เลือกหน้า

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดงานเสวนาสัญจรเกี่ยวกับการส่งเสริมการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ 5 ภูมิภาค ระยะที่ 2 ภายใต้แนวคิด “รู้จัก รู้ใช้ รู้ทัน รู้รอบสื่อ AI” เพื่อการขับเคลื่อนสังคม เสริมสร้างความเข้าใจเรื่องการรู้เท่าทันสื่อและภัยจากปัญญาประดิษฐ์ในสังคมปัจจุบัน  ครั้งที่ 2 จ.ปัตตานี

ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ประธานอนุกรรมการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์  เปิดเผยว่า จากการเสวนาสัญจรเกี่ยวกับการส่งเสริมการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ 5 ภูมิภาค ระยะที่ 1 ในพื้นที่ภาคใต้  พบว่าบริบทของพื้นที่ภาคใต้นั้นการสื่อสารเปลี่ยนไปสู่การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย ในคนทุกกลุ่มวัย ทำให้ผู้ใช้เป็นทั้งผู้รับสื่อและสร้างสื่อไปในคราวเดียวกัน โดยพบปัญหา การถูกหลอกลวงออนไลน์ผ่านกลุ่ม LINE และ Facebook เช่น การหลอกลวงเช่นการถูกหลอกลวงให้ซื้อของที่ไม่มีคุณภาพ สินค้าไม่ตรงปก การถูกเชิญชวนให้ไปเล่นพนันออนไลน์ รวมไปถึงการถูกแฮ็ก ข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือ ตามที่คอลเซ็นเตอร์หลอกลวงในรูปแบบต่าง ๆ  ดังนั้น กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์  มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน มีทักษะในการรู้เท่าทันสื่อและสามารถแยกแยะสื่อที่เป็นประโยชน์จากสื่อที่ไม่เหมาะสมได้เห็นถึงความสำคัญของ AI ที่ได้เข้ามามีบทบาทในการผลิตและเผยแพร่สื่อมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเนื้อหาโดยอัตโนมัติ การคัดกรองข้อมูล หรือแม้แต่การใช้ AI เพื่อสร้างข่าวปลอมและเนื้อหาที่บิดเบือน ความสามารถของ AI ในการเลียนแบบและประมวลผลข้อมูลทำให้การตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลเป็นเรื่องที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น  หลายครั้งเราอาจไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมาจากมนุษย์หรือ AI เป็นผู้สร้าง การรู้เท่าทัน รู้รอบสื่อ AI จึงเป็นความรู้และทักษะที่จำเป็นที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าใจและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลได้ โครงการงานเสวนาสัญจรเกี่ยวกับการส่งเสริมการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ 5 ภูมิภาค ระยะที่ 2 ภายใต้ แนวคิด “รู้จัก รู้ใช้ รู้ทัน รู้รอบสื่อ AI” เพื่อการขับเคลื่อนสังคม เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สื่ออย่างปลอดภัยสร้างสรรค์ และมีความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมทั้งพัฒนากลไกการเฝ้าระวังสื่อ และปรับใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการป้องกันสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างสังคมที่มีภูมิคุ้มกันทางสื่อ และสามารถใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง  โดยเน้นเจาะเรื่องรู้รอบสื่อ AI โดยต้องมีความรอบคอบมากขึ้น พร้อมทำงานเชิงรุก

และยังได้มีการแบ่งตามกลุ่มเป้าหมาย เช่น กลุ่มเด็กเยาวชน กลุ่มผู้สูงอายุ  เพราะปัญหาที่พบมีความแตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องมีการ Workshop เฉพาะกลุ่ม เพื่อนำข้อมูลมาสังเคราะห์ ในการแก้ปัญหาให้มีความแม่นยำ  ท้ายที่สุด จะมีการนำข้อมูลจากการ งานเสวนาสัญจรทั้ง 5 ภูมิภาค มาจัดงานสรุปผลการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ ประจำปี 2568 วันที่ 27 มีนาคมนี้ ว่าในแต่พื้นที่ต้องมีเครื่องมืออะไรบ้างในการแก้ปัญหา โดยจะมีการจัดนิทรรศการ การจัดทำเป็นวารสารสะท้อนข้อมูลในแต่ละพื้นที่ พร้อมทั้งเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาพูดคุยในส่วนที่ตัวเองดูแล

