เลือกหน้า

หรือ “สำนักข่าว” จะไม่จำเป็นอีกต่อไป? เมื่อ “อินฟลูเอนเซอร์” เสียงดังกว่า

“สำนักข่าว” ยังจำเป็นอยู่ไหม ต่อการเผยแพร่ข่าวสารบนโลกออนไลน์ เมื่อข้อมูลปรากฎว่า ในระยะหลังเหล่า
“อินฟลูเอนเซอร์” กลับสร้าง impact ในการสื่อสารได้มากก

เคยสังเกตกันไหมว่า ข่าวดัง ข่าวใหญ่ ข่าวที่กลายเป็นไวรัลระดับ Talk of the Town ในช่วงหลายปีหลัง มาจากแหล่งข้อมูลไหนมากกว่ากัน ระหว่างองค์กรสื่อมวลชนอาชีพที่เรียกตัวเองว่า “สำนักข่าว” หรือผู้มีชื่อเสียง มีอิทธิพล มีตัวตนบนโลกออนไลน์ ที่มักถูกเรียกแบบเหมารวมว่าเหล่า “อินฟลูเอนเซอร์” นี่เป็นคำถามตัวโต ๆ ในวงการสื่อฯ ไทยเหมือนกันว่า สิ่งที่เรียกว่าบทบาทหรืออิทธิพลในการ set agenda หรือการกำหนดหัวข้อสนทนาในสังคมของสำนักข่าว -โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์- มีลดน้อยถอยลงไปหรือไม่ และหากสถานการณ์เป็นไปดังคำถามข้างต้นจริง องค์กรที่มีอาชีพในการผลิตข้อมูลข่าวสารถ่ายทอดให้สาธารณชน ..อย่างสำนักข่าว จะดำรงอยู่ต่อไปอย่างไร ทั้งในด้านความสำคัญเชิงวิชาชีพและในด้านการอยู่รอดทางธุรกิจ

สื่อฯ มีอิทธิพลน้อยกว่าอินฟลูฯ จริงไหม

อิทธิพลของสำนักข่าวมีน้อยลงจริงหรือไม่? ก่อนจะไปสู่บทวิเคราะห์ถึงสาเหตุและทางรอด เราควรมาหาคำตอบในเรื่องนี้กันก่อน

SpringNews ได้รับข้อมูลงานการศึกษาการสื่อสารทางสื่อสังคมออนไลน์ของสังคมไทย โดย Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ Wisesight ผู้ให้บริการรวบรวมข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย ที่สำรวจ engagement (การมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาของโพสต์นั้น ๆ เช่น ไลก์ คอมเมนต์ แชร์ ฯลฯ) ต่อประเด็นข่าวต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ที่เป็น top 10 ในแต่ละเดือน บนแพลตฟอร์มหลัก ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ ทวิตเตอร์(เอ็กซ์) อินสตาแกรม และติ๊กต๊อก ตั้งแต่ปี 2565 – ปัจจุบัน แล้วพบข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะข้อมูลที่ได้มาให้ภาพค่อนข้างชัดว่า โดยทั่วไป คอนเทนต์ต่างๆ ที่มาจากอินฟลูฯ จะ “เสียงดัง” กว่าสำนักข่าว เช่น ในปี 2566 จาก 13 ประเด็นคอนเทนต์ข่าวที่ผู้คนสนใจซึ่ง Wisesight สำรวจมา มีถึง 7 ประเด็นที่ engagement จากสำนักข่าวมีน้อยกว่าอินฟลูฯ
ส่วนในปี 2567 ผลสำรวจก็ไปในทางทิศทางเดียวกัน เฉพาะครึ่งปีแรก ผลออกมาดังนี้

  •  ในเดือน ม.ค.- เม.ย. 2567 หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 สำนักข่าวมีอิทธิพลลดลง โดยสร้าง engagement บนโลกออนไลน์ได้เพียง 10.2% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ได้ 12.2% (อันดับสาม) น้อยกว่าอินฟลูฯ
    ที่ได้เพิ่มเป็น
    32.9% จากปีก่อนที่ได้ 12.8% (อันดับสอง) ขณะที่ผู้ใช้งานทั่วไป อยู่ที่ 55.8% จากปีก่อนที่ได้ 71.3% (อันดับหนึ่ง)
  • ในเดือน พ.ค. 2567 สำนักข่าวสร้าง engagement บนโลกออนไลน์ได้แค่ 2.5% น้อยกว่าอินฟลูฯ 67.1% (อันดับหนึ่ง) และผู้ใช้งานทั่วไป 30.5 % (อันดับสอง)
  • ในเดือน มิ.ย. 2567 สำนักข่าวสร้าง engagement บนโลกออนไลน์ได้แค่ 4.5% น้อยกว่าอินฟลูฯ 29.3% (อันดับสอง) และผู้ใช้งานทั่วไป 65.9% (อันดับหนึ่ง)

 กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดย Media Alert และ Wisesight เคยตั้งข้อสังเกตถึงปรากฎการณ์เหล่านี้ไว้ในรายงานการศึกษาการสื่อสารออนไลน์ของสังคมไทยในปี 2565 ที่แม้ครั้งนั้นจะไม่ได้แยก engagement ว่ามาจาก “ผู้ส่งสาร” ใด (สำนักข่าว อินฟลูฯ หรือบุคคลทั่วไป) แต่ก็ตั้งข้อสังเกตนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อเปรียบเทียบกับแบบจำลองการสื่อสารเดิม ที่สารจะถูกส่งต่อผ่านทางช่องทางการสื่อสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารทางเดียวแบบเส้นตรง จะเห็นว่ากลไกการสื่อสารในยุคนี้ ทุกตัวแปรถูกเชื่อมเข้าถึงกันทุกส่วน

“สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือสื่อหลัก (mass media), ผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ (KOL & Influencer) และบุคคลทั่วไป ต่างเป็นได้ทั้งผู้รับสารและส่งสารในคนเดียวกัน และ algorithm มีส่วนสำคัญในการกำหนดวาระข่าวสารของสังคม”

เหตุผลที่ทำให้สำนักข่าวมาถึง “จุดนี้”

ผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า เหตุผลที่คอนเทนต์จากอินฟลูฯ สามารถสร้าง engagement มากกว่าสำนักข่าว ไม่ใช่แค่วิธีเล่าเรื่องที่แตกต่างเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความลึกในบางเรื่องจนไม่ต่างจาก expert ทำให้ผู้บริโภคได้ข้อมูลอะไรที่อยากรู้จริง ๆ จึงหันไปตามข่าวจากเหล่าอินฟลูฯ มากกว่าสำนักข่าว

 ขณะที่นายสมคิด พุทธศรี บรรณาธิการบริหาร The101.world มองว่า ความเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์มเองก็มีส่วน อย่างเช่นช่วง 7-8 ปีก่อน ที่เกิดสำนักข่าวออนไลน์ใหม่ ๆ (ที่วงการสื่อฯ ไทยมักเรียกกันรวม ๆ ว่า สื่อตระกูล the) เฟซบุ๊กซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักในการนำเสนอข่าวสารทางโลกออนไลน์ก็ยังไม่ mass เช่นปัจจุบัน ทำให้สามารถนำเสนอคอนเทนต์ที่ตอบสนองความต้องการข้อมูลข่าวสารของคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ แต่ในปัจจุบัน เมื่อเฟซบุ๊ก mass ขึ้น สำนักข่าวออนไลน์จึงมีพื้นที่น้อยลง แตกต่างจากเหล่าอินฟลูฯ ที่ทำคอนเทนต์เข้าถึงคนได้ mass กว่า ข้อเสียของการที่สำนักข่าวมีอิทธิพลน้อยกว่าอินฟลูฯ มีอะไรบ้าง ผศ.ดร.สกุลศรีมองว่า จะทำให้สังคมไทยเต็มไปด้วยความเห็น (opinion) มากกว่าข้อเท็จจริง (fact) ในขณะที่ข้อดีของสำนักข่าวที่ยังมีมากกว่าอินฟลูฯ คือความรอบด้าน

 “การมีอยู่ของสำนักข่าว เป้าหมายสำคัญมาก ๆ คือทำให้คน make sense (มีเหตุมีผล) กับสิ่งรอบตัวอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งการจะมีเหตุมีผลได้ เราจะต้องได้หลายชุดข้อมูล เพื่อมาประติดประต่อเรื่องราวจากหลากหลายมุม สํานักข่าวจึงมีความจําเป็นยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีก” ผศ.ดร.สกุลศรีกล่าว

 อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า อินฟลูฯ จะมีอิทธิพลมากกว่าสำนักข่าวใน “ทุกประเภทคอนเทนต์” เพราะจากการสำรวจของ Wisesight เอง มีบางประเด็นที่สำนักข่าวยังทำได้ดี สร้าง engagement ได้มากกว่าอินฟลูฯ หรือบุคคลทั่วไป เช่น คอนเทนต์เกี่ยวกับอาชญากรรม, สัตว์เลี้ยง, คมนาคม, ศาสนา ความเชื่อ ไปจนถึงคอนเทนต์เกี่ยวกับการเมือง ในบางช่วงเวลา สอดคล้องกับความเห็นของนายสมคิดที่ว่า ในบางประเด็น เช่น การเมืองหรือภัยพิบัติต่าง ๆ สำนักข่าวออนไลน์ก็ยังพอมีพื้นที่อยู่ แต่ถ้าเป็นประเด็นเชิงสังคมหรือดราม่าต่าง ๆ สำนักข่าวก็อาจจะไม่ได้มีบทบาทเท่ากับอินฟลูฯ ธรรมชาติมันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” บรรณาธิการบริหาร The101.world  รายนี้ระบุ

