เล่นเอาเมื่อยมือ แต่เต็มไปด้วยความน่ารักและสร้างสีสันความสนุกสนานให้รายการได้อย่างมาก

หลังจากที่รายการ “ที่นี่ที่เดียว Only One Thailand” ตอน Thai Food ที่เชิญอินฟลูเอนเซอร์เจ้าบ้านอย่าง เบิร์ด จากเพจผ่าม ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1 ล้านคน มาร่วมต้อนรับ ฮารูปี้ บล็อกเกอร์สาวชาวญี่ปุ่น มาลิ้มชิมรสความอร่อยของข้าวซอยเมืองเหนือของไทย แถมยังพาสาวญี่ปุ่นไปหัดทำข้าวซอยไก่กัน โดยพาทั้งเบิร์ดและฮารูปี้ ไปหัดทำข้าวซอยกับเชฟตุ๊กตา เจ้าของร้านอาหารบ้านยี่สาร โดยให้อารูปี้ คอยเป็นลูกมือช่วยทำข้าวซอยด้วยตัวเอง จนในที่สุดได้ข้าวซอยไก่น้ำเข้มข้นหอมกรุ่น ทำให้สาวญี่ปุ่นที่ได้ชมและชิมถูกใจกับรสชาติถึงกับร้องว๊าวในความอร่อยของข้าวซอยเมืองเหนือของไทย และกลายเป็นความสนุกสนานของรายการ “ที่นี่ที่เดียว Only One Thailand”

รายการท่องเที่ยวแบบวาไรตี้คอมเมดี้ สัญชาติไทย ที่ดึงอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของไทยในฐานะเจ้าบ้านมาเจอกับอินฟลูเอนเซอร์ชาวต่างชาติ ซึ่งแต่ละคนมีผู้ติดตามไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน และเป็นเหมือนตัวแทนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย และฝรั่งเศส ไปสัมผัสกับเรื่องราววัฒนธรรมไทยทั้งอาหารการกิน การนวด มวยไทย ไปจนถึงเพลงและประเพณี รวมทั้งหมด 6 ตอน ซึ่งใช้เวลาการผลิตนานกว่า1ปี

“อย่างตอนที่ 6 เป็นเรื่องการท่องเที่ยวแบบไปตั้งแคมป์ ต้องไปตั้งแคมป์ในป่า เราเก็บไว้ถ่ายทำเป็นตอนสุดท้าย เพราะถ่ายยากสุด คราวนี้เราถ่ายตอนที่1-5 กินเวลาเกินไป พอมาถ่ายตอนสุดท้ายก็เข้าสู่ช่วงมิถุนายน ถึง กรกฎาคมแล้ว เป็นช่วงฤดูฝนพอดี ก็กลายเป็นความตื่นเต้น ต้องคอยลุ้นสภาพฟ้าฝน ปักตะไคร้ไม่ให้ฝนตก เพราะเราถ่ายเอาท์ดอร์ในป่า ไม่มีที่ให้หลบฝนนอกจากใต้ต้นไม้”

“ส่วนตัวชอบตอนเพลงมากที่สุด คือเราใช้เวลาแต่งเพลงกันประมาณ 1 เดือน กับพี่บ๊อบบี้ จากวงสามบาทห้าสิบ และพี่น้องฝาแฝดนักร้องชาวลาว ในช่วงนั้นบังเอิญคนพี่เขาต้องบินไปอเมริกา คนน้องก็เลยมาได้คนเดียว ซึ่งได้มิตรภาพมาก น้องน่ารักกับทีมงานมาก ตอนไปออกกองที่จตุจักร น้องได้รับความสนใจจากต่างชาติมาก ทีมงานก็เลยประทับใจกัน”

เอกวีร์ บุษปะเกศ หัวหน้าโครงการผู้ผลิตรายการนี้ โดยบริษัท ออลแมช มีเดีย แอนด์ แอดเวอไทซิง จำกัด ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปี 2565 เล่าถึงความยากลำบากปนความประทับใจในการผลิตรายการ “ที่นี่ที่เดียว The Only One Thailand”