ทั้งนี้กิจกรรมภายในงานเสวนาสัญจรเกี่ยวกับการส่งเสริมการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ 5 ภูมิภาค ระยะที่ 2 ภายใต้แนวคิด “รู้จัก รู้ใช้ รู้ทัน รู้รอบสื่อ AI” เพื่อการขับเคลื่อนสังคม ครั้งที่ 2  เปิดงานด้วยปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “บทบาทและความสำคัญของการส่งเสริมการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ” โดย ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน ประธานอนุกรรมการเกี่ยวกับการเฝ้าระวังสื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ต่อด้วยการอบรมให้ความรู้ในหัวข้อ “Cybercrime Literacy: รู้ทัน AI ปลอดภัยจากมิจฉาชีพออนไลน์” โดย คุณอลิษา ดาโอ๊ะ นักวิจัยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีและตามด้วยกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเวทีระดมความคิดเห็น

สำหรับงานเสวนาสัญจรเกี่ยวกับการส่งเสริมการรู้เท่าทันและเฝ้าระวังสื่อ 5 ภูมิภาค ระยะที่ 2 ภายใต้แนวคิด “รู้จัก รู้ใช้ รู้ทัน รู้รอบสื่อ AI” เพื่อการขับเคลื่อนสังคม กำหนดจัดงานครั้งที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 1 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมเพชรรัชต์การ์เด้น จังหวัดร้อยเอ็ด ครั้งที่ 4 ภาคเหนือ วันที่ 15 มีนาคม 2568 ณ โรงแรมคงการ์เด้นวิวรีสอร์ต จังหวัดเชียงราย ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวทันยุคดิจิทัลอย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เปิดตัวโครงการ New Gen Creators for Kids มุ่งพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตสื่อรุ่นใหม่เพื่อผลิตสื่อสำหรับเด็กเล็ก

กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดตัวโครงการ New Gen Creators for Kids   จัดอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์รุ่นใหม่เพื่อสร้างสรรค์สื่อสำหรับเด็กปฐมวัย เพื่อผลิตสื่อหนังสือและนิทานเสียงสำหรับเด็กปฐมวัย 0-2 ปี ระหว่างวันที่ 8-9 และ 15-16 กุมภาพันธ์ 2568  ณ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์น จตุจักร

การอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้มุ่งพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตสื่อแก่เยาวชน  เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจด้านพัฒนาการการรับรู้ของเด็กปฐมวัย การใช้สื่อที่เหมาะกับช่วงวัย ความรู้ด้านกฎหมายสำหรับคนทำสื่อเพื่อเด็ก การสร้างสรรค์ผลงานนิทาน ทั้งยังเสริมสร้างทักษะการผลิตสื่อสำหรับเด็กเล็กอายุ 0-2 ปี ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ตั้งแต่กระบวนการคิดสร้างสรรค์ การวางแนวเรื่อง การเขียนบท และการใช้เสียงที่เหมาะสมกับเด็กอายุ 0-2 ปี เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถผลิตสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อเสียงได้จริง และวิทยากรที่มาให้ความรู้
ภายในงาน ได้แก่ พญ.ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว (พี่หมอปุ๊ก), คุณธิดา พิทักษ์สินสุข (ครูพี่หวาน), คุณณิชา พีชวณิชย์ (พี่น้ำหวาน), อาจารย์บุญยศิษย์ บุญโพธิ์ (อ.ดิว), คุณวรพรต ก่อเจริญวัฒน์ (พี่โดนัท) ผู้รับทุนโครงการสร้างเด็กดีด้วยนิทาน, ศ.นพ.วีระศักดิ์ ชลไชยะ, แพทย์หญิงปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี, ดร.แพง ชินพงศ์ (พี่แพง) และคุณเรืองศักดิ์  ปิ่นประทีป (พี่ตุ๊บปอง) บรรยากาศการอบรมครั้งนี้เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์

สำหรับโครงการ New Gen Creators for Kids  ได้เสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้เข้าอบรมมีโอกาสยื่นข้อเสนอโครงการ (Pitching) เพื่อขอรับการสนับสนุนการผลิตสื่อหนังสือและผลิตนิทานเสียงสำหรับเด็กปฐมวัย 0-2 ปี จากโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์รุ่นใหม่ เพื่อสร้างสรรค์สื่อสำหรับเด็กปฐมวัย ต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ให้ผู้เข้าอบรมนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาเป็นผลงานจริง  

หรือว่า โลกออนไลน์ จะไม่ต้องการ “ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง”

หรือว่า โลกออนไลน์ จะไม่ต้องการ “ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง” ?