ทางรอดของสำนักข่าว

หนึ่งในคำพูดหลักที่สำนักข่าวคิดกันว่าจะเป็นทางรอดในยุคปัจจุบัน ก็คือการสร้าง community หรือหาแฟนคลับที่เหนียวแน่น เป็น loyalty fan ที่จะสามารถแปรเป็นรายได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งการจะสร้างสิ่งนั้นได้ นอกจากจะต้องลงทุนกับผู้อ่านแล้ว ตัวสำนักข่าวเองยังจะต้องมีความพิเศษ เป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” (speciallist) ในบางเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแนวคอนเทนต์, วิธีนำเสนอ ไปจนถึงน้ำเสียงหรือแง่มุมในการนำเสนอ

ผศ.ดร.สกุลศรีมองว่า สำนักข่าวที่อยากได้ audience ก้อนใหญ่เมื่อสมัยก่อนคงจะเป็นไปได้ยากแล้ว แต่เราสามารถสร้าง audience ที่ภักดีกับเราให้มีก้อนใหญ่พอ

การเน้น specialist จะมีโอกาสในระยะยาว โอเค มันอาจจะไม่เกิดใน 2-3 ปีข้างหน้า แต่มันเห็นผลแน่ถ้าจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน เพราะถ้าจะเล่นแต่เรื่องเทรนด์ มันก็จะไปแข่งสนามเดียวกับเหล่า content creator

สำนักข่าวยุคนี้ อยู่กลางๆ ไม่รอด มันจะต้องเด่นไปสักด้าน” ผศ.ดร.สกุลศรี ระบุ

อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ รายนี้ ยังให้ข้อแนะนำอีกเรื่องว่า สิ่งที่สำนักข่าวควรทำคือกลับไปปรับปรุงช่องทาง official ของตัวเองอย่าง “เว็บไซต์” ให้ดี เพราะทุกวันนี้ สำนักข่าวต่างรู้กันดีว่า algorithm ของแพลตฟอร์มมันโหด ทั้งลดการมองเห็นและทำให้หารายได้ยากขึ้น

ด้านนายสมคิด ในฐานะบรรณาธิการบริหาร The101.world สื่อออนไลน์ที่มีฐานะแฟนคลับเหนียวแน่นโดยเฉพาะแวดวงวิชาการ ก็ระบุว่า อย่าง The101.world ก็มีกลุ่มคนอ่านค่อนข้างเฉพาะ เราเรียกว่าเป็นกลุ่ม serious reader ก็เลยวางตัวเองไว้ว่า จะทำคอนเทนต์ให้คนที่เป็นอินฟลูฯ นำไปเล่าต่อ ทำงานต้นทางให้คนเอาไปใช้อ้างอิงต่อ คือเราไม่จำเป็นต้อง mass ด้วยตัวเอง โมเดลธุรกิจของ The101.world  ก็ไม่ได้วางตัวให้ mass มาตั้งแต่แรก แต่เราจะช่วยเชฟโจทย์ในการสื่อสารให้กับ partner ด้วยการ set agenda บางอย่าง ให้เกิดการถกเถียงในเชิงนโยบายว่าเราควรจะผลักดันต่อไปยังไง

“สิ่งที่จะบอกกับทีมเสมอในการทำงาน จะมี 3 อย่าง คือ first, best หรือ difference คือถ้าเราไม่ใช่คนแรก ก็ต้องดีที่สุด ถ้าไม่ดีที่สุดอีกก็ต้องแตกต่าง ซึ่งถ้าสื่อฯ ทำงานได้บนฐาน 3 อย่างนี้ ก็จะมีคุณค่าในตัวเอง” นายสมคิดกล่าว

ทั้ง 2 คนยังเสนอความเห็น ทางรอดที่จะวิน-วิน ทั้งอินฟลูฯ และสำนักข่าว

ผศ.ดร.สกุลศรี : ถ้าสังเกตดีๆ อินฟลูฯ บางส่วนก็นำคอนเทนต์จากสำนักข่าวไปใช้ฟรี น่าจะลองหาวิธี partnership ในการแบ่งรายได้ คุณใช้คอนเทนต์ที่มีลิขสิทธิ์ของเราได้แต่ให้นำรายได้มาแบ่งกัน อีกวิธีคือร่วมมือกัน set agenda บางอย่างร่วมกัน แบ่งบทกันเล่น ช่วยกันผลักดันบางประเด็น นี่คือทางรอดทั้งในเชิงบทบาทและความอยู่รอด เราเป็นคนที่เชื่อมั่นว่าสำนักข่าวยังจำเป็น และสามารถกำหนดวาระของสังคมได้” ผศ.ดร.สกุลศรีกล่าว

นายสมคิด : อ.ปกป้อง จันวิทย์ ผู้ก่อตั้ง The101.world เคยเขียนบทความเกี่ยวกับ The New York Times สำนักข่าวชื่อดังของสหรัฐอเมริกาซึ่งปรับตัวสำเร็จจนเป็นโมเดลให้กับหลายสื่อทั่วโลกนำไปศึกษาว่า วิธีที่สื่อฯ จะอยู่รอดจากการถูก disrupt ได้ คือ “สื่อฯ ต้องทำตัวให้เป็นสื่อฯ” เพราะเมื่อไรก็ตามไปเลือกหาเงินด้วยวิธีอื่นแล้ว คุณค่าของความเป็นสื่อฯ ก็จะหายไป

สื่อฯ ไม่มีทางหายไป เพราะยังไงก็ต้องมีคนทำข่าวมือแรก ให้อินฟลูฯ ไปเล่าต่อ เพียงแต่คนที่อยู่รอดจะเป็นสื่อฯ ไหนบ้าง ก็เป็นอีกเรื่องนะครับ” นายสมคิดทิ้งท้าย

กองทุนสื่อ ชวนผลิตคลิปสร้างสรรค์ ชิงเงินรางวัลโครงการ “ค่ายเยาวชนไทยรู้เท่าทันสื่อ ปี 2”

(25 กันยายน 2567) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (THAI MEDIA FUND) จัดแถลงข่าวการประกวดสื่อสร้างสรรค์ สำหรับกลุ่มมัธยมศึกษา ภายใต้หัวข้อ “Digi Camp ค่ายเยาวชนไทยรู้เท่าทันสื่อ ปี 2” โดยนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รองประธานกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และร้อยโท ธนกฤษฏ์ เอกโยคยะ      รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ให้เกียรติร่วมแถลง

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวว่า การสร้างผู้นำเยาวชนที่มีทักษะในการรู้เท่าทันสื่อ และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะ ไปยังกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาเพื่อร่วมสร้างสื่อที่ดี สื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเยาวชนที่เติบโตท่ามกลางสภาพสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม ที่เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น จึงควรมีการฝึกฝนเพื่อเสริมสร้างทักษะให้เด็กและเยาวชน ให้มีทักษะการรู้เท่าทันสื่อเพื่อรับมือกับข้อมูลข่าวสารที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม พร้อมกับส่งเสริมการใช้สื่อเป็นช่องทางในการศึกษาเรียนรู้ที่สำคัญไปพร้อมๆ กัน รวมไปถึงทักษะ Media Information and Digital Literacy (MIDL) เป็นกระบวนการสร้างสรรค์สังคมเพื่อให้พลเมืองมีทักษะในการตั้งคําถาม วิพากษ์วิจารณ์ สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งทักษะการรู้เท่าทันสื่อ ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตร และทักษะศตวรรษที่ ๒๑ ที่ทั่วโลกให้ความสําคัญและ Digital literacy จัดเป็นทักษะพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็นต่อการนำไปพัฒนาต่อยอดเพิ่มขีดความสามารถงานดิจิทัลในด้านอื่น ๆ ได้

ร้อยโท ธนกฤษฏ์ เอกโยคยะ กล่าวว่า กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างคนให้เป็นบุคลากรที่ดีและมีคุณภาพ รู้เท่าทันสื่อ เพื่อรับมือกับข้อมูลข่าวสารที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยกำหนดกลยุทธ์การดำเนินงาน ประกอบด้วย 6 สร้าง ได้แก่ 1) สร้างสื่อ โดยเฉพาะสื่อสำหรับเด็กและเยาวชน มุ่งเน้นการผลิตสื่อที่สร้างผลกระทบเชิงบวกทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การสร้างมูลค่าเพิ่ม 2) สร้างคน การพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตสื่อ 3) สร้างภูมิคุ้มกัน มุ่งเน้นการสร้างทักษะการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ 4) สร้างองค์ความรู้ มุ่งมั่นทำงานทางวิชาการศึกษาส่งเสริมองค์ความรู้ 5) สร้างการมีส่วนร่วมและเครือข่าย และ 6) การสร้างองค์กรที่มีประสิทธิภาพ กองทุนฯ เป็นเพียงผู้เริ่มต้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการผลักดันให้เกิดสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ โครงการ “Digi Camp ค่ายเยาวชนไทยรู้เท่าทันสื่อ ปี 2” เป็นโครงการที่มุ่งหวังให้เยาวชน

