เลือกหน้า

เปิดน่าน

เกิดที่น่าน เห็นน่านมาตั้งแต่เกิด รู้เห็นว่าน่านมีความหลากหลายทั้งในเรื่องของชาติพันธุ์วัฒนธรรมการกินอยู่ ศิลปะหลากหลาย ทั้งเก่าและใหม่ แต่พื้นที่ยืนของความหลากหลายที่ว่ายังไม่สามารถปรากฏตัวให้คนน่านเอง
ได้รู้เห็นได้ หรือคนนอกเมืองน่านได้เห็น น่านที่หลากหลาย น่านที่ร่วมอยู่กันได้อย่างกลมกลืนกลมกล่อม
“คุณจุมพล อภิสุข” ในฐานะของคนน่าน เกิดที่น่าน ศิลปินเมืองน่าน และผู้พยายามผลักดันความเป็นน่านให้ได้รู้จัก ตั้งแต่ เทศกาลที่ชื่อน่าน เนิบ เนิบ จึงได้รวบรวมมิตรสหายจัดทำ “โครงการเทศกาลน่าน NAN FESTIVAL” ขึ้นอีกครั้ง ภายใต้การสนับสนุนจาก  “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” น่านเฟสติวัลในครั้งนี้ คุณจุมพลตั้งใจอย่างมากที่จะทำเฟสติวัลขึ้นมาเพื่อเกี่ยวร้อยผู้คนที่หลากหลายเข้ามาเป็นพลังหนึ่งเดียว เป็นชุมชนอีกรูปแบบ เพื่อให้ความหลากหลายนั้นได้มีที่ทางปรากฎตัว ได้สามารถต่อยอดความสร้างสรรค์ ได้นำไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์จากการได้มีที่ทางปรากฎตัวอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

ในความเป็นน่านเฟสติวัลนั้นได้มีกิจกรรมที่หลากหลายแทรกตัวอยู่มากมาย มากพอที่จะทำให้ความหลากหลายทั้งด้าน ชาติพันธุ์ ศิลปะวัฒนธรรม อาหารการกิน ศิลปินรุ่นเก่าและใหม่ ได้มีที่ทางแสดงตัว แสดงศักยภาพออกมาได้อย่างแท้จริง อย่าง น่านสเคป ที่เป็นการสร้างงานศิลปะผ่านพื้นที่จริงของเวียงน่านและเวียงสา เป็นการใช้ศิลปะเพื่อสร้างความเป็นน่านที่มองไม่เห็นให้ได้ปรากฏตัวขึ้นมา หรือ น่าน ครีเอเตอร์ ที่เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ต่อยอด โดยมีการอบรมให้ความรู้กับกลุ่มคนทั้งที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในเมืองน่าน บนโจทย์การออกแบบการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ได้รับแรงบัลดาลใจ ‘หัวโอ้’ หรือ หัวเรือแข่งเมืองน่าน หรือกิจกรรมสร้างสรรค์ที่มีผู้เข้าร่วมอบรมไม่น้อยนั้นคือ หนังสั้น (Nan ShortFilm) ที่มีคุณนนทรีย์ นิมิบุตร และ สันติ แต้พานิช มาเป็นวิทยากรในการอบรม และหนังสั้นที่ถูกผลิตขึ้นจากผู้เข้าร่วมอบรมได้ถูกคัดเลือกนำมาฉายในเทศกาลน่านด้วยกันถึง 4 เรื่อง น่านฟู้ดแมพ (NAN Food Map) ที่รวมร้านอาหารจำนวน 21 ร้าน ทั้งที่เป็นอาหารท้องถิ่นของจังหวัดน่าน อาหารของกลุ่มมีชาติพันธุ์ อาหารในสไตล์ฟิวชั่น ยังมีน่านกลางแปลง ฉายหนังขนาดยาว 17 เรื่อง และหนังสั้น 10 เรื่อง และไฮไลต์ของงาน คือน่านมิวสิค (Nan Contemporary Music) ที่มีดนตรีในรูปแบบต่าง ๆ
ทั้งในแบบร่วมสมัย ฟิวชั่น ดนตรีพื้นบ้านจากพี่น้องชาติพันธุ์ในเมืองน่าน ทั้งม้ง ลัวะ ฯลฯ