หรือผู้คนในโลกออนไลน์อาจไม่ต้องการ “ข้อเท็จจริง” ?

 ทุกคนต่างอยากเสพข้อมูล-ข้อเท็จจริงที่ “จริง” กันทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องยากมากจนแทบเป็นไปไม่ได้ที่ผู้รับสารจะพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ ที่ปรากฎบนหน้าจอว่ามีความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด

 ยิ่ง algorithm ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเกือบทั้งหมดหันไปเล่นเกมเดียวกัน คือดัน “คลิปสั้น” ในความยาวหลักวินาที สมาธิของผู้รับสารก็ยิ่งสั้นลง ในขณะที่จำนวนคอนเทนต์ที่ถูกฟีดให้ผ่านสายตากลับยิ่งมากขึ้น จนผู้รับแทบจะไม่มีเวลาในการตรวจสอบเลยว่า ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่ผ่านตาไปนั้นมี “ความจริง” มากน้อยเพียงใด

 และอาจมีบางครั้ง ที่สมาชิกชุมชนออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูลที่ “ไม่ถูกต้อง”

 ด้วยเหตุนี้ มืออาชีพระดับสากลในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่เรียกกันว่า fact-checker จึงถือกำเนิดขึ้น อาทิ PolitiFact, FactCheck.org, AFP Fact Check ฯลฯ มีการทำงานร่วมกันกระทั่งรวมตัวกันเป็นเครือข่าย IFCN (The International Fact-Checking Network) โดยร่วมมือกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ในการช่วยตรวจสอบและแจ้งเตือนกรณีที่มีข่าวผิด, ข่าวพลาด หรือข่าวบิดเบือน (mis- dis- และ mal- information) ด้วยหวังจะเป็นข้อมูลให้ผู้อ่านใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะเลือกเชื่อคอนเทนต์นั้น ๆ หรือไม่

 หรือหากเป็นคอนเทนต์ที่น่าจะสร้างความเสียหายร้ายแรง ทางแพลตฟอร์มก็มี “มาตรการ” ตามนโยบายของแต่ละบริษัท เช่น ขึ้นป้ายเตือน ลดการมองเห็น ลบคอนเทนต์ ไปจนถึงแบนแอคเคาต์

 นับสิบปีที่เหล่า fact-checker ทั่วโลกทำงานอย่างขยันขันแข็ง แม้ต้องเผชิญสารพัดความท้าทาย ทั้งความยากในการทำงาน และการหาแหล่งเงินทุนมาเลี้ยงองค์กร

 ต้นปี พ.ศ. 2568 ความท้าทาย “ใหม่” และ “ใหญ่” ก็มาถึงอีกครั้ง เมื่อมาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ประกาศ “เปลี่ยนนโยบาย” ยุติการให้ทุนสนับสนุนองค์กร fact-checker ให้เข้ามาช่วยตรวจสอบคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มของบริษัท ทั้งเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ซึ่งมีการดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 หรือเมื่อกว่าสิบปีก่อน โดยจะหันไปใช้วิธีให้ชุมชนตรวจสอบคอนเทนต์กันเอง ที่เรียกว่า community notes หรือ “หมายเหตุชุมชน” เหมือนอย่างในเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ความเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง เพียงไม่กี่วัน แม้การเปลี่ยนนโยบายดังกล่าว ทาง Meta อ้างว่าจะมีผลแค่ในสหรัฐฯ แต่ใครจะการันตีได้ว่า จะไม่มีการขยายไปยังประเทศอื่นในภายหลัง

 ความเปลี่ยนแปลงนี้ มีผลอย่างไรต่อการทำงาน fact-checker เราไปคุยกับ สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งภาคีโคแฟคประเทศไทย หรือ Cofact Thailand หนึ่งในองค์กร fact-checker ชื่อดังของเมืองไทย

 Fact ที่ 1 – ผลกระทบ หลังเปลี่ยนนโยบาย

 “การเปลี่ยนนโยบายล่าสุดของ Meta มันสั่นสะเทือนมาก เหมือนตัดหางปล่อยวัดองค์กรสื่อมวลชนหรือ fact-checker มืออาชีพ”