โดยรายการนี้ทั้ง 6 ตอน เริ่มเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก ความยาวตอนละ 20 นาที และมีฉบับเต็ม 40 นาทีทางยูทูบ จนครบทุกตอนในเดือนตุลาคม 2566 นี้ ซึ่งตอนแรก ๆ ที่เผยแพร่ได้รับกระแสตอบรับดีขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งอินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติที่มาร่วมรายการ ช่วยแชร์รายการไปในช่องทางของตัวเอง เพื่อให้ผู้ติดตามในประเทศต่าง ๆ ได้รับความความสนุกสนานและสัมผัสเสน่ห์ความเป็นไทยได้มากขึ้นด้วย

“ช่วงที่เราตัดต่อเสร็จแล้วมานั่งดูผลงาน มันเป็นอะไรที่ภูมิใจมาก และเมื่อส่งไปให้กองทุนสื่อดู เขาก็สนุกกับเราด้วย เราก็ยิ่งใจฟูขึ้นไปอีก เพราะเรามั่นใจได้ว่า นอกจากดูสนุกไปไม่หยาบคายและได้สาระแล้ว ทางกรรมการที่กองทุนสื่อดูแล้ว เขารู้สึกแฮปปี้กับเรา ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงนี้มันทำให้เรามีความสุขกับการทำงานด้วย และมั่นใจได้ว่าผลงานชุดนี้น่าจะไปได้สวยไปได้ดี”
เอกวีร์ เล่าย้อนไปถึงความภูมิใจของทีมงานหลังผลิตรายการเสร็จ และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้สนับสนุนทุนในการผลิต เพื่อส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์เชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ของไทยให้โลกได้รู้จักมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกส่วนที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทยได้อีกทางด้วย

“ฝากบอกไปถึงชาวต่างชาติ ถ้าคุณมีแพลนที่จะท่องเที่ยว แต่ยังไม่รู้จะไปท่องเที่ยวที่ไหน ก็อยากให้มาดูรายการ “ที่นี่ที่เดียว The Only One Thailand” แล้วจะรู้ว่าในประเทศไทยยังมีอะไรน่าสนใจอีกมากมาย”

“ส่วนในมุมคนไทย เราอยากให้ดูแล้วสนุกและรู้สึกภูมิใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา มีความเป็นชาตินิยมมากขึ้น บางทีเราอาจจะเห็นผ้าถุงที่แม่เราใส่แล้วเบื่อมากเลย แต่มันอาจจะเป็นสิ่งล้ำค่าของชาวต่างชาติก็ได้ อยากให้รู้สึกกลับมาภูมิใจกับผ้าถุงของแม่ หรือความเป็นไทยและวัฒนธรรมไทยมากขึ้น”

เอกวีร์ ทิ้งท้ายฝากถึงรายการ “ที่นี่ที่เดียว The Only One Thailand” รายการที่เรียกว่า ไทยดูได้ ต่างชาติดูดี มีทั้งความสนุกสนาน สาระและความภูมิใจในความเป็นไทย ถ้าไม่เชื่อลองพิสูจน์ด้วยการดูรายการนี้สักครั้งสิครับ

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รุกต่อเนื่อง เปิดตัวละครสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น ฮัลโหลไทยแลนด์ (Hello Thailand) ปีที่ 2 “อมรพิมาน” และ “ออนแอร์หรรษาบ้านนาโฮแซว”