โครงการเทศกาลน่าน NAN FESTIVAL นับเป็นการเปิดพื้นที่ให้ความหลากหลาย แต่เทศกาลน่านนั้นไม่ใช่แค่เป็นไปเพื่อให้ความหลากหลายมีพื้นที่ปล่อยของเพียงเท่านั้น แต่คุณจุมพลเองยังหวังว่า เทศกาลน่านจะทำให้คนน่านเองได้รู้จักรากของตัวเองได้อย่างครบถ้วน ได้เห็นความหลากหลายทั้งในมิติชาติพันธุ์ ศิลปะวัฒนธรรม วิถีชีวิต เพราะนั้นคือพื้นฐานของการสร้างสรรค์ที่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ในทางศิลปะวัฒนธรรม หรือ ในทางเศรษฐกิจของชุมชน หรือในนิยามของเทศกาล คุณจุมพลเชื่อว่า เทศกาลนั้นคือการสร้างความเชื่อมโยง การต่อติดกันของความหลากหลาย การสร้างชีวิตชีวาให้เกิดขึ้น เกิดการรวมตัวเพื่อผลักดันให้สิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่หลบซ่อนอยู่ได้มีพื้นที่ และนำไปสู่การต่อยอดและความแข็งแรงเข้มแข็งขึ้น ในด้านคอนเนคชั่นที่เกิดขึ้นจากการจัดเฟสติวัล คุณจุมพลเองมองเห็นว่า นี่คือจุดแข็งที่นำเอาหน่วยงานทั้งที่เป็นเอกชน ราชการ กึ่งราชการ วัด โรงเรียน มหาวิทยาลัย ภาคประชาสังคม กลุ่มศิลปิน ฯลฯ ได้ร่วมไม้ร่วมมือกันเริ่มต้นผลักดันสิ่งที่เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ให้กับเมืองน่าน ไม่เพียงเท่านั้น เทศกาลน่าน ยังสร้างการถ่ายทอดภูมิปัญญาของคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่ และเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีพื้นที่ฝึกปรือทักษะ วิชาความรู้  เป็นคนรุ่นใหม่ที่มาสานต่อคนรุ่นเก่าเพื่อสร้างสรรค์สังคมน่านให้น่าอยู่ได้ต่อไปในอนาคต

ติดตาม เทศกาลน่าน NAN FESTIVAL ได้ที่ : https://www.facebook.com/nanfestofficial

ชีวิตดีด้วยคุณของครู

ครูคือคนสำคัญในชีวิตของคนทุกคน การเติบโตเป็นเราได้อยู่ในทุกวันนี้ อย่างน้อยเราผ่านการเรียนรู้จากครูมาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน ถ้าให้นึกถึงครูสักหนึ่งคนที่มีบทบาทในการทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้เรานึกถึงครูคนไหน หรือครูที่เป็นที่มาของแรงบันดาลใจให้เราทำการงานที่ได้ทำอยู่ในทุกวันนี้นั้น ครูคนนั้นคือใครในชีวิตของเราบ้าง “คุณวราวุธ เจนธนากุลหัวหน้าโครงการผู้ผลิตสารคดี ครูของฉันจากการสนับสนุนของ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทเปิดรับทั่วไป ประจำปี 2566 ใช้คำถามข้างต้นเป็นโจทย์ในการผลิตสารคดีชุดครูของฉันขึ้นมา และประเด็นสำคัญที่ทำให้คุณวราวุธทำสารคดีชุดนี้ขึ้นมา เพราะเชื่อว่าตนเองคือผลผลิตหนึ่งที่ผ่านการอบรมสั่งสอนจากครูมาเช่นกัน ที่เป็นผมในทุกวันนี้ได้ก็เกิดจากการมีครู

สารคดีครูของฉัน ทั้ง 13 ตอนบอกเล่าเรื่องราวของบุคคลที่ผ่านการขัดเกลาจากครูอย่างละเอียดละออ เป็นครูที่ไม่ได้หมายความว่าอยู่เพียงในโรงเรียน ใส่ชุดครู และสอนนักเรียนอยู่ที่หน้าชั้นเรียนแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นครูที่อยู่นอกรั้วโรงเรียน เป็นครูที่บางครั้งมีสถานะเป็นคุณพ่อคุณแม่ เป็นครูที่สอนวิชาความรู้นอกห้องเรียนแต่สำคัญยิ่งเพราะวิชาความรู้นั้นได้นำมาปรับใช้เพื่อการดำรงสัมมาอาชีวะในปัจจุบัน