คือความเห็นของสุภิญญา ที่มองว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คนที่จะเสียประโยชน์เต็ม ๆ ก็คือ “ผู้บริโภค” เพราะมันควรจะเป็น “2 ระบบ” ควบคู่ไปด้วยกัน คือทั้ง community notes ที่ให้ผู้ใช้บริการหรืออินฟลูเอนเซอร์ช่วยกันเช็ค และมี third party ที่มีมาตรฐานการตรวจสอบ มีระเบียบวิธี (methodology) ที่ชัดเจน เพราะถ้าให้คนทั่วไปเช็คอย่างเดียว มันก็อาจจะกระจัดกระจาย และถ้าให้สื่อฯ เข้ามาช่วยตรวจสอบ เขาก็สามารถไป investigate หรือถามจากผู้เกี่ยวข้องได้ คุณก็จะได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาประกอบการตัดสินใจ

ความเห็นของ สุภิญญามองว่า การเปลี่ยนตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับมาเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เคยฟาดฟันสื่อด้วยข้อกล่าวหาเรื่อง fake news น่าจะเป็นแค่ “ตัวเร่ง” สำหรับการเปลี่ยนนโยบายนี้ของ Meta แต่ไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด เรื่องหลักน่าจะเป็นเพราะภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไป จน Meta ให้ความสำคัญสื่อฯ น้อยลง

เธอเล่าว่า กว่าที่บริษัทโซเชียลมีเดียดัง เช่น Meta หรือ Google จะยอมให้ third party โดยเฉพาะสื่อฯ เข้าไปช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงบนแพลตฟอร์มของบริษัทนั้น ๆ ก็ต้องผ่านการเจรจาต่อรองอยู่นาน จนได้ข้อสรุปที่วินวินทุกฝ่าย และเกิดเป็นดีลร่วมกันเมื่อกว่า 10 ปีก่อน เกิดเป็นเครือข่าย IFCN ขึ้นมา ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างแพลตฟอร์มกับองค์กรซึ่งผันตัวมาเป็น fact checker

“แม้ Meta จะบอกว่า การเปลี่ยนนโยบายนี้จะเริ่มจากสหรัฐฯ เท่านั้น แต่เราก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะขยายไปประเทศอื่น ๆ ด้วยหรือไม่” สุภิญญาแสดงความกังวล

Fact ที่ 2 – ความยาก fact checker

โจทย์ยากของการเป็นองค์กร “ตรวจสอบข้อเท็จจริง” หรือ fact-checker นอกจากการเปลี่ยนนโยบายของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  ยังมีอีก 2 เรื่องใหญ่ ทั้ง 1. ด้านการทำงาน และ 2. ด้านการหาแหล่งทุน

 ผู้ร่วมก่อตั้ง Cofact Thailand องค์กรที่เกิดจากการรวมตัวกันของภาคประชาสังคมเพื่อต่อสู้กับปัญหาข่าวลวง ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 ให้รายละเอียด “ความยาก” ดังกล่าวไว้ดังนี้

 “ด้านการทำงาน ต้องยอมรับว่าเรา fact-check ไม่ทัน และทำได้ไม่ทุกเรื่อง มันต้องใช้เวลาในการหาข้อมูลหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง หรือบางครั้งต้องรอให้ทุกอย่างนิ่งลงก่อน ทำให้มันไม่ทันสถานการณ์ กว่าเราจะสรุปได้เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว”

 แม้จุดแข็งของ Cofact Thailand จะเป็นการทำฐานข้อมูลหลังจาก fact-check แล้ว แต่พอยุคนี้มันต้องแข่งกับเวลาที่คนมักอยากรู้เรื่องนั้นทันทีว่าจริงไหม “พอเราทำไม่ทันเวลา เลยไม่ได้สร้าง impact ใด ๆ” หรือกระทั่งสื่อฯ ที่พยายามทำเรื่อง fact-check เขาก็ทำกันไม่ทัน เพราะแค่งานประจำวันก็ล้นมืออยู่แล้ว

 ส่วนการหาทุน สุภิญญาระบุว่า แหล่งทุนสำหรับเหล่า fact checker มีอยู่อย่างจำกัด เช่น NGO สถานทูตต่างๆ หรือกระทั่งภาครัฐเอง ก็ไม่ได้ให้ทุนมาง่าย ต้องใช้เวลาในการทำความรู้จักคน, ต้องเขียนโครงการให้เป็น, หมั่นเข้าไปชี้แจงข้อสงสัยต่าง ๆ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถือเป็น “อุปสรรค” สำคัญในการเข้าถึงแหล่งทุน