  “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” มีนโยบายในการผลิต พัฒนา และ เผยแพร่สื่อที่มีคุณภาพที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพฤติกรรมที่ดีของเด็กและเยาวชน ความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่ผ่านมาได้ร่วมกับ สมาคมนักเขียนบทละครโทรทัศน์ ดำเนินการ ผลิตละครสะท้อนความเป็นท้องถิ่น ชุด ฮัลโหล ไทยแลนด์ (Hello Thailand) ซึ่งเป็นผลผลิตจากกระบวนการพัฒนาศักยภาพนักเขียนบทละครหน้าใหม่จากแต่ละภูมิภาค นำมาพัฒนาจนได้เป็นบทละครที่มีอัตลักษณ์ความเป็นท้องถิ่น จำนวน 5 เรื่อง 5 ภูมิภาค ล่าสุดได้เปิดตัวละครโทรทัศน์ที่สะท้อนความเป็นท้องถิ่น
ชุด ฮัลโหลไทยแลนด์ (
Hello Thailand) ปีที่ 2″  จำนวน 2 เรื่อง 2 ภูมิภาค ได้แก่ “อมรพิมาน” (ภาคกลางและภาคตะวันออก) และ “ออนแอร์หรรษาบ้านนาโฮแซว” (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เป็นการเล่าเรื่องในมิติที่มีกรอบแนวความคิดสร้างสรรค์ เน้นการผลิตละครโทรทัศน์ที่มีคุณภาพ เป็นประโยชน์ สามารถเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม และสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายในพื้นที่ โดยมี  นายเทินพันธ์ แพนสมบัติ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาสื่อสำหรับประชาชน  นายคฑาหัสต์ บุษปะเกศ นายกสมาคมนักเขียนบทละครโทรทัศน์ พร้อมเหล่านักแสดงเข้าร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเสวนา หัวข้อ “พลังแห่งเรื่องเล่า..สู่ละครสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น ฮัลโหลไทยแลนด์” นำโดย  คุณศุภชัย สิทธิอำพรพรรณ สมาคมนักเขียนบทละครโทรทัศน์ ที่ปรึกษาเขียนบทละครเรื่อง “ออนแอร์หรรษาบ้านนาโฮแซว” ผศ.ดร.เธียรชัย อิศรเดช ผู้เขียนบทละครเรื่อง “อมรพิมาน” คุณพรรณพันธ์ ทรงขำ ผู้กำกับการแสดง คุณอรุโณทัย นฤนาท ผู้กำกับการแสดง ฯลฯ พร้อมนักแสดงหลักและนักเขียน เข้าร่วม (วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2567 ณ โรงภาพยนตร์ 1 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน)

นายเทินพันธ์ แพนสมบัติ ผู้อำนวยการฝ้ายส่งเสริมและพัฒนาสื่อสำหรับประชาชน  กล่าวว่า สำหรับโครงการฮัลโหลไทยแลนด์ เป็นโครงการที่กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ได้มีการร่วมมือกับทาง สมาคมนักเขียนบทละครโทรทัศน์ จัดทำขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพนักเขียนหน้าใหม่ๆในประเทศไทย โดยมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ให้ผู้ร่วมการอบรมได้สร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบของตนเอง ซึ่งก็มีนักเขียนมืออาชีพมาเป็นพี่เลี้ยง โดยทางโครงการได้ส่งเสริมให้มีการนำเรื่องเล่าจากในท้องถิ่นสื่อสารออกมาเป็นบทละครสร้างสรรค์ สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคอีสาน ภาคกลาง และผลิตออกมาเป็นละครโทรทัศน์ ชุด ฮัลโหลไทยแลนด์ จำนวน 5 เรื่อง 5 อรรถรส ซึ่งนอกจากได้บทละครคุณภาพมาถึง 5 เรื่องแล้ว ในขั้นตอนของการผลิตเป็นละครโทรทัศน์เราได้มีการคัดเลือกนักแสดงจากท้องถิ่นนั้นๆ มาร่วมถ่ายทอดบทละคร รวมไปถึงใช้สถานที่จริง วัฒนธรรมในท้องถิ่นจริงๆมาถ่ายทอดบทละครด้วยเป็นการส่งเสริมความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทำให้โครงการออกมาสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น  ในโครงการฮัลโหลไทยแลนด์ปีที่ 1 ได้มีการผลิตผลงานออกสู่สายตาประชาชนแล้ว 3 เรื่องด้วยกัน คือ ใต้สมุทรสุดปลายฟ้า เภรีระบัดชัย และพัทยาซอยสุดท้าย ซึ่งทั้ง 3 เรื่องก็ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนและได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายเป็นอย่างดี และสำหรับปีนี้ โครงการฮัลโหลไทยแลนด์ ปีที่ 2 ก็ได้มีการผลิตผลงานออกมาอีก 2 เรื่อง นั่นก็คือ อมรพิมาน และ ออนแอร์หรรษาบ้านนาโฮแซว ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ก็ถ่ายทำแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย อีกไม่นานก็จะได้รับชมกัน