ที่เข้าร่วมโครงการเป็นนักผลิตสื่ออย่างสร้างสรรค์ในอนาคตต่อไป ตามยุทธศาสตร์ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

จากผลสําเร็จและการตอบรับของเยาวชนและโรงเรียน ที่ให้การตอบรับในการเข้าร่วมโครงการประกวดสื่อสร้างสรรค์ สําหรับกลุ่มมัธยมศึกษา ภายใต้หัวข้อ

“Digi Camp ค่ายเยาวชนไทยรู้เท่าทันสื่อ” ในปีที่ผ่านมา มีเด็กและเยาวชนไทยระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศจาก 133 โรงเรียน จํานวน 2,338 คน ให้ความสนใจและเข้าร่วมโครงการ จนได้มาซึ่งผลงานคุณภาพที่สะท้อนและสร้างความตระหนักเรื่องความสําคัญของการรู้เท่าทันสื่อ โดยฝีมือของเด็กและเยาวชนไทย จำนวน 30 ผลงาน โดยโครงการมีการจัดอบรมทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อ สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปผลิตผลงาน ที่สร้างแรงบันดาลใจในการผลิตสื่อ เพื่อสร้างสรรค์สังคมต่อไป

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจ สามารถส่งผลงานการผลิตคลิปสร้างสรรค์ ภายใต้หัวข้อ “Digi Camp ค่ายเยาวชนไทยรู้เท่าทันสื่อ ปี 2” ความยาว 3-5 นาที

ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวม 445,000 บาท โดยโครงการฯ เริ่มเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมค่ายเยาวชนไทยรู้เท่าทันสื่อ ปี 2

เปิดรับสมัครตั้งแต่ 25 กันยายน 2567 เพื่อลุ้นประกาศรางวัลชนะเลิศ ในเดือนมีนาคม 2568 นี้

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ Facebook : Digi Camp

คุณภาพข่าวการเมืองเรื่องนโยบายของรัฐ “คนแค่รู้ หรือ ตรวจสอบได้” สื่อนำเสนออย่างไร?

Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ นักวิชาการจากกลุ่ม Thai Media Lab
เปิดข้อเสนอต่อ “การรายงานข่าวการเมืองที่มีคุณภาพทางวิชาชีพสื่อและสร้างประโยชน์ต่อสังคม” จากการศึกษาวิเคราะห์การรายงานข่าวข้าว 10 ปี ของ 13 ช่องทีวีดิจิทัล และ 13 สำนักข่าวออนไลน์ จำนวน 1,576 ข่าว พบว่าสำนักข่าวกำหนดข่าวสาร เปิดพื้นที่ความคิดเห็น เพื่อจุดประเด็นตั้งคำถาม พยายามอธิบาย แต่ยังมีสัดส่วนหลักเป็นเพียงการรายงานตามสถานการณ์ที่แหล่งข่าวให้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติม แหล่งข่าวที่ใช้ในการรายงานข่าวมาจาก “รัฐบาล” เป็นหลัก และมีการเปิดพื้นที่ความเห็นต่างเพื่อตั้งข้อสงสัย ได้ดี แต่การอธิบาย-เจาะลึก-ตรวจสอบยังน้อย ทั้งนี้ในภาพรวมข่าวที่นำเสนอมีคุณภาพในมิติของประโยชน์ในการช่วยเกาะติดสถานการณ์มากที่สุด
รองลงมา คือ ได้ตรวจสอบการทำงานการเมือง ตามมาด้วยข่าวทำให้ผู้รับสารรับข้อมูลอย่างมีเหตุผลและเข้าใจเหตุการณ์ได้

ข่าวข้าว 10 ปี เป็นประเด็นข่าวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวประเด็นนี้พร้อมเชิญนักข่าวลงพื้นที่โกดังเก็บข้าวเพื่อพิสูจน์ว่าข้าวที่อยู่ในโครงการรับจำนำข้าวมีคุณภาพเพื่อการบริโภคได้ และพร้อมประมูลข้าวส่วนนี้ประมาณ 15,000 ตัน ให้กับเอกชน

ข่าวนี้จึงกลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ ทั้งในมิติคุณภาพของข้าว มิติความเชื่อมั่นในภาพลักษณ์การเป็นผู้นำของการส่งออกข้าวรายใหญ่ของไทย ตลอดจนมิติทางการเมืองต่างๆ ที่ผูกพันกัน  

ข่าวข้าว 10 ปี จึงเป็นประเด็นที่สื่อควรมีการตั้งคำถามและตรวจสอบอย่างรอบด้าน และนำเสนอข้อมูลที่ทำให้สังคมช่วยกันตรวจสอบและเข้าใจบริบทของสถานการณ์ข้าว 10 ปีในปัจจุบันเชื่อมโยงบริบทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ จึงมีความสำคัญต่อการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อเห็นแนวทางการกำหนดวาระข่าวสารและรูปแบบการนำเสนอข่าวการเมืองจากรูปธรรมการนำเสนอข่าวข้าว 10 ปีของสื่อมวลชนที่เป็นหน่วยการศึกษา

ช่วงเวลาที่ศึกษา

เก็บหน่วยการศึกษาระหว่างวันที่ 6 พฤษภาคม 2567 – 20 มิถุนายน 2567 ครอบคลุมเหตุการณ์สำคัญ คือ

6 พฤษภาคม ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบ ข้าว สารในสต็อกของรัฐบาลตามโครงการรับจำนำ

17 มิถุนายน ยื่นซองเสนอราคา ซึ่งจะได้รับทราบรายละเอียดของผู้ที่ยื่นซองและประมูลชนะ

20 มิถุนายน 2567 ในกรณีที่มีเหตุการณ์ต่อเนื่อง และ การมีการพัฒนาประเด็นข่าวต่อยอดจากจุดของเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้อง

หน่วยการศึกษา

เก็บรวบรวมข่าวที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้าว 10 ปี โดยใช้คำว่า “ข้าว 10 ปี” ในการสืบค้นบนสื่อออนไลน์และดึงข้อมูลข่าวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับข้าว 10 ปีตามวันที่กำหนดในช่วงระยะเวลาที่ศึกษา จากแพลตฟอร์มของสื่อและสำนักข่าวที่เป็นหน่วยการศึกษา ได้แก่ เว็บไซต์ของสำนักข่าว และสื่อสังคมของสำนักข่าว ได้แก่ Facebook, Twitter, TikTok เพราะเป็นสื่อสังคม 3 ช่องทางหลักที่ผู้รับสารรับข้อมูลข่าวสารได้ข่าวที่เป็นหน่วยเพื่อการศึกษาวิเคราะห์จำนวน 1576 ชิ้น จาก

  • สื่อโทรทัศน์ (เก็บข่าวที่นำเสนอมาลงผ่านช่องทางออนไลน์) จำนวน 13 ช่อง โดยเลือกจากช่องทีวีดิจิทัลที่มีการนำเสนอข่าวนี้ โดยเลือกจากกลุ่มผู้ให้บริการทีวีสาธารณะ ได้แก่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก หรือ ช่อง 5 เอชดี (TV5HD) ไทยพีบีเอส (Thai PBS) กลุ่มผู้ให้บริการทีวีเชิงพาณิชย์ ช่อง 3 เอชดี ช่อง MCOT HD ช่องTNN ช่อง16 ช่อง Nation TV 22 ช่อง Workpoint TV ช่อง 8 ช่อง Mono 29 ช่องไทยรัฐทีวี ช่อง PPTVHD36 ช่อง AMARIN TV HD ช่อง 7HD
  • สำนักข่าวออนไลน์ คัดเลือกโดยการสุ่มแบบเจาะจงจากความแตกต่างของลักษณะเนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย และจุดยืนการนำเสนอเนื้อหาที่แตกต่างเพื่อวิเคราะห์จุดยืนและการนำเสนอที่เหมือนหรือแตกต่างกันในการนำเสนอข่าว ได้หน่วยการศึกษารวม 26 สำนักข่าว ได้แก่ ช่อง 5 เอชดี (TV5HD) ไทยพีบีเอส (Thai PBS) ช่อง 3 HD MCOT HD TNN16 Nation TV 22 Workpoint TV ช่อง 8 Mono 29 ไทยรัฐทีวี PPTVHD36 AMARIN TV HD ช่อง 7HD TODAY  ไทยรัฐ ออนไลน์ คมชัดลึก เดลินิวส์ ข่าวสด ฐานเศรษฐกิจ แนวหน้า กรุงเทพธุรกิจ The Standard The reporter สำนักข่าวอิศรา Spring News TopNews

 

กรอบประเด็นที่ใช้ในการศึกษาวิเคราะห์

1) ศึกษาการกำหนดวาระข่าวสารและรูปแบบการรายงานข่าว ได้แก่ การกำหนดวาระข่าวสาร และการพัฒนาการรายงานข่าว