อย่างครูใน EP. ที่ 1 ในตอนที่ชื่อว่า ทายาทเครื่องเงินแห่งล้านนาครูในชีวิตของเขาที่สำคัญที่สุด นั้นคือพ่อของเขาเอง พ่อผู้เป็นช่างเครื่องเงิน พ่อผู้ที่ไม่เคยคิดบังคับให้ลูกต้องมาสืบทอดงานช่างเครื่องเงินของตน เป็นครูที่ไม่ใช้วิธีการบังคับกะเกณฑ์เอาว่าจะต้องเรียนสิ่งนี้วันนี้เวลาเท่าไหร่ สิ่งที่ครูคนนี้สอนสั่งกับลูกศิษย์คือการให้ลูกศิษย์ได้เล่นได้จับเครื่องไม้เครื่องมือ เพื่อให้เกิดความคุ้ยเคย และเมื่อวันหนึ่งที่คิดว่างานนี้ใช่สำหรับเขา ความคุ้นเคยที่เขาเคยได้จับ ได้ทำอย่างเล่นๆในวันนั้น มันจะส่งผลให้เขาไม่เคอะเขินในการเรียนรู้ครั้งใหม่นี้ ที่น่าสนใจในEP1.อีกเรื่องหนึ่งคือ การสอนแบบไม่สอนของผู้ที่เป็นครูและพ่อในคราเดียวกัน ครูมักเริ่มต้นให้เพียงว่าสิ่งที่จะทำ ต้องใช้อะไรบ้าง หลังจากนั้นผู้เป็นศิษย์ก็ต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ ทดลองถูกทดลองผิดเอาเอง บางครั้งใช้เวลานานนับเดือนหรือนานนับปี แต่ผลนั้นคุ้มค่า ชิ้นงานที่ออกมาแม้ไม่เหมือนชิ้นงานที่ครูทำ แต่ชิ้นงานกลับมีความสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นมา

หรืออย่างครูใน EP10. ในตอนที่ชื่อว่า ครูสอนดำน้ำสู่การอนุรักษ์ทะเลไทยใน EP นี้ มีคุณสายป่าน นักแสดงชื่อดัง เป็นผู้เล่าเรื่องครูผ่านกิจกรรมในชีวิต เริ่มตั้งแต่ครูการแสดง ผู้ที่ขัดเกลาให้มีไอเดียมีความคิดกับการแสดงที่ลงตัวมากขึ้น จากนักแสดงที่ผันตัวมาใช้ชีวิตกับกิจกรรมดำน้ำ เมื่อเลือกที่จะดำน้ำเป็น เธอจำเป็นต้องมีครู ครูผู้สอนให้ไม่ใช่แค่การดำน้ำ แต่สอนให้การดำน้ำนั้นนำไปสู่การสร้างความมั่นใจในชีวิตให้เพิ่มมากขึ้น เมื่อเริ่มมีความเชี่ยวชาญในการดำน้ำมากขึ้น ครูจึงเห็นว่าเธอน่าจะเป็นครูที่ดีได้ด้วยเช่นกัน พัฒนาการจากความเป็นลูกศิษย์ต่อยอดมาเป็นครูจึงเกิดขึ้นมา ไม่เท่านั้นในฐานะนักดำน้ำและนักแสดง เมื่อถูกชักชวนให้มาร่วมในขบวนของการอนุรักษ์โลมาอิรวดี การเป็นลูกศิษย์เพื่อเรียนรู้ความรู้ต่างๆที่จำเป็นต่อการอนุรักษ์จึงวกกลับมาอีกครั้ง เป็นนักเรียนที่ดีเพื่อที่จะทำให้ได้ดี

ในสารคดีทั้ง 13 ตอน เราจะได้เห็นทั้งความเป็นครูที่มีกระบวนการสอนที่นำไปสู่การปั้นให้ลูกศิษย์ได้รับความรู้ ความเชี่ยวชาญ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จของอาชีพการงาน เราจะได้เห็นความเป็นศิษย์ที่พร้อมจะค้อมต่ำรับกับคำสอนใหม่เพื่อความเจริญเติบโตในวิชาชีพการงานของตนเอง และที่สำคัญนั้นคือศิษย์เองก็ไม่เคยลืมครู ครูเองก็ไม่เคยลืมศิษย์ ศิษย์ยังสำนึกถึงบุญคุณและคำสอนของครูเสมอ ครูยังคงเฝ้าดูเป็นกำลังใจเป็นที่ปรึกษาภูมิใจทุกครั้งเมื่อลูกศิษย์ไปสู่ความสำเร็จบรรลุถึงเป้าหมา สารคดีครูขอฉันถ้าจะสรุปว่าแก่นแกนสำคัญของการเรียนและการสอนอยู่ที่ตรงไหน อยากยกประโยคของครูในตอน ความสุขบนความพอเพียงที่บอกเอาไว้ว่า เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริงถ้า สุจิปุลิคือวิถีสู่ความเป็นปราชญ์ เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริงก็คงไม่หนีกันไปสักเท่าไหร่