จะเห็นได้ว่า โครงการฮัลโหลไทยแลนด์ เป็นโครงการที่ดีและเป็นประโยชน์กับทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนหน้าใหม่ๆก็สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเอง ได้นำเรื่องเล่าในท้องถิ่นออกมานำเสนอในรูปแบบของบทละครทำให้คนทั่วไปได้รู้จัก และสัมผัสกับท้องถิ่นนั้นๆมากยิ่งขึ้น วงการละครก็ได้บทละครที่สร้างสรรค์ สามารถสื่อสารผ่านบทละครที่ยอดเยี่ยม สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น ผ่านมุมมองของนักแสดงและผู้กำกับมากฝีมือ ทำให้ส่งสารไปถึงท่านผู้ชมได้อย่างเข้าใจในแง่คิดที่เป็นประโยชน์ที่แต่ละเรื่องได้แฝงไว้ สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย และยังทำให้ภาคีเครือข่ายในแต่ละท้องที่ได้มีส่วนร่วมกับโครงการ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง และสังคม  ความสำเร็จทั้งหมดนี้ของโครงการฮัลโหลไทยแลนด์ทั้งปีที่ 1 และ ปีที่ 2 เราได้รับความร่วมมือจากในทุกๆภาคส่วนที่ช่วยกันผลักดันให้โครงการได้ดำเนินการมาจนถึงช่วงท้ายที่สุดของโครงการแล้ว ทางกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมถึงสมาคมนักเขียนบทละครโทรทัศน์ยังมีความมุ่งหวังว่า หลังจากนี้เราจะยังสามารถมีโครงการดีๆแบบนี้ที่จะสร้างสรรค์สื่อที่ดี มีประโยชน์ให้กับประชาชนต่อไปในอนาคต และยังหวังว่าเราจะยังได้รับความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายในทุกภาคส่วนแบบนี้ต่อไปอีกในอนาคต สุดท้ายในนามของผู้จัด​ ทีมงาน และนักแสดงทุกท่าน ขอฝากละครคุณภาพอีก 2 เรื่อง ของโครงการฮัลโหลไทยแลนด์ ปีที่ 2 อมรพิมาน และ ออนแอร์หรรษาบ้านนาโฮแซว หวังว่าทุกท่านที่ได้ติดตามโครงการมาตั้งแต่ต้น จะได้รับโยชน์และความสุขจากโครงการไปไม่มากก็น้อย และรอติดตามโครงการดีๆของเราได้ในทุกช่องทางครับ

กองทุนสื่อร่วมงานแถลงข่าวการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22

(18 มีนาคม 2567) ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เข้าร่วมงานแถลงข่าวการจัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22 โดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นองค์กรร่วมจัดงานร่วมกับสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย

ณ Meeting Room 109 ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

คุณสุวิช รุ่งวัฒนไพบูลย์ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน “สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22” ภายใต้ธีม “Booklympics” เพื่อต้อนรับมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติ “โอลิมปิกเกมส์ 2024” ซึ่งจะจัดขึ้นในปีนี้ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ภายในงานได้รับเกียรติจาก 2 ฮีโร่ ไอดอลนักกีฬาไทย คุณวิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ อดีตนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย,ร้อยเอกหญิง ปวีณา ทองสุก นักยกน้ำหนักหญิงทีมชาติไทย มาร่วมเผยหนังสือเล่มโปรด พร้อมกับเชิญชวนให้มาร่วมงานสัปดาห์หนังสือที่ปีนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่สุดในรอบ 52 ปี อีกทั้งได้รับเกียรติจากคุณแจน Tiktoker จากช่อง janjanuary1 ,นักแสดงจาก GMMTV อาทิ คุณพรรษา วอสเบียน,คุณภัทรานิษฐ์ ลิ้มปติยากร ,คุณเบญญาภา จีนประสม, คุณวรรณวิมล เจนอัศวเมธี , คุณปรียาภัทย์ หล่อสุวรรณศิริ, คุณอรัญญ์ อัศวสืบสกุล ร่วมพูดถึง Booklympics หรือผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้รักการอ่าน รวมไปถึงแนะนำหนังสือเล่มโปรด

งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22 จะมีการออกบูธจำหน่ายหนังสือกว่า 1 ล้านเล่ม จาก 322 สำนักพิมพ์ รวม 914 บูธ พร้อมกับนิทรรศการและกิจกรรมกว่า 100 กิจกรรม แบ่งหนังสือออกเป็น 7 หมวด ได้แก่ 1) หนังสือนิยายและวรรณกรรม 2) หนังสือการ์ตูนและวัยรุ่น 3) หนังสือเด็กและการศึกษา 4) หนังสือต่างประเทศ 5) หนังสือทั่วไป 6) หนังสือเก่า 7) Non-Book สามารถเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ทุกวัน ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม 2567 ถึง วันที่ 8 เมษายน 2567 (รวม 12 วัน)

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook เพจ Thai Book Fair  https://www.facebook.com/bookthai

ที่นี่ที่เดียว The Only One Thailand ตอน 1

ณ ค่ายมวยเพชรยินดี หนึ่งในค่ายมวยแถวหน้าในเมืองไทย
จุ๊บจิ๊บ เชิญยิ้ม : พูดถึงมวยไทย ผมก็เคยชก
เบ๊น อาปาเช่ : เป็นไงพี่
จ๊บจิ๊บ เชิญยิม : ชกมา 5 ครั้ง ครั้งแรกแพ้คะแนน
เบ๊นอาปาเช่ : ครั้งที่ 2 ละ
จุ๊บจิ๊บ เชิญยิ้ม : ครั้งที่ 2 แพ้น็อค, ครั้งที่ 3 แพ้ฟาล์ว, ครั้งที่ 4 ตื่นไม่ทันไปชก, ครั้งที่ 5 กรรมการจำหน้าได้ ไม่ให้ชก ตลึ่ง ตึ่งโป๊ะ 555

ความสนุกก็บังเกิดเมื่อ จุ๊บจิ๊บ เชิญยิ้ม พิธีกรรายการ “ที่นี่ที่เดียว Only One Thailand” ตอน 1 Day Thai Boxing ที่พา เบ๊น อาปาเช่ เจ้าของเพจ Benz Apache ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.8 ล้านคน อินฟลูเอนเซอร์เจ้าบ้าน ที่ต้องขึ้นเวทีมวยคู่กับ คริสสตอฟ เดส์ก็องพ์ส หรือ คริส จอห์น ลูกครึ่งไทยฝรั่งเศส นักร้องนำวงไชนิ่งสตาร์ แห่งค่ายเลิฟอิส มาเรียนรู้มวยไทย หนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ของไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก โดยทั้งสองคนต้องเรียนมวยไทยขั้นพื้นฐานกับครูจุ๊และครูเจ แห่งค่ายมวยเพชรยินดี เริ่มจากวิ่งอย่างจริงจังจนทั้งสองคนถึงกับลิ้นห้อย ก่อนจะมาเรียนการออกอาวุธ ทั้งหมัด ศอก เตะ เข่า พร้อมกับการล่อเป้า ซึ่งทั้งพิธีกรและแขกรับเชิญแย่งกันหยอดมุขฮา แซวกันจนขำกระจาย