 “อย่าง Cofact Thailand เอง ทำมา 5-6 ปี มันก็ท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากโจทย์เรื่องความยั่งยืน ก็ยังมีเรื่องว่า จะปรับการทำงานอย่างไรให้เกิด impact เพราะต่อให้แหล่งทุนอาจจะไม่ได้หวังกำไร แต่ก็ต้องมี outcome

 สุภิญญาสรุปว่า จากความยากทั้ง 2 ประเด็นข้างต้น ทำให้หลายองค์กรที่อยากทำงานเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงบนโลกออนไลน์ “ตัดสินใจยอมแพ้” จนเราอาจได้ยินชื่อองค์กรที่ทำงานด้วย fact-check ในไทยอยู่ไม่กี่แห่งเท่านั้น

 

Fact ที่ 3 – เชื่อวิจารณญาณผู้อ่าน 100% ได้ไหม

 ตอนที่ประกาศเลิกให้ทุนสนับสนุนองค์กร fact-checker เมื่อต้นปี พ.ศ. 2568 หนึ่งในเหตุผลที่ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta อ้าง คือวิธีการเดิมทำให้เนื้อหาที่ไม่เป็นปัญหา “ถูกเซ็นเซอร์” มากเกินไป จนผู้ใช้บริการคล้ายกับอยู่ใน “คุกเฟซบุ๊ก” การเปลี่ยนนโยบายครั้งนี้ ทำไปเพื่อคืน “เสรีภาพ” ในการสื่อสารและแสดงออก

 การมีผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กระทบต่อเสรีภาพในการสื่อสาร (free speech) จริง ๆ หรือ?

 สุภิญญาอธิบายว่า หน้าที่ของ fact-checker ก็มีแค่แจ้งว่าคอนเทนต์ใดน่าจะมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน ส่วนการดำเนินการใด ๆ เป็นเรื่องของแพลตฟอร์ม ดังนั้นมันจึงไม่ได้กระทบกับ free speech ขนาดนั้น ไม่รวมถึงว่า คนบางกลุ่มมักอ้าง free speech ไปสร้าง hate speech สร้างข้อมูลบิดเบือน ทำให้เกิดความเกลียดชัง หรือกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรง การมีองค์กรมาช่วยกลั่นกรองเนื้อหาบนโลกออนไลน์จึงน่าจะดีกว่าหรือไม่ เพราะหากเกิดความเสียหายขึ้นมันจะกลายเป็น “ไฟลามทุ่ง”

 “การ fact-check ในยุคนี้ แค่ debunk (หาข้อมูลมาโต้แย้งหักล้างภายหลัง) ไม่พอ ต้องไป prebunk (ยกตัวอย่างการให้ข้อมูลผิด ๆ หรือให้ข้อสังเกตล่วงหน้า) เสียด้วยซ้ำ”

 เราถามไปตรง ๆ ว่า มีโอกาสไหมที่ในอนาคต ไม่ต้องมีองค์กรคอยทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้เชื่อใน “วิจารณญาณ” ของผู้อ่านแต่ละคน 100%

 สุภิญญาตอบว่า มันคืออุดมการณ์ของ Cofact Thailand เลย ตามคำขวัญที่ว่า “ทุกคนคือผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง” (Everyone is a fact checker!) ในเชิงหลักการมันก็ต้องกลับไปยังปัจเจก แต่การจะไปถึงจุดนั้นมันเป็นโลกที่ “อุดมคติ” มาก ๆ เพราะต้องยอมรับว่า เราจะปล่อยให้คนเป็นล้านเอาตัวรอด “ด้วยตัวเอง” มันก็คงไม่ไหว เนื่องจากเทคโนโลยีทุกวันนี้มันเข้าถึงตัวเราทุกคนทุกวัน ทุกฝ่ายจึงต้องมาช่วยกัน ทั้งโครงสร้าง นโยบาย แพลตฟอร์ม ไปจนถึงสื่อฯ

 “ไม่มีใครจะช่วยเราทัน เพราะมันเข้าหาเราทุกวินาที เราก็ต้องมีสตินําก่อน แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ยังเป็น utopia ซึ่งทุกฝ่ายต้องช่วยกัน”