สามารถรับชมรายการ ครูของฉัน ได้ที่ : https://www.facebook.com/profile.php?id=61554923668240

อิ่มความตั้งใจ

“อิ่มความรู้ อิ่มท้อง อิ่มใจ อิ่มอดีต” ประโยคของความอิ่มในแบบต่างๆ ที่ถูกเริ่มต้นด้วยอาหาร อิ่มทั้ง4ข้างต้นเป็นคำโปรยในตอนต้นของรายการ “อิ่มอดีต” ที่มีโปรดิวเซอร์มากประสบการณ์จากรายการแนะนำอาหาร ร้านอาหารอย่าง “คุณกาญจนา อับดุลลาฮาย” มาเป็นหัวหน้าโครงการอิ่มอดีต ผลงานผู้รับทุนของ “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” เพื่อทำงานการสื่อสารจากอดีตเพื่อเชื่อมโยงไปยังปัจจุบัน โดยมีอาหารเป็นเครื่องมือหลักที่เกี่ยวร้อยให้เห็นถึงอดีตในด้านต่างๆของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นในด้านวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ฯลฯ ทางโครงการอิ่มอดีตเริ่มเดินเรื่องจากอิ่มในความรู้ของอดีต หลังจากนั้นรายการจึงเชื้อเชิญให้ผู้ชมได้เดินเข้าไปสู่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของอาหารเมนูนั้นๆ ประวัติศาสตร์อาหารที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของผู้คนสังคมที่มีส่วนก่อเกิดอาหารเมนูนั้นๆขึ้นมา แล้วเสร็จจึงพาผู้ชมไปหาความอิ่มท้องจากอาหารคาว อาหารหวาน ของกินเล่น หรืออาหารลูกผสมที่กลมกล่อมจนได้ความเป็นรสไทย และแน่นอนความอิ่มใจความภาคภูมิใจจึงตามมาอย่างเลี่ยงไม่พ้นในฐานะคนดูที่เป็นคนไทย

“เป็นความตั้งใจที่จะผลิตรายการอาหารที่เป็นประโยชน์ สอดแทรกประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร จากที่เราคุ้นเคยกับการทำรายการแนะนำอาหาร แนะนำร้านอาหาร เราเริ่มรู้สึกตัน ในช่วงเวลานั้นเราอยากทำรายการอาหารที่มีความละเอียดละออมากกว่าที่ทำอยู่ มันจึงเป็นความตั้งใจที่เก็บเอาไว้ จนได้มาทำโครงการนี้ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ความตั้งใจในการทำรายการอาหารที่มีสาระ มีเนื้อหา มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ จึงบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ และถ้าให้เปรียบเทียบระหว่าง 2 โปรดักชั่น ระหว่างรายการแนะนำอาหาร กับ รายการอิ่มอดีต สิ่งที่เด่นชัดที่สุดของความแตกต่างก็คือ ความอิสระในทางความคิด ซึ่งรายการอาหารอย่างอิ่มอดีตสามารถให้สิ่งนี้ได้