2) การวิเคราะห์เพื่อประเมินคุณภาพตามมาตรฐานการรายงานข่าวการเมือง หลักสำคัญของข่าวการเมือง

3) การวิเคราะห์การให้ประโยชน์กับผู้รับสาร

หัวใจคุณภาพข่าวการเมืองประกอบด้วย

1) ทำให้เข้าใจการเมืองในมิติต่าง ๆ
2) ตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองและรัฐบาล
3) สังคมมีส่วนร่วมทางการเมือง
4) กำหนดวาระข่าวสารเปิดประเด็นที่คนควรต้องรู้ และ
5) ประสานสังคมไม่สร้างความขัดแย้ง

ด้วยเหตุผลของการเกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองในหลายมิติ และควรเป็นเรื่องของการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทำงานเชิงนโยบายของรัฐ การวิเคราะห์ข่าวข้าว 10 ปีจะเป็นต้นแบบในการวิเคราะห์ติดตามผลการรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐในกรณีอื่น ๆ ต่อไปได้ด้วย

จากการวิเคราะห์ข่าวข้าว 10 ปี ถอดบทเรียนการทำข่าวการเมืองที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐได้ 2 ลักษณะ ได้แก่

  • ลักษณะแรกเป็นการนำเสนอตามที่แหล่งข่าวให้ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข่าวฝ่ายใดก็ตาม โดยเฉพาะถ้าเป็นเพียงการนำความเห็น ข้อมูลแหล่งข่าวมานำเสนอ โดยไม่ได้มีการอธิบาย เชื่อมโยง ขยายต่อจะทำให้ได้คุณภาพเพียงแค่ด้านการเกาะติดสถานการณ์ แต่ยังไม่ได้ระดับของความเข้าใจ มีเหตุผลและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของรัฐได้ในเชิงนโยบาย ซึ่งเป็นหัวใจหลักของคุณภาพข่าวการเมือง และข้อความระวังในการนำเสนอลักษณะนี้คือการเลือกชุดข้อมูลและคำพูดของแหล่งข่าว มีความเสี่ยงในการบกพร่องเรื่องความขัดแย้งและการสร้างดราม่าทางการเมืองได้ แนวทางนี้อาจเปิดพื้นที่ให้กับความเห็นที่หลากหลายได้แสดงออกและร่วมตรวจสอบ แต่ถ้าพัฒนาประเด็นไปตามแค่แหล่งข่าว คนกำหนดวาระข่าวสารจะเป็นแหล่งข่าวในเรื่องนั้น ๆ
  • ลักษณะที่ 2 สำนักข่าว “กำหนดวาระข่าวสาร” ซึ่งทำให้สังคมเข้าใจมิติทางการเมืองที่รอบด้านมากขึ้น และยังสามารถทำงานในขั้นตอนการรายงานข่าวที่เน้นความรวดเร็วได้ ซึ่งเป็นการให้ข้อมูล (Inform) ถ้าจะให้ข้อมูลให้มีคุณภาพก็ต้องมีความหลากหลายของประเด็น เพื่อให้คนติดตามได้อย่างรอบด้าน และพัฒนาข่าวประเภทให้บริบท/เชิงลึกประกอบไปด้วย เพื่อให้ตอบคุณภาพเรื่อง เข้าใจมุมที่แตกต่าง เข้าใจเรื่องราวที่ซับซ้อน มีเหตุผลต่อเหตุการณ์ ตรวจสอบการเมือง จะสามารถสร้างคุณภาพข่าวด้านการเกาะติดสถานการณ์ กำหนดวาระข่าวสารเพื่อความเข้าใจของสังคม ทำให้คนเข้าใจการเมืองอย่างมีเหตุผล และ ประสานสังคมหรือสร้างความขัดแย้ง และยังสามารถสร้างผลกระทบในการนำเสนอข่าวได้

Timeline ของข่าวข้าว 10 ปีที่เป็นหน่วยการศึกษา

การวิเคราะห์การรายงานข่าวการเมือง กรณีศึกษา ข่าวข้าว 10 ปี เก็บหน่วยการศึกษาจำนวน 1576 ชิ้นข่าวจาก 26 สำนักข่าว ด้วยการสืบค้นผ่านออนไลน์ด้วยคำสำคัญข่าว10ปี ดึงข้อมูลจาก 4 แพลตฟอร์มได้แก่ Website, Facebook, Twitter, TikTok โดยเก็บหน่วยการศึกษาวิเคราะห์ระหว่างวันที่ 6 พฤษภาคม – 19 มิถุนายน 2567 ในช่วงเวลานี้แบ่ง Timeline เหตุการณ์ออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่

ช่วงที่ 1 วันที่ 6-17 พฤษภาคม 2567 เหตุการณ์สำคัญคือการชิมข้าวและวิจารณ์ว่าข้าวกินได้หรือ?

ช่วงที่ 2 วันที่ 18-26 พฤษภาคม 2567 เหตุการณ์สำคัญคือผลตรวจสอบข้าวว่ากินได้

ช่วงที่ 3 วันที่ 27 พฤษภาคม – 19 มิถุนายน 2567 เหตุการณ์สำคัญคือเปิดประมูลข้าว 10 ปี

จากการวิเคราะห์พบว่า ข่าวข้าว 10 ปี สำนักข่าวกำหนดข่าวสาร “เปิดพื้นที่ความคิดเห็น เพื่อจุดประเด็นตั้งคำถาม พยายามอธิบาย แต่ยังมีสัดส่วนหลักเป็นเพียงการรายงานตามสถานการณ์ที่แหล่งข่าวให้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติม”

ทุกแพลตฟอร์มใช้ แหล่งข่าวที่มาจาก “รัฐบาล” เป็นหลัก แสดงให้เห็นว่า การดำเนินของการนำเสนอข่าวนี้กำหนดโดยแหล่งข่าวจากรัฐ รัฐมีกิจกรรม และการให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับข้าว 10 ปีและสื่อนำเสนอการอัพเดทสถานการณ์ตามแหล่งข่าวรัฐเป็นหลัก โดยพบว่า

ในช่วงที่ 1 “ชิมข้าววิจารณ์ข้าวกินได้หรือ?” มีการให้พื้นที่กับแหล่งข่าวที่หลากหลายที่สุด เพราะเป็นช่วงของการแสดงความเห็นต่อประเด็น รัฐบาลสัดส่วนสูง ส่วนกลุ่มวิจารณ์นำโดยแหล่งข่าวนักวิชาการ

ช่วงที่ 2 “ผลตรวจยันข้าวกินได้” ใช้แหล่งข่าวจากรัฐบาลและหน่วยงานราชการ การวิจารณ์ ตั้งข้อสงสัยจากอีกฝ่าย มีสัดส่วนน้อยลง

ช่วงที่ 3 “TOR ข้าวถึงการประมูล” ใช้แหล่งข่าวจากรัฐบาลและหน่วยงานราชการและแหล่งข้อมูลจากเอกสาร (ตรวจสอบ)

การอ้างอิงแหล่งข่าว

แหล่งข่าวแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกรัฐบาล (56%) และหน่วยงานของรัฐ (15.8%) ให้ข้อมูลเชิงบวกต่อนโยบายรัฐ ตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามที่ค้านหรือวิจารณ์แนวทางการทำงานของรัฐ และแสดงความเห็นต่อประเด็นในเชิงบวกต่อรัฐ กลุ่มที่สองคือ นักวิชาการ (14.4%) ฝ่ายค้าน (11.4%) เอกสาร (7.5%) ภาคพลเมือง (6.2%) และภาคธุรกิจ (4.7%) ประเด็นตั้งคำถามตรวจสอบ แสดงความเห็น มีการแสดงอารมณ์และความเห็นเชิงประชดประชันทาทางการเมือง และการตั้งข้อสังเกตเชื่อมโยงการเมืองในอดีต

ข่าวมีลักษณะอัพเดทสถานการณ์/ข้อมูลใช้แหล่งข่าวเดียวเป็นหลัก ข่าวที่ใช้ 2-3 แหล่งข่าวเป็นเนื้อสรุปประเด็น อธิบายที่มาบริบทเรื่องราว ข่าวตอบโต้ความคิดระหว่าง 2 ฝ่าย

มี 3 สำนักข่าวที่มีสัดส่วนของข้อมูลอ้างอิงด้านสนับสนุนเชิงบวก และ วิพากษ์วิจารณ์ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน คือ Nation TV / คมชัดลึก / แนวหน้า ส่วน ThaiPBS มีการกระจายใช้ข้อมูลจากแหล่งข่าวทุกประเภท

กรอบการนำเสนอข่าวข้าว 10 ปี … “เปิดพื้นที่ความเห็นต่างเพื่อตั้งข้อสงสัย” ได้ดี แต่อธิบาย-เจาะลึก-ตรวจสอบยังน้อย

ข่าวข้าว 10 ปีเป็นข่าวการเมืองที่มีมิติ 4 ด้านที่ควรเชื่อมโยงประเด็นการรายงานให้รอบด้าน  คือ