แรกแม้ทั้งคู่จะดูเก้ ๆ กัง ๆ ไปบ้าง แต่ไม่นานนักก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะให้ทั้งสองคนลองชกลงนวม ซึ่งผลัดกันเตะต่อยอย่างสนุกสนาน ผลออกมาเสมอกัน เรียกว่าได้สัมผัสมวยไทยกันอย่างครบเครื่อง ดูสนุกและทำให้เห็นเสน่ห์ของมวยไทยกันแบบเต็ม ๆ

“เราอยากนำเสนออะไรที่เป็นสไตล์การทำงานของเรา เป็นคอนเทนต์ที่สนุกสนานได้สาระด้วย เพราะคิดว่าน่าจะย่อยง่าย และทำให้กลุ่มเป้าหมายต่างชาติสนใจมาเที่ยวไทยมากขึ้น จึงเป็นที่มาของรายการท่องเที่ยวแบบวาไรตี้ “ที่นี่ที่เดียว The Only One Thailand” รายการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์เชิงวัฒนธรรมสร้างสรรค์ วิถีชีวิตชุมชน ศิลปะวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น เกร็ดประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยวและอาหารไทยให้รู้จักในระดับโลก โดยดึงเอาเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของไทย มาเจอกับอินฟลูเอ็นเซอร์ต่างชาติ ร่วมกันดำเนินรายการเชิงสร้างสรรค์ในมิติวัฒนธรรมผ่านกรอบแนวคิด 5F ประกอบด้วย อาหาร(Food), แฟชั่น(Fashion), ภาพยนต์(Film), มวยไทย( Fighting), และเทศกาลประเพณี(Festival)”

เอกวีร์ บุษปะเกศ หัวหน้าโครงการผู้ผลิตรายการนี้ โดยบริษัท ออลแมช มีเดีย แอนด์ แอดเวอไทซิง จำกัด ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปี 2565 เล่าถึงแนวคิดการสร้างสรรค์รายการ “ที่นี่ที่เดียว The Only One Thailand” ขึ้นมา

โดยรายการ “ที่นี่ที่เดียว The Only One Thailand” มีทั้งหมด 6 ตอน ดึงความเป็นซอฟต์พาวเวอร์ไทยในแต่ละด้าน มาสร้างสรรค์ความสนุกสนานผ่านอินฟลูเอนเซอร์ไทย ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน และอินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติ ซึ่งเป็นตัวแทนของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนไทยมากที่สุด อย่าง จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย และ ฝรั่งเศส

“พลอตเรื่องจะเป็นลักษณะ เพื่อนชาวไทยมาเจอเพื่อนต่างชาติ แล้วพาเพื่อนไปทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์ในหัวข้อนั้นๆ เช่นเชิญเพื่อนชาวจีนไปดูแลนด์มาร์คของประเทศไทยว่ามีอะไร แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในกรุงเทพฯ พร้อมให้ร่วมทำภารกิจสนุก ๆ ไปด้วย หรือพาชาวญี่ปุ่นไปกินอาหารไทย อย่างข้าวซอย ก่อนกินก็มีภารกิจให้เขาหัดทำข้าวซอยด้วย ซึ่งก็มันออกมาตลก ดูสนุกอยู่แล้ว เพราะเขาทำไม่เป็น สุดท้ายเราก็มีเชฟจริง ๆ มาทำให้ดู ตอนนวดเราก็ไปพาชาวอินเดียมา เขาก็จะได้มาเรียนรู้ว่าThai Massage มันเป็นแบบไหนและจะได้อะไรจากการนวดบ้าง ตอนมวยไทย เราก็ไปเอาคนฝรั่งเศสเข้ามา พาไปดูวิธีการชกมวยไทยจริง ๆ เลย ซึ่งนอกจากได้ประโยชน์ทั้งในเรื่องการออกกำลังกาย เป็นศิลปะป้องกันตัวแล้ว ยังได้เรื่องของมิตรภาพด้วย สิ่งเหล่านี้เป็น Key Message ที่สอดแทรกอยู่ในแต่ละตอน”