เมื่อจะต้องเลือกตอนไหนตอนหนึ่งจาก12ตอนของอิ่มอดีต คุณกาญจนา เล่าว่าที่จริงก็เลือกไม่ถูกว่าตอนไหนดีกว่าตอนไหน เพราะทุกตอนถูกถ่ายทำด้วยความตั้งใจ แต่ถ้าเป็นความประทับใจเป็นส่วนตัวที่สุด คุณกาญจนาเองยกให้ ตอนที่ชื่อว่า “ข้าวแช่ชาววัง” เป็นตอนที่ให้ความประทับใจที่สุด ตั้งแต่ข้าวแช่ที่ได้เล่าผ่านเรื่องราวของชาวมอญในประเทศไทย ทำให้รู้ที่มาว่าข้าวแช่ที่กินอยู่กันนั้นเป็นวัฒนธรรมอาหารแบบชาวมอญ จากอาหารแบบคนมอญเข้ามาสู่ความเป็นอาหารในรั้วในวัง และจากในรั้วในวัง กระจายมาสู่การเป็นอาหารดับร้อนคู่กับประชาชนคนธรรมดา จนถึงความประทับใจในร้านข้าวแช่และอาหารไทยที่มีชื่อว่า “บ้านวรรณโกวิทย์” ซึ่งเป็นบ้านเจ้านายเก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่6 ที่สำคัญคือบ้านนั้นมีเรื่องเล่าไม่น้อย แม้ว่าจะผ่านกาลเวลามาประมาณแค่1ศตวรรษเพียงเท่านั้น แต่ความประทับใจที่ข้าวแช่หนึ่งสำรับนั้น สามารถพาไปให้เห็นวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์อย่าง มอญ ได้พบกับเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ร่วมสมัยยังไม่ห่างไกลเกินไปนัก อย่างร้านข้าวแช่วรรณโกวิทย์ แต่สิ่งที่เป็นความประทับรวมหมู่ระหว่างหัวหน้าโครงการฯ และ ทีมงานก็คือ การที่คุณกาญจนาและทีมงานได้ทำงานในสิ่งที่เป็นความตั้งใจมาอย่างเนิ่นนานมากแล้ว และเมื่อได้ปลดปล่อยเสียที กับงานสื่อสารเรื่องอาหารที่เป็นประโยชน์ เหมือนคอนเซ็ปท์รายการที่บอกว่า “อิ่มความรู้ อิ่มท้อง อิ่มใจ อิ่มอดีต”

สามารถรับชมรายการอิ่มอดีตได้ที่ : Facebook Page อิ่มอดีต

ด้วยความเป็นห่วง

ด้วยเหตุของการมีลูกสาว จึงเป็นโจทย์ใหญ่ให้ “คุณสุทัศน์ ปาละมะเริ่มต้นทำ โครงการสื่อ รู้แล้วรอด ป้องกันการถูกล่วงละเมิดโดยการสนับสนุนของ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ขึ้นมา โจทย์ที่ว่ามันเกิดขึ้นมาจากสองสาเหตุด้วยกัน เหตุแรกจากข่าวสารมากมายที่เด็กผู้หญิงถูกล่วงละเมิดทั้งจากคนแปลกหน้า หรือ คนในครอบครัว และ จากเหตุที่ลูกเริ่มโตเป็นสาวแล้ว การปฏิสัมพันธ์กับลูกสาว ระยะห่างแบบไหนที่จะเหมาะสม โดยที่จะไม่สร้างความอึดอัดให้กับลูกวัยรุ่นที่มีความเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องอารมณ์และร่างกายอย่างชัดเจน คุณสุทัศน์จึงเริ่มหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมา และมูลนิธิแรกที่นึกถึงและไปหานั้นคือมูลนิธิปวีณาฯ มูลนิธิที่มีประสบการณ์ทำงานในเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศอย่างต่อเนื่องและมีองค์ความรู้ในเรื่องดังกล่าวอย่างชัดเจน ข้อมูลความรู้ที่ปรากฏในสื่อของทางโครงการ จะเป็นข้อมูลที่หนักแน่น เป็นประสบการณ์ตรง

สิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญในการนำเสนอในสื่อของโครงการนั้นคือ การล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นนั้นมักจะเกิดจากคนสนิทคนในครอบครัวเอง มากกว่าคนภายนอกครอบครัว จึงเป็นสาเหตุให้คุณสุทัศน์ พยายามค้นหาว่าการวางตัวของคนในครอบครัวแบบไหนที่จะทำให้เกิดการป้องกัน ไม่ให้เดินทางไปถึงการล่วงละเมิดทางเพศของคนในครอบครัวได้ ก่อนจะมาทำการสื่อสารสาธารณะในเรื่องการป้องกันตัวจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศนั้น
คุณสุทัศน์เคยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์มาแล้ว ครั้งนั้นเป็นการดำเนินการโครงการที่เกี่ยวกับเรื่องการป้องกันเด็กหาย ซึ่งก็เกิดขึ้นจากความสนใจจากเรื่องในครอบครัวเป็นสำคัญเช่นกัน ซึ่งในช่วงนั้นลูกสาวของคุณสุทัศน์ยังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ และวันหนึ่งได้พาลูกสาวไปเที่ยวเดินในห้าง และลูกสาวเกิดหายไปกลางห้าง แต่โชคดีที่พลัดหลงกันไปไม่นานก็ตามเจอ จากวันนั้นจึงมีโจทย์ว่าเรื่องเด็กหายเป็นเรื่องที่ควรมีความรู้และทักษะการป้องกันที่ตัวเด็กเองและพ่อแม่ผู้ปกครองควรมี ดังนั้นจึงไปปรึกษาหาความรู้กับทางศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา

คุณสุทัศน์มีอาชีพเป็นอาจารย์สอนอนแอนิเมชัน ดังนั้นแอนิเมชันจึงนำเป็นเครื่องมือการสื่อสารของโครงการอย่างเต็มตัว  ไม่ใช่แค่รูปแบบแอนิเมชั่นเพียงเท่านั้น แต่ทางโครงการจึงได้จัดทำเป็นรูปแบบหนังสือนิทานในเรื่อง เมื่อมะลิผลิบานโดยเนื้อหาของเรื่อง บอกเล่าเรื่องราวของการป้องกันตัวเองและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อต้องพบเจอจากการล่วงละเมิดทางเพศ โดยเป็นการเล่าผ่านเด็กผู้หญิงที่ชื่อมะลิ ที่ได้รับความรู้ว่าการล่วงละเมิดทางเพศคืออะไร การสัมผัสแบบไหนที่ไม่ปลอดภัยสร้างความอึดอัดใจ อวัยวะส่วนไหนที่เป็นอวัยวะต้องห้าม ที่ต้องไม่ให้ใครมาจับต้องได้โดยง่าย เรามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการสัมผัสที่อึดอัดไม่ปลอดภัยนี้ได้

คุณสุทัศน์เล่าว่าที่ใช้การเล่าเรื่องโดยแอนิเมชันและหนังสือนิทานก็เพราะมีข้อมูลที่ชัดเจนบอกว่า วัยเด็กเป็นวัยที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศมากที่สุด ดังนั้นการผลิตการสื่อสารเป็นแอนิเมชันเพื่อให้ความรู้เรื่องการล่วงละเมิดทางเพศกับวัยเด็กจึงเป็นเรื่องที่ถูกฝาถูกตัวอย่างเป็นอย่างมาก และเมื่อพูดถึงผลสำเร็จของโครงการในมุมมองของคุณสุทัศน์นั้น ความสำเร็จหนึ่งที่น่าภูมิใจก็คือ การที่คุณครูหลายโรงเรียนได้เอานิทาน “เมื่อมะลิผลิบาน” ไปใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน ให้กับน้องๆในโรงเรียน หลายเสียงชมเข้ามาว่า กำลังหาสื่อการเรียนการสอนเรื่องการป้องกันจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศอยู่พอดี ต้องขอขอบคุณอย่างมาก

อ่านนิทานเมื่อมะลิผลิบาน ได้ที่ : เพจ รู้แล้วรอดป้องกันการถูกล่วงละเมิด

กองทุนพัฒนาสื่อฯ ร่วมต้านภัยยาเสพติด จัดโครงการ “Safe ติด The Series”  

(2 กุมภาพันธ์ 2568) กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ “Safe ติด The Series”  ต้านภัยยาเสพติด  ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการได้นำเสนอประเด็นที่เกี่ยวกับยาเสพติดในมิติต่าง ๆ  อาทิ การตระหนักรู้ การรู้เท่าทันโทษ และบทลงโทษของยาเสพติด   ผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม พร้อมพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์  ตลอดจนการสร้างสื่อของเด็กและเยาวชน  อายุตั้งแต่ 18-25 ปี  ให้สามารถถ่ายทอดความรู้โทษภัยยาเสพติด  โดยมี ผศ.ดร.ศรัญญ์ทิตา ชนะชัยภูวพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาสื่อสำหรับเด็กและยาวชน กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์  และผู้เชี่ยวชาญในการให้ความรู้ด้านยาเสพติด นักสื่อสาร อินฟลูเอนเซอร์ และศิลปินนักแสดง

บรรยากาศภายในงานมีการแลกเปลี่ยน ความรู้ และประสบการณ์ อย่างสร้างสรรค์  และเปิดพื้นที่ให้เยาวชนผู้เข้าอบรมมีส่วนร่วมผลิตผลงานคลิปวิดีโอสั้นความยาว 1-2 นาที   นอกจากการอบรมครั้งนี้ ทางโครงการ “Safe ติด The Series”  ยังมีผลงานสร้างสรรค์ในรูปแบบภาพยนตร์ซีรีส์ จำนวน 6 ตอน เพื่อตีแผ่ประเด็นปัญหาของยาเสพติด สามารถติดตามข้อมูลได้ทางเว็บไซต์และเฟซบุ๊กของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์