  • มิติที่ความเชื่อมโยงกับการเมือง ประกอบด้วย กรอบกิจกรรมเกี่ยวกับข้าว10 ปี กรอบอธิบายข้อมูลข้าว10ปี กรอบความเชื่อมั่น (ต่อข้าว10ปี และการจัดการของรัฐ ซึ่งมีทั้งด้านการพยายามสร้างความเชื่อมั่นและด้านของการตั้งข้อสังเกต สงสัย) กรอบข้อเสนอ (เป็นการเสนอแนะต่อการจัดการข้าว10 ปี) กรอบความขัดแย้งเชื่อมการเมือง (ความขัดแย้งทางการเมือง นักการเมืองที่เกี่ยวข้อง) กรอบบริบทการเมือง (ที่มาของข้าว10ปี โครงการรับจำนำข้าว การทำงานของรัฐบาลก่อนหน้า)
  • มิติเศรษฐกิจ ซึ่งเกี่ยวกับการค้า ความเชื่อมั่น ภาพลักษณะของข้าวไทยในตลาด ประกอบด้วย กรอบเศรษฐกิจการค้า กรอบความสัมพันธ์ต่างประเทศ กรอบภาพลักษณ์ข้าวไทย
  • มิติสุขภาพ กรอบความปลอดภัยต่อสุขภาพ เป็นการตรวจสอบข้อสงสัยว่าข้าว 10 ปีกินได้หรือไม่ และ ปลอดภัยต่อสุขภาพหรือไม่
  • มิติที่สังคมสนใจ ประกอบด้วย กรอบการบริโภคข้าว (วิธีการ รูปแบบ การรับประทานข้าว ความเห็นต่อการรับประทานข้าวเก่า) และกรอบการวิจารณ์ แสดงความเห็น (เน้นที่การวิจารณ์และแสดงความเห็นที่เป็นความคิดส่วนบุคคล)

จากการวิเคราะห์การายงานข่าวข้าว 10 ปีพบว่า “มิติที่สังคมสนใจ โดยกรอบการนำเสนอความคิดเห็น” มีสัดส่วนมากที่สุด ข่าวข้าว 10 ปีถูกกำหนดกรอบด้วยการ “นำเสนอตามความเห็น การวิจารณ์ การเปิดประเด็นต่อความไม่น่าเชื่อถือของการจัดการของรัฐบาลต่อข้าว 10 ปี”มิติการเมือง กรอบความเชื่อมั่นต่อข้าว 10 ปี โดยมีทั้งส่วนที่ รัฐพยายามให้ข้อมูลสร้างความเชื่อมั่น และ การตั้งคำถามและความไม่เชื่อมั่นต่อความปลอดภัยและการจัดการของรัฐจากฝ่ายค้าน นักการเมือง นักวิชาการ

มิติสุขภาพ ผลกระทบต่อสุขภาพ คำอธิบายเรื่องสารต่างๆการให้ข้อมูลลักษณะของข้าว การตรวจสอบคุณภาพข้าว

มิติเศรษฐกิจ จะขายข้าวในลักษณะใด ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ข้าวไทย โครงการจำนำข้าว และความเห็นจากตลาดต่างประเทศ

 4 กรอบประเด็นการนำเสนอ

เมื่อจำแนกแต่ละสำนักข่าวพบว่า

เน้นกรอบอธิบายข้อมูลข้าว 10 ปี ประกอบด้วยลักษณะทางกายภาพของข้าว 10 ปี โกดัง การจัดเก็บ สภาพปัจจุบันของข้าว ประกอบด้วยความเห็นต่อสภาพทางกายภาพนั้น ได้แก่ ไทยรัฐทีวี MCOT HD ไทยพีบีเอส ช่อง 3HD

เน้นกรอบความเชื่อมั่น(ทั้งบวก/ลบ) ได้แก่ AMARIN TV HD ช่อง 7HD คมชัดลึก เดลินิวส์ โดยเป็นเรื่องของการให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในข้าว 10 ปีจากฝั่งรัฐบาล และประเด็นแย้ง

เน้นกรอบความปลอดภัยต่อสุขภาพ ได้แก่ TNN ช่อง 16 PPTV HD36 กรุงเทพธุรกิจ The Standard The Reporter สำนักข่าวอิศรา Spring News

เน้นกรอบการวิจารณ์ แสดงความเห็น ได้แก่ Nation TV22 Workpoint TV ช่อง 8 Mono 29 TODAY ไทยรัฐ ข่าวสด แนวหน้า Top News

กรอบการนำเสนอตาม Timeline ของเหตุการณ์

ช่วงที่ 1 “ชิมข้าว-วิจารณ์ข้าวกินได้หรือ?” การกำหนดวาระข่าวสารในประเด็นข่าวข้าว 10 ปี สื่อนำเสนอข่าวตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยกรอบการนำเสนอจะสอดคล้องกับสถานการณ์ การออกมาให้ข้อมูลของแหล่งข่าวแต่ละกลุ่ม รัฐบาลกำหนดวาระสร้างความเชื่อมั่นให้ข้าว สื่อนำเสนอทั้งเกาะติดเหตุการณ์ กรอบความเชื่อมั่น(ทั้งบวก/ลบ) กรอบสุขภาพ และ “เปิดประเด็นเพื่อตรวจสอบ ตั้งคำถาม”

ช่วงที่ 2 “ผลตรวจยันข้าวกินได้” กรอบความเห็นที่ผูกกับกรอบความเชื่อมั่นการเปิดพื้นที่แสดงความเห็นยังมี แต่แหล่งข่าวกลุ่มนี้ออกมาแสงดวามเห็นลดลง สื่อไม่ได้อธิบาย ขยายความประเด็นในมิติอื่นต่อ

ช่วงที่ 3 “TOR ข้าวถึงการประมูล” กรอบของเศรษฐกิจตามมาเมื่อมีการประกาศ TOR ซึ่งก็ยังควบคู่กับความเห็นในการวิจารณ์ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของข้าว พบข่าวที่ให้ข้อมูล อธิบาย และ มีการตรวจสอบเอกสาร TOR  เดือนมิถุนายน กรอบเศรษฐกิจ ข้อมูลเกี่ยวกับข้าว 10 ปี ความเห็น และกรอบความเชื่อมั่นต่อข่าวและการทำงานของรัฐ (โดยรัฐพยายามสร้างความเชื่อมั่น แต่ก็ยังมีข่าวที่ให้ข้อมูลอีกด้านด้วย)

 แนวทางการนำเสนอข่าว

แนวทางการนำเสนอข่าว เป็นรูปแบบของการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้เกิดผลใน 4 ลักษณะคือ การบอกให้รู้เกี่ยวกับประเด็นและเหตุการณ์ (Inform) การสร้างความเข้าใจในบริบทต่าง ๆ ที่มีความลึกรอบด้านด้วยการอธิบาย (Explain) การรวบรวมทางออก วิธีการแก้ปัญหาเพื่อสะท้อนให้กับสังคม (Solution) และ การตรวจสอบ ตั้งข้อสงสัย สืบสวน เจาะลึกหาข้อเท็จจริง (Investigative)

สัดส่วนของแนวทางการนำเสนอแต่ละสำนักข่าวก็มีสัดส่วนของการให้ข้อมูล (Inform) มากที่สุด เป็นการให้ข้อมูลอัพเดทสถานการณ์ตามเหตุการณ์ที่พัฒนาต่อเนื่องกัน และนำเสนอข่าวตามประเด็นที่มีการแสดงความเห็นหรือให้ข้อมูลของแหล่งข่าวในแต่ละช่วงเป็นหลัก

ช่วงที่ 1 “ชิมข้าววิจารณ์ข้าวกินได้หรือ?” การอธิบายมากกว่าช่วงอื่น ๆ เพราะเป็นการอธิบายเรื่องของข้าว ลักษณะของข้าว เหตุการณ์ ผลกระทบ

ช่วงที่ 2 “ผลตรวจยันข้าวกินได้” มีอธิบายบริบทบ้างแต่ลดน้อยลงกว่าช่วงแรก

ช่วงที่ 3 “TOR ข้าวถึงการประมูล” ตรวจสอบและตั้งข้อสงสัย โดยตรวจสอบเอกสาร TOR และ รายละเอียดของบรืษัท แต่ไม่ได้ขยายผล หรือ มีประเด็นต่อเนื่อง

PPTV HD36 มีจำนวนชิ้นข่าวที่นำเสนอแบบอธิบายมากที่สุด (25 ชิ้น) รองลงมาคือฐานเศรษฐกิจ (23 ชิ้น) แนวหน้า (20 ชิ้น) ไทยพีบีเอส (20 ชิ้น) และข่าวสด (17 ชิ้น) ส่วนแนวทางตรวจสอบ โดดเด่นคือ ฐานเศรษฐกิจ และ ไทยพีบีเอส

แนวทางการนำเสนอข่าวให้ทางออก โดยภาพรวมมีน้อยด้วยเพราะลักษณะของข่าวยังไม่ได้มีปัญหาและการแก้ปัญหาที่เป็นกรณีศึกษาได้ชัดเจน ข่าวที่พบเป็นลักษณะของข้อเสนอแนะในการจัดการกับข้าวหรือแก้ปัญหาข้อสงสัยต่อความน่าเชื่อถือต่อข้าว 10 ปี พบที่ไทยพีบีเอสมากที่สุด (4 ชิ้น) รองลงมาคือไทยรัฐ (3 ชิ้น) และ PPTV HD36 (2 ชิ้น) 