 เธอกล่าวปิดท้ายว่า งานในการตรวจสอบข้อเท็จจริง สื่อฯ ที่เชื่อถือได้ หรือ trusted media ก็ยังมีความจำเป็น ซึ่งแพลตฟอร์มก็ต้องปรับ algorithm เพื่อสนับสนุนให้สื่อเหล่านั้นอยู่ได้ ในขณะที่ภาครัฐเองก็ต้องไปแก้ไขเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ไมใช่ผลักภาระทั้งหมดมาที่พลเมือง

 ในการเสพคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ ผู้รับสารต่างต้องการ “ข้อเท็จจริง” กันทั้งนั้น เหล่า “ผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง” หรือ fact-checker จึงจำเป็นแน่ ๆ แต่จะทำอย่างไรให้องค์กรเหล่านี้ยังมี “ความสำคัญอยู่รอดได้” ท่ามกลางสารพัดความเปลี่ยนแปลงอย่างเข้มข้น ทั้งทางทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และเกมการเมืองระดับโลก ..คำตอบยังอยู่ในสายลม  เพราะเรื่องที่หลายคนคิดว่า “สำคัญ” อาจยังไม่ใช่เรื่อง “เร่งด่วน” ที่ผู้มีอำนาจให้ความสนใจ

 

Fact ที่ 4 แต่ละแพลตฟอร์มสู้ข้อมูลเท็จอย่างไรกันบ้าง ?

 วิธีการที่โซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์ม ใช้ในการตรวจสอบ “ข้อเท็จจริง” บนโลกออนไลน์ โดยทั่วไป จะแบ่งได้เป็น 3 แนวทางใหญ่ ๆ กล่าวคือ

 1. ให้ผู้ใช้งานและชุมชนช่วยตรวจสอบ เช่น X (Twitter), Reddit และโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ของ Meta ทั้ง Facebook, Instagram, WhatsApp (เฉพาะในสหรัฐฯ หลัง Meta เปลี่ยนนโยบาย)

 2. ใช้ AI และ Machine Learning มาช่วย เช่น Youtube Tiktok

  1. สนับสนุนให้องค์กรภาคีเครือข่าย หรือ third party ให้เข้ามาช่วย เช่น Google ที่มีโครงการ Google Initaitive, โซเชียลมีเดียต่าง ๆ ของ Meta นอกสหรัฐฯ

สำหรับมาตรการในการสู้กับ “ข้อมูลเท็จ-ข่าวปลอม” จะมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไปตามละนโยบายของแต่ละแพลตฟอร์ม แต่โดยทั่วไปมักใช้การขึ้นป้ายเตือน, ลดการมองเห็น, ลดคอนเทนต์ หรือแบนแอคเคาท์

ถามว่า วิธีการเหล่านี้ได้ผลมากน้อยแค่ไหน? ปัจจุบันมีผลการศึกษาที่ระบุว่า การ fact check ได้ผลในการช่วยลดความเข้าใจผิด (misperception) หรือการกล่าวอ้างแบบผิด ๆ (false claim) ในบางเรื่องได้ [1] [2] แต่ก็มีบางผลการศึกษาที่บอกว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่สร้างความเปลี่ยนแปลงน้อยมากในการต่อสู้กับข้อมูลเท็จ [3] โดยข้อจำกัดสำคัญในการตรวจสอบว่า มาตรการข้างต้นได้ผลมากน้อยแค่ไหน ก็คือการไม่ค่อยยอมแชร์ข้อมูลจากตัวแพลตฟอร์มเอง [4]

 

สำรวจเนื้อหา 6 รายการ ข่าวเย็น-ค่ำ ช่วง 23 ก.ย. – 18 ต.ค. 67 พบ “ข่าวดิไอคอนกรุ๊ป” มีสัดส่วนมากกว่า 20% ขณะที่ “ข่าวน้ำท่วม” พบเพียง 10%

ช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม 67 ถือเป็นช่วงที่มีเหตุการณ์ที่สื่อมวลชนติดตามรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่องหลายเหตุการณ์ ที่สำคัญคือ ประเด็นการฉ้อโกงทั้งกรณีร้านทองแม่ตั๊กฯ กรณีดิไอคอนกรุ๊ป เหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ที่สร้างความรู้สึกสะเทือนใจให้กับสังคม รวมถึงเหตุอุทกภัยทางภาคเหนือและพื้นที่อื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นวงกว้าง