เอกวีร์ ขยายภาพรูปแบบและความสนุกของรายการให้เห็นชัดเจนขึ้น โดยรายการ “ที่นี่ที่เดียว The Only One Thailand” ทั้ง 6 ตอน ใช้เวลาผลิตนานเกือบ 1 ปี เผยแพร่ในช่องทางออนไลน์ทั้งยูทูบและเฟซบุ๊ก โดยยิงตรงไปสู่กลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวในต่างประเทสอย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลี รวมทั้งเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติที่มาร่วมรายการ ซึ่งแต่ละคนมียอดผู้ติดตามไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน เขาก็มีส่วนร่วมช่วยแชร์รายการตามช่องทางของแต่ละคนออกไปด้วย เพื่อให้ผู้ติดตามในประเทศของแต่ละคน ได้เห็นความสนุกสนานของรายการ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเมืองไทยไปด้วย ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและซอฟต์พาวเวอร์ไทย ให้ปังดังไกลไปสู่นักท่องเที่ยวทั่วโลกมากขึ้น

#กองทุนสื่อ #ที่นี่ที่เดียว #TheOnlyOneThailand
#เล่าสื่อกันฟัง #บทความเล่าสื่อกันฟัง
#ผลงานผู้รับทุนกองทุนสื่อ
#สื่อสร้างสรรค์เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
#กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

ติดตาม “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” ได้ที่
Website : www.thaimediafund.or.th
Facebook : กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
Youtube : www.youtube.com/c/ThaiMediaFund
Line Official : @thaimediafund

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัด “โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตสื่อ (บ่มเพาะ) ปีที่ 2”ลงพื้นที่มุ่งพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตสื่อในเขตภาคใต้ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

(16-17 มีนาคม 2567) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดอบรม “โครงการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตสื่อ (บ่มเพาะ) ปีที่ 2” โดยผู้เข้าอบรมประกอบด้วย ผู้ผลิตสื่อ ผู้ทำงานสร้างสรรค์ นักวิชาการ นักวิชาชีพ และ
ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการผลิตสื่อ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตภาคใต้ จำนวน 40 คน โดยผู้เข้าอบรมได้ฝึกปฏิบัติการในการเขียนโครงการสำหรับการผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ณ ห้องเอสฮอลล์ โรงแรมเอส 22 จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ภายในงานได้รับเกียรติจาก ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ขึ้นกล่าวเปิดงาน และทีมนักวิชาการด้านสื่อและการสื่อสาร คอยให้คำแนะนำผู้เข้าอบรมในการเขียนโครงการ
ให้สามารถสร้างผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ โดย ดร.ชำนาญ งามมณีอุดม รองผู้จัดการ, นางสาวพัชรพร พงษ์ทัดศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ จากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับนักวิชาการ ได้แก่ อ.ดร.ภัทธิรา ธีรสวัสดิ์, ผศ.ดร.อดิพล เอื้อจรัสพันธุ์ และ ผศ.ดร.ทัศนาวดี แก้วสนิท

ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า ในการจัดโครงการบ่มเพาะครั้งนี้เพราะกองทุนต้องการสร้างนักสื่อสารชุมชนหรือนักสื่อสารท้องถิ่นที่มีคุณภาพ รวมทั้ง การมองเห็นโอกาสของประเทศที่สื่อท้องถิ่นจะสามารถนำเสนอข้อมูลท้องถิ่นของตนเอง ทั้งในเชิงลึก และในเชิงกว้างด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่ดี และอยากให้ผู้เข้าอบรมทุกคนคิดในแบบที่กองทุนสื่อคาดหวังไว้และตีโจทย์ให้แตก พร้อมทั้งทำความเข้าใจในสิ่งที่กองทุนฯ ต้องการให้แต่ละโครงการได้สื่อสารออกไป เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และสังคม

นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมอบรมยังได้รับฟังประสบการณ์ตรงจากผู้ที่เคยได้รับทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อฯ ในช่วงท้ายของกิจกรรมยังได้มีการนำเสนอโครงการพร้อมรับคำแนะนำเพื่อปรับปรุงข้อเสนอโครงการ (Pitching Project) อีกด้วย