แนวทางการนำเสนอข่าวแบบสืบสวน ตรวจสอบ เป็นการตั้งข้อสงสัย ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบตั้งข้อสงสัยเรื่องข้าว 10 ปี การเก็บรักษา และสารพิษที่อาจมีอันตรายต่อร่างกาย และการตรวจสอบเอกสาร TOR และรายละเอียดบริษัทที่ประมูลข้าว สำนักข่าวที่มีการใช้แนวทางการสืบสวน ตรวจสอบมากที่สุดคือ ฐานเศรษฐกิจ (13 ชิ้น) และ ThaiPBS (10 ชิ้น)

การประเมินคุณภาพข่าวการเมือง

ใช้กรอบตัวชี้วัดประเมินลักษณะของข่าวการเมืองที่มีคุณภาพ เกณฑ์ในการประเมิน โดยตัวชี้วัดมีกลุ่มที่เป็นบทบาทอันพึงประสงค์หากปรากฏในข่าวจะได้ 1 คะแนน กลุ่มที่เป็นบทบาทอันไม่พึงประสงค์ซึ่งมีผลต่อคุณภาพข่าวการเมือง จะได้ -1 คะแนน คะแนนของแต่ละด้าน มีสัดส่วนของคะแนนที่ได้คุณภาพพึงประสงค์เท่าไร และ มีส่วนที่เป็นข้อบกพร่องต่อคุณภาพที่ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขเท่าไร เพื่อสะท้อนคุณภาพของการรายงานข่าวข้าว 10 ปี และ ข้อบกพร่องที่ควรพัฒนาปรับปรุง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในลิงค์ช่วงท้าย)

5 มาตรฐานคุณภาพที่สื่อทำได้ดี

  • ข่าวเน้นนำเสนอข้อมูลและเหตุผล สำนักข่าวที่โดดเด่น ฐานเศรษฐกิจ, TNN (84%) ข่าวสด (72%) The Reporter, Amarin TV (67%), ไทยพีบีเอส, ช่อง 3 (66%)
  • ข่าวเปิดประเด็นเรื่องนโยบาย การทำงานของรัฐ สำนักข่าวที่โดดเด่น TNN (89%) ฐานเศรษฐกิจ (80%) สำนักข่าวอิศรา (76%) ไทยรัฐทีวี (75%) ข่าวสด (71%)
  • ข่าวเชื่อมโยงมุมมอง ประเด็นที่หลากหลาย ไทยรัฐทีวี (39%) ไทยพีบีเอส, ช่อง 5 (33%) MoNoNews (25%) กรุงเทพธุรกิจ (24%)
  • ข่าวเปิดประเด็น ตั้งคำถาม ให้เหตุผล ไทยพีบีเอส (30%) ช่อง 5, คมชัดลึก (29%)
  • ข่าวอธิบายที่มาของเหตุการณ์ สำนักข่าวอิศรา พบทุกข่าว (100%) เดลินิวส์ (86%) ฐานเศรษฐกิจ, TNN (84%) ข่าวสด (79%) ช่อง 7 (78%)

อย่างไรก็ตาม รูปแบบการนำเสนอที่ลดคุณภาพข่าว คือ ข่าวมีโทนทำให้เกิดความขัดแย้ง ผ่านการดึงประเด็นความขัดแย้งที่เป็น “ความรุู้สึก” ใช้อารมณ์กับเหตุการณ์ ข่าวการเมืองสร้างดราม่าเร้าอารมณ์ ผ่านการใช้คำโปรย headline เร้าอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ เสียดสี ข่าวตามกระแส หยิบออนไลน์มานำเสนอ หยิบแต่โพสต์ของบุคคลมานำเสนอ ไม่ต่อยอด ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้

– ข่าวมีโทนของการนำเสนอที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง พบใน แนวหน้า (60%) ช่อง 8 (58%) Amarin TV (55%) ไทยรัฐ (54%) Nation TV (51%)

– ข่าวชูประเด็นความขัดแย้งระหว่างฝ่าย พบมากใน แนวหน้า (52%) The Standard (48%) สำนักข่าวอิศรา (47%) กรุงเทพธุรกิจ (46%) ไทยรัฐ (45%)

ส่วนข้อบกพร่องด้านอื่น ๆ ก็พบเพียงประปรายในแต่ละสำนักข่าวซึ่งมาจากการเลือกแหล่งข่าว นำเสนอข้อมูลคำพูด การใช้คำในการนำเสนอข่าว 

คุณภาพด้านประโยชน์ที่ผู้รับสารได้รับ (News Impact)

การวัดคุณภาพข่าวการเมืองในมิติของประโยชน์ที่ผู้รับสารได้รับ โดยมีประโยชน์ด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • ข่าวทำให้ได้ตรวจสอบการทำงานการเมือง มีประโยชน์ต่อการตรวจสอบการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ พิจารณาจากข้อมูลที่ข่าวนำเสนอมีกาตั้งคำถามต่อการทำงานของรัฐ นักการเมือง การตรวจสอบ และให้ข้อมูลที่อธิบายให้ผู้รับสารได้เข้าใจการทำงาน บทบาทต่าง ๆ ของรัฐบาล และนักการเมือง และผลกระทบที่มีต่อประชาชน
  • ข่าวทำให้ผู้รับสารรับข้อมูลอย่างมีเหตุผลและเข้าใจเหตุการณ์ได้ พิจารณาจากการให้ข้อมูลในข่าวทำให้เข้าใจสถานการณ์ เหตุการณ์ ประเด็นข่าวการเมืองโดยการมีข้อมูลอ้างอิงอย่างมีเหตุผล มีข้อมูลประกอบ สามารถคิด เข้าใจ อธิบายเหตุการณ์นั้นได้อย่างเข้าใจ
  • ข่าวทำให้เข้าใจที่มาของเรื่องราว เห็นความซับซ้อน และมีสติรับข้อมูลหลายด้าน พิจารณาจากความหลากหลายของประเด็น แหล่งข่าว ที่ให้มุมมองที่อธิบายที่มาของเรื่องราว เชื่อมโยงประเด็นในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เห็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของบุคคลและประเด็นการเมืองจากอดีตถึงปัจจุบัน ทำให้ไม่หลงกลกับรูปแบบของการกำหนดวาระของนักการเมือง หรือการสร้างภาพลักษณ์ทางการเมือง
  • ข่าวทำให้เข้าใจมุมมองที่แตกต่างจากความคิดของตัวเอง พิจารณาจากการนำเสนอข้อมูลที่มากกว่าด้านเดียว ไม่ทำให้ผู้รับสารตัดสินต่อประเด็นทางการเมืองด้วยอารมณ์ ความรู้สึก เพียงข้อมูลด้านเดียว ลดอคติ เห็นมุมมองที่แตกต่างและยอมรับในการเข้าใจข้อมูลที่ต่างจากความเชื่อ/จุดยืนทางการเมืองของตัวเอง
  • ข่าวมีมุมมองความคิดเห็นและเสียงของประชาชน หรือให้ข้อมูล รูปแบบ การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มีเหตุผล พิจารณาจากข่าวมีข้อมูลที่ให้พื้นที่การแสดงความเห็น หรือมุมมองที่เกี่ยวข้องกับประชาชน หรือการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อประเด็นการเมือง                    
  • ข่าวช่วยเกาะติดสถานการณ์ พิจารณาจากการให้ข้อมูลการพัฒนาของเหตุการณ์ อัพเดทสถานการณ์ ทันต่อเหตุการณ์

ผลจากการวิเคราะห์ข่าวที่เป็นหน่วยการศึกษาพบว่า ในภาพรวมข่าวที่นำเสนอมีคุณภาพในมิติการช่วยเกาะติดสถานการณ์มากที่สุด (68.1%) รองลงมา คือ ได้ตรวจสอบการทำงานการเมือง (56.8%) ตามมาด้วยข่าวทำให้ผู้รับสารรับข้อมูลอย่างมีเหตุผลและเข้าใจเหตุการณ์ได้ (32.1%)

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าสำนักข่าวเน้นการนำเสนอข่าวเพื่อการให้ข้อมูล หรือรายงานความคืบหน้าของเหตุการณ์เป็นสำคัญเพื่อให้ผู้รับสารได้ข้อมูลที่รวดเร็วซึ่งเป็นการให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมา คือ การที่สำนักข่าวได้ตรวจสอบการทำงานการเมืองของทั้งฝั่งรัฐบาลที่บริหารประเทศ และให้พื้นที่ฝ่ายการเมืองกลุ่มต่าง ๆ ได้มีพื้นที่ในการให้ข้อมูล หรือ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้ด้วย

เมื่อจำแนกสัดส่วนตามสำนักข่าวพบว่า

– ข่าวช่วยเกาะติดสถานการณ์ เป็นประโยชน์ที่คนประเมินให้คะแนนกับชิ้นข่าวข้าว 10 ปีที่ทำการศึกษามากที่สุด โดยสำนักข่าวที่โดดเด่นในสัดส่วนของชิ้นข่าวที่ได้คะแนนด้านนี้คือ ข่าวสด (92%) AMARIN TV (86%) ไทยรัฐ (84%) คมชัดลึก, ข่าวสด (83%)