จากการสำรวจสัดส่วนการนำเสนอ 6 ประเด็นข่าวที่สังคมสนใจ จาก 6 รายการข่าวที่ได้รับความนิยมสูง ช่วงวันที่ 23 ก.ย. – 18 ต.ค. 67  พบว่า ข่าวคดีดิไอคอนกรุ๊ป มีสัดส่วนการนำเสนอกว่าร้อยละ 20 ในขณะที่ข่าวอุทกภัยซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบกับประชาชน และอาจมีมูลค่าความเสียหายที่ไม่น้อยไปกว่าคดีดิไอคอนกรุ๊ป กลับมีสัดส่วนการนำเสนอเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น

หน่วยการศึกษา/วิธีการศึกษา

หน่วยการศึกษา 

  1. เลือกรายการข่าวที่ออกอากาศช่วงเย็น-ค่ำ ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ที่มีเวลาออกอากาศวันละ 40 นาทีขึ้นไป
  2. เลือกเฉพาะรายการที่มีเรตติ้งสูงสุดจาก 3 ช่วงชั้น ได้แก่ 1) เรตติ้ง 2 ขึ้นไป 2) เรตติ้ง 1 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 2 และ 3) เรตติ้ง 0.6 ขึ้นไป แต่ไม่ถึง 1 โดยเลือกเฉพาะรายการที่มีเรตติ้งสูงสุดช่วงชั้นละ 3 รายการ จากสถานีที่ไม่ซ้ำกัน โดยอ้างอิงจากรายงานข้อมูลการวัดเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์มเดือนกรกฎาคม 2567 ของ Neilsen [1] ผลคือได้รายการข่าวที่เป็นหน่วยการศึกษาจำนวน 5 รายการ ดังนี้ 1) ไทยรัฐนิวส์โชว์ (ช่อง Thairath TV) 2) เรื่องเด่นเย็นนี้ (ช่อง 3) 3) ทุบโต๊ะข่าว (ช่อง Amarin TV) 4) ลุยชนข่าว (ช่อง 8) 5) เข้มข่าวค่ำ (ช่อง PPTV)
  3. เลือกศึกษารายการข่าวค่ำไทยพีบีเอส จากช่องไทยพีบีเอสที่มีเรตติ้งสูงสุดในกลุ่มโทรทัศน์เพื่อบริการสาธารณะ

จึงทำให้ได้รายการข่าวที่เป็นหน่วยการศึกษาทั้งสิ้น รวม 6 รายการ ได้แก่ 1) ไทยรัฐนิวส์โชว์ (ช่อง Thairath TV) 2) เรื่องเด่นเย็นนี้ (ช่อง 3)  3) ทุบโต๊ะข่าว (ช่อง Amarin TV) 4) ลุยชนข่าว (ช่อง 8) 5) เข้มข่าวค่ำ (ช่อง PPTV) และ 6) ข่าวค่ำไทยพีบีเอส (ช่องไทยพีบีเอส)

วิธีการศึกษา

  1. สำรวจสัดส่วนเวลาการนำเสนอเนื้อหาข่าวใน 6 รายการข่าว จากความยาวของเนื้อหาตามเวลาที่ปรากฎจริง (ชั่วโมง:นาที:วินาที) โดยการแสดงสัดส่วนเป็นร้อยละ
  2. จำแนกสัดส่วนเวลาเนื้อหาที่รายการข่าว 6 รายการนำเสนอ โดยเปรียบเทียบเฉพาะสัดส่วนเวลาของการนำเสนอเนื้อหาในประเด็นข่าวที่ศึกษา ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ศึกษา ได้แก่ 1) อุทกภัยภาคเหนือและพื้นที่อื่น ๆ 2) คดีทองแม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ 3) ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา 4) คดีดิไอคอนกรุ๊ป 5) 20 ปี คดีตากใบ และ 6) ประเด็นข่าวอื่น ๆ นอกเหนือจาก 5 ข่าวที่กำหนดข้างต้น เช่น ข่าวอาชญากรรม ข่าวการเมือง เศรษฐกิจ ข่าวในพระราชสำนัก ฯลฯ