สำนักข่าวที่มีสัดส่วนข่าวที่ให้ประโยชน์ในการทำให้ผู้อ่าน/ผู้ชมได้ตรวจสอบการทำงานการเมือง คือฐานเศรษฐกิจ (80%) เดลินิวส์ (85%) คมชัดลึก (80%) ช่อง 7HD (81%) AMARIN TV (78%) 

ข่าวทำให้ผู้รับสารรับข้อมูลอย่างมีเหตุผลและเข้าใจเหตุการณ์ได้ สำนักข่าวที่มีสัดส่วนข่าวที่ให้ประโยชน์เรื่องนี้คือ สำนักข่าวอิศรา (76%) กรุงเทพธุรกิจ (70%) Workpoint News (69%) Spring News (64%) The Reporter (54%)

ข่าวทำให้เข้าใจที่มาของเรื่องราว เห็นความซับซ้อน และมีสติรับข้อมูลหลายด้าน มีสำนักข่าวอิศราที่แม้จะทำข่าวจำนวนไม่มากแต่สัดส่วนของข่าวที่ให้ประโยชน์ด้านนี้มีสูงที่สุด

ข่าวทำให้เข้าใจมุมมองที่แตกต่างจากความคิดของตัวเอง ได้แก่ The Standard, The Reporter (38%) ช่อง 8 (35%) ไทยพีบีเอส (32%)

ข่าวมีมุมมองความคิดเห็นและเสียงของประชาชน พบสัดส่วนที่มากในข่าวของ ไทยรัฐทีวี (54%) และ สำนักข่าวอิศรา (41%)

เมื่อเปรียบเทียบข่าวของสำนักข่าวออนไลน์และทีวีดิจิทัล พบว่าสำนักข่าวออนไลน์ แสดงถึงความสามารถในการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อผู้รับสารในด้านการตรวจสอบการทำงานการเมืองและการให้ข้อมูลที่มีเหตุผลมากกว่า ทีวีดิจิทัล อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้รับสารที่ต้องการข้อมูลที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ

ทีวีดิจิทัล ยังคงมีความสำคัญในด้านการให้ข้อมูลที่หลากหลายมุมมองและการทำให้ผู้รับสารเข้าใจเรื่องราวที่ซับซ้อนได้ดี ทั้งนี้ การพัฒนาการรายงานข่าวในด้านการตรวจสอบการทำงานการเมืองและการให้ข้อมูลที่มีเหตุผลจะช่วยเพิ่มคุณภาพของการรายงานข่าวการเมืองได้มากขึ้น

สรุปภาพรวมการศึกษาข่าวข้าว 10 ปี

การศึกษาวิเคราะห์ข่าวข้าว 10 ปีในบริบทของข่าวที่มีการเปิดประเด็นโดยรัฐที่ตามมาด้วยข้อถกเถียง ข้อสงสัยจากสังคมและฝ่ายต่าง ๆ สิ่งที่พบในการรายงานข่าวข้าว 10 ปี คือ  มีสื่อบางส่วนพยายามทำงานเชิงคุณภาพ แม้ว่าต้องแข่งกันที่ความเร็วซึ่งทำให้ลักษณะการรายงานข่าวส่วนมากเป็นการให้ข้อมูล (Inform) โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งข่าวมานำเสนอเพื่ออัพเดทสถานการณ์ แต่สำนักข่าวมีการทำข่าวอธิบาย (Explain) คู่ขนานไปด้วยในแต่ละช่วง ในลักษณะของการสรุปประเด็นและอธิบายบริบทที่เกี่ยวข้องเพื่อให้คนเข้าใจประเด็นที่นำเสนอ หรือข้อถกเถียงที่มีอยู่ได้มากขึ้น เมื่อประเมินคุณภาพจากการวิเคราะห์เนื้อหา พบว่า มีข่าวที่อัพเดทความเห็นจากแหล่งข่าวอย่างต่อเนื่อง ส่วนในมิติของประโยชน์ต่อผู้รับสาร ในภาพรวม การรายงานข่าวให้ประโยชน์ในการช่วยเกาะติดสถานการณ์ ประโยชน์ในการได้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและนักการเมือง การตั้งคำถาม เปิดประเด็น และให้พื้นที่ความคิดต่าง การวิจารณ์การทำงานของรัฐ ช่วยเปิดประเด็นการตรวจสอบ มีการเปิดพื้นที่แต่ยังมีสัดส่วนไม่มากซึ่งเป็นจุดที่สำนักข่าวสามารถพัฒนาต่อยอดเชิงคุณภาพได้

กล่าวโดยสรุป การรายงานข่าวที่เกี่ยวกับนโยบายและการตรวจสอบนโยบาย/การทำงานของรัฐ หากใช้โมเดลของการให้สัดส่วนที่สำนักข่าวกำหนดวาระข่าวสาร สู่ความรอบด้านและการอธิบาย จะมีโอกาสยกระดับคุณภาพของข่าวการเมืองได้มากยิ่งขึ้น

กองทุนสื่อ จัดประกวดคลิปสั้นนำเสนอวัฒนธรรมไทยอย่างสร้างสรรค์ ภายใต้โครงการ “สร้างสรรค์ไทย 3” ชิงเงินรางวัลรวม 2 แสนบาท

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดประกวดคลิปสั้นนำเสนอวัฒนธรรมไทยอย่างสร้างสรรค์ ในหัวข้อ “เยาวชนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์วัฒนธรรม” ภายใต้โครงการ “สร้างสรรค์ไทย 3” ชิงเงินรางวัลรวม 2 แสนบาท ส่งเสริมการผลิตและการเผยแพร่สื่อปลอดภัยอย่างสร้างสรรค์ พร้อมปลูกฝังวัฒนธรรมทางความคิดที่ถูกต้องและเหมาะสมแก่เด็กและเยาวชน ผ่านการนำเสนอพลังของซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ทางวัฒนธรรมอันดีงามในท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายสู่ระดับชาติและระดับนานาชาติ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย. – 8 ต.ค. 67

นายธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์มีการดำเนินภารกิจที่สอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่จะส่งเสริมการยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ (Creative Culture) เพื่อส่งเสริม Soft Power ของประเทศ โดยการสนับสนุนและส่งเสริมการนำต้นทุนทางวัฒนธรรมหรือของดีในชุมชนในแต่ละพื้นที่มาช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ ฐานรากชุมชนผ่านสื่อดิจิทัล รวมทั้งเป็นการใช้สื่อในการปรับค่านิยม จิตสำนึกให้แก่คนในสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรม ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรริเริ่มปลูกฝังวัฒนธรรมทางความคิดที่ดีงาม ถูกต้องและเหมาะสมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเยาวชน ซึ่งเป็นไปตามบทบาทหน้าที่ของกองทุนฯ ในการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตการเผยแพร่สื่อปลอดภัยอย่างสร้างสรรค์ ที่ต้องการเสริมสร้างบุคลากรเด็กและเยาวชนให้สามารถพัฒนาศักยภาพตลอดช่วงชีวิต ปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมที่ดี อีกทั้งได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของบุคลากรเด็ก เยาวชน ในฐานะเป็นขุมกำลังทางปัญญา และการสร้างสรรค์สื่อทางวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมสร้างค่านิยม จิตสำนึกให้คนในสังคมได้เห็นถึงความสำคัญของวัฒนธรรม

จึงได้จัดกิจกรรมการประกวดสื่อสร้างสรรค์ของเด็กและเยาวชนในหัวข้อ “เยาวชนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์วัฒนธรรม” ภายใต้โครงการ สร้างสรรค์ไทย  (Creative Thai) ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากเด็ก และเยาวชนร่วมส่งผลงานเข้าประกวดเป็นจำนวนมาก มีการสร้างสรรค์สื่อที่ช่วยปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมที่ดีให้กับสังคม รวมถึงสร้างการตระหนักถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย เกิดเป็นการหวงแหนและอนุรักษ์ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้ยั่งยืนอยู่คู่ประเทศชาติ

การประกวดคลิปสั้น ในหัวข้อ “เยาวชนสร้างสรรค์สื่อ สื่อสร้างสรรค์วัฒนธรรม” ในครั้งนี้ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่  18 กันยายน ถึง 8 ตุลาคม 2567 โดยเปิดโอกาสให้เด็ก และเยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปี ไม่จำกัดเพศ การศึกษา อาชีพ ภูมิลำเนาและสัญชาติ สามารถสมัครได้ทั้งประเภทบุคคลและประเภททีม นอกจากนี้ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการยังได้เข้าร่วมอบรมออนไลน์และได้เรียนรู้แนวทางสร้างสรรค์ผลงานเข้าร่วมประกวด ถึง 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 อบรมการเขียนบท การเขียนบทอย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ และครั้งที่ 2 เป็นการอบรมการผลิตสื่อสร้างสรรค์ในเชิงลึก เพื่อนำความรู้ไปผลิตคลิปวีดิโอต่อไป

โดยผู้ส่งผลงานเข้าประกวดสามารถใช้อุปกรณ์และเทคนิคสร้างสรรค์ผลงานได้ตามถนัด ความยาวของผลงานที่ส่งประกวด ต้องมีความยาว ไม่ต่ำกว่า 3 นาที แต่ไม่เกิน 5 นาที  คลิปผลงานต้องมีขนาด 9 : 16 แนวตั้ง ขนาด 1080 x 1920 พิกเซล เพื่อความเหมาะสมในการลงช่องทางโซเซียลมีเดีย ทั้งนี้มีข้อห้ามต่อการนำเสนอผลงานประกวด คือ เนื้อหาต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของวัฒนธรรมไทย ภาพ เสียง เอฟเฟค ที่นำมาผลิตผลงาน ต้องไม่เป็นเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์  หากกรรมการมีการตรวจพบในภายหลังว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกตัดสิทธิ์จากการประกวดทันที

ซึ่งรางวัลในการประกวดแบ่งเป็น 7 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ จำนวน 1 รางวัล รางวัลละ 50,000 บาท, รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง จำนวน 1 รางวัล รางวัลละ 40,000 บาท, รางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 30,000 บาท, รางวัลชมเชย จำนวน 2 รางวัล รางวัลละ 10,000 บาท และรางวัลขวัญใจมหาชน (Popular Vote) จำนวน 1 รางวัล รางวัลละ 30,000 บาท โดยทุกรางวัลจะได้รับโล่รางวัลจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

การจัดโครงการสร้างสรรค์ไทย 3 นี้ เป็นการเปิดโอกาสให้เด็ก และเยาวชน จากทุกภูมิภาคทั่วไทย นำของดีในชุมชน สิ่งล้ำค่าทางวัฒนธรรมท้องถิ่น ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายผ่านการเล่าเรื่องในรูปแบบคลิปวิดีโอ เป็นเสียงสะท้อนทางความคิดที่จะบอกเล่าเรื่องราวทางวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศไทย และยังช่วยเผยแพร่ภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ กระตุ้นการท่องเที่ยวในชุมชน ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ และช่วยสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่จะได้กลับมานั้นนอกจากการนำเสนอวัฒนธรรมท้องถิ่น ของดีชุมชนสู่สายตาคนในวงกว้างแล้ว เยาวชนเองจะได้มีโอกาสซึมซับและตระหนักในคุณค่าของวัฒนธรรมอันดีงามของคนในชุมชน สร้างค่านิยมและจิตสำนึกให้สังคมเห็นความสำคัญของวัฒนธรรมที่ดี” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ และศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://creativethai3.com/ 
และสามารถติดตามข่าวสารโครงการฯ ผ่านทางเฟซบุ๊กเพจ : กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
และเฟซบุ๊กเพจ : สร้างสรรค์ไทย

“กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” จัดอบรมบ่มเพาะสร้างอินฟลูฯ สูงวัย ให้ผลิตสื่อได้ ใช้สื่อเป็น

“กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” จัดอบรมเพิ่มทักษะดิจิทัลให้กับผู้สูงวัยในโครงการ “สูงวัยหัวใจยังเวิร์ก” ปีที่ 3 ปีนี้เพิ่มความแตกต่าง ด้วยการจัดกิจกรรมแบบ Hybrid ทั้งอบรม onsite ไปพร้อม ๆ กับ online โดย กองทุนฯ ได้เตรียมน้อง ๆ บัดดี้ และทีมงานดูแลผู้เข้าร่วมอบรมอย่างใกล้ชิด พร้อมเชิญวิทยากร มาอัปเดตเทรนด์ความรู้ ที่ผู้สูงวัยให้ความสนใจกันมาก อาทิ generate รูปภาพและวิดีโอ ไปจนถึง สร้างตัวตนเป็น อินฟลูเอนเซอร์สูงวัย ฯลฯ ได้รับความสนใจ มีจำนวนผู้สมัครมากกว่า 500 คน เตรียมปั้นคอนเทนต์น้ำดีสู่โลกโซเชียล

14-15 ก.ย. 67 โรงแรม ทีเค พาเลซ แจ้งวัฒนะ

ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เผยว่า

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เรามีหลักคิด หลักการ หลักยึด ให้ทุกท่านต้องรู้ว่าสื่อที่ปลอดภัยเป็นอย่างไร สื่อที่ไม่ปลอดภัยเป็นอย่างไร สื่อสร้างสรรค์เป็นอย่างไร ไม่สร้างสรรค์เป็นอย่างไร และเรามีความเข้าใจสื่อมากน้อยขนาดไหน ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของข้อมูลข่าวสาร เราจะต้องจัดการกับตัวเองอย่างไร จัดการกับสื่ออย่างไร นี่เป็นงานทั้งหมดขององค์กร และในขณะเดียวกันเราก็ต้องลุกขึ้นมาทำสื่อ จะทำอย่างไร การฝึกอบรมวันนี้ก็เป็นการนำเสนอเชิงเนื้อหาและวิธีการ ซึ่งในหลักสูตรนี้เมื่อทุกคนจบออกไปแล้ว ไม่ใช่จะเป็นเพียงพลเมืองที่ตื่นรู้ (Active Citizen) แต่เพียงอย่างเดียว แต่เราจะสามารถผลิตสื่อได้

 

งานอบรมวันนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “สื่อเปลี่ยน ผู้สูงอายุปรับ ผลิตสื่อได้ ใช้สื่อเป็น เห็นคุณค่าในตัวเอง สร้างประโยชน์ให้กับสังคม ผ่านโลกดิจิคลับจัดอบรมทั้งสิ้น 2 วัน 5 วิชา ได้แก่ 1.) D101: Yold Creater: ผลิตสื่อด้วยโทรศัพท์มือถือโดย คุณเสกสรร เทิดสิริภัทร หรือ เสกสรร ปั้น YouTube 2.) D102: Yold Storyteller: นักเล่าเรื่องออนไลน์วัยเก๋า ในหัวข้อ การสื่อสารสร้างสรรค์ผ่านสื่อสมัยใหม่โดย ผศ.อาชวิชญ์ กฤษณสุวรร ภาควิชาบรอดแคสติ้งและการผลิตสื่อสตรีมมิ่ง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หัวข้อ เล่าเรื่องทรงพลังดังแบบตะโกนโดย อ.พัชราพร ดีวงษ์ ภาควิชาบรอดแคสติ้งและการผลิตสื่อสตรีมมิ่ง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และหัวข้อ สร้างแบรนด์บุคคลให้ปังและดังในโลกออนไลน์โดย ผศ. ดร. วีรพงษ์ พวงเล็ก ภาควิชาการสื่อสารและสื่อใหม่ (มุ่งเน้นโฆษณาดิจิทัล) คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 3.) D103: Yold Digital Literacy: รู้ทันสื่อ, ต่อต้านข่าวลวง ข่าวปลอม โดย ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 4.) D104: YOLD Influencer: สร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดย – คุณณัฐรดา สุขสุธรรมวงศ์ หรือ ครูตุ๊กตาพาฟิต ทันตแพทย์ สมชัย สุขสุธรรมวงศ์ หรือ หมอแว่นพาฟิต คุณกนกนภัส กิตติปภารักษ์ หรือ เจ่เจ๊ก้อย 50 ก็เฟี๊ยวได้ และ 5.) D105: AI For senior: รู้จัก เข้าใจ ใช้ประโยชน์ จาก AI โดย ผศ. ดร.ธรรณพ อารีพรรค มหาวิทยาลัยรังสิต

ด้านไฮไลท์ของการอบรมโครงการสูงวัยหัวใจยังเวิร์กปีนี้ เพิ่มความแตกต่าง จัดกิจกรรม Hybrid ทั้งอบรม onsite พร้อม ๆ กับ online โดย กองทุนฯ ได้เตรียมน้อง ๆ บัดดี้ และทีมงานดูแล ผู้เข้าร่วมอบรมอย่างใกล้ชิด และอัปเดตเทรนด์ความรู้ ที่ผู้สูงวัยให้ความสนใจกันมาก อย่างการ generate รูปภาพและวิดีโอ ไปจนถึง สร้างตัวตนเป็น อินฟลูเอนเซอร์สูงวัย อีกทั้งยังเพิ่มกิจกรรมรูปแบบใหม่ ๆ เข้ามา มีจำนวนผู้สมัครมากกว่า 500 คน เนื้อหาเข้มข้น มุ่งพัฒนาให้ผู้สงอายุผลิตสื่อได้ ใช้ประโยชน์จากสื่อเป็น ตามวัตถุประสงค์ ท้ายสุด ดร.ธนกร ได้ให้ข้อคิดจากการบรรยายหัวข้อ รู้ทันสื่อ ต่อต้านข่าว ลวง ข่าวปลอมด้วยพุทธปัญญา โดยเสนอแนะ การสื่อสารวิถีพุทธ คือ 1.) เลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะสื่อสาร ดังเช่นตัวอย่าง 2.) เลือกเนื้อหาที่จะสื่อสาร และ 3.) มุ่งผลสัมฤทธิ์ของการสื่อสาร

สรุปว่าผู้เข้าร่วมอบรม ได้รับแรงบันดาลใจและความรู้กันไปเต็มอิ่ม ทั้งนี้ท่านอื่นๆ ที่สนใจโครงการฯ สามารถติดตามกิจกรรมและความรู้จากเฟซบุ๊กเพจได้ตลอดที่ สูงวัยหัวใจยังเวิร์ก และ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์