หมายเหตุ:  การศึกษาในครั้งนี้มีข้อจำกัดคือ 1) เป็นเพียงการศึกษาเชิงปริมาณ โดยเปรียบเทียบสัดส่วนเวลาของเนื้อหาข่าวในประเด็นที่กำหนดกับเวลาออกอากาศตามที่ระบุในผังรายการ โดยไม่ได้วัดหรือประเมินการนำเสนอเนื้อหาข่าวในเชิงคุณภาพ 2) การศึกษาในครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์ไฟล์รายการข่าวที่เป็นหน่วยการศึกษาย้อนหลัง ทั้ง 6 รายการ จากสำนักงาน กสทช. แต่จากการตรวจสอบพบว่า รายการทุบโต๊ะข่าว เป็นเพียงรายการเดียวที่มักออกอากาศเกินเวลาที่ระบุในผัง (เวลา 18.55-22.30 น.) ประมาณวันละ 10-15 นาที  โดยเนื้อหาที่ออกอากาศเกินเวลาดังกล่าว จึงไม่ได้ถูกบันทึก และไม่ถูกนับเป็นหน่วยการศึกษาในครั้งนี้

ภาพรวมสัดส่วนประเด็นข่าวที่ศึกษา จาก 6 รายการข่าว ช่วงวันที่ 23 ก.ย. – 18 ต.ค. 67

เมื่อสำรวจเนื้อหาของ 6 รายการข่าวที่ศึกษา ช่วงวันที่ 23 ก.ย. – 18 ต.ค. 67  (20 วันออกอากาศ)  รวมเวลา 307 ชั่วโมง 51 นาที 15 วินาที พบว่า จะสามารถจำแนกเป็นสัดส่วนการนำเสนอประเด็นข่าวที่ศึกษา ดังนี้

คดีดิไอคอนกรุ๊ป มีการรายงานรวม 64 ชั่วโมง 6 นาที 43 วินาที คิดเป็น 20.83% โดยในภาพรวมเป็นการรายงานข่าวเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป ที่ถูกร้องเรียนว่าดำเนินการอย่างผิดกฎหมาย เข้าข่ายเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ โดยการหลอกลวงฉ้อโกงประชาชน ส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งมีดารานักแสดงที่มีชื่อเสียงมีส่วนร่วมในคดีด้วย คดีนี้ถูกพูดถึงหลังจากผู้เสียหายจำนวนมากร้องเรียนไปยังเพจหนึ่งโดยอ้างว่าถูกธุรกิจออนไลน์ชื่อดังหลอกให้ลงทุนธุรกิจขายตรง พร้อมชักชวนให้สั่งซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์อาหารและเสริมความงาม

คดีทองแม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ มีการรายงานรวม 35 ชั่วโมง 29 นาที 30 วินาที คิดเป็น 11.53% ส่วนใหญ่พบว่าเป็นการรายงานข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใสเกี่ยวกับการซื้อขายทองคำของ น.ส.กรกนก หรือแม่ตั๊ก, นายกานต์พล หรือป๋าเบียร์ และบริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด เป็นผู้ต้องหาในคดี ซึ่งเป็นการหลอกลวงผู้บริโภคในการแสดงเปอร์เซนต์ทองไม่ตรงกับที่ขายจริง โดยมีผู้เสียหายมากกว่า 1,000 คน อีกทั้งยังมีบุคคลที่มีชื่อเสียงเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

อุทกภัยภาคเหนือและพื้นที่อื่น ๆ มีการรายงานเป็นเวลา 33 ชั่วโมง 3 นาที 28 วินาที คิดเป็น 10.74% ประเด็นข่าวเกี่ยวข้องกับการรายงานปัญหาสภาพอากาศ และผลกระทบที่เกิดอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือและพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศไทย ซึ่งส่งผลต่อชีวิตประชาชนจำนวนมาก เนื่องจากบ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหาย และรวมไปถึงมีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย

ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา มีการรายงานรวม 25 ชั่วโมง 40 นาที 2 วินาที คิดเป็น 8.34% โดยเป็นการรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเกิดอุบัติเหตุเพลิงไหม้รถบัสนำนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดชัยนาท ที่เดินทางไปทัศนศึกษาแล้วเกิดเพลิงไหม้ขณะเดินทางบนถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้าบริเวณหน้าศูนย์การค้าเซียร์รังสิต ส่งผลให้นักเรียนและครูเสียชีวิตรวม 23 ราย รวมถึงข้อกังวลและการถกเถียงเกี่ยวกับความจำเป็น ความเหมาะสมในการพานักเรียนไปทัศนศึกษา ความปลอดภัยของรถโดยสารที่มีอายุการใช้งานมาแล้วหลายปี ระบบการติดตั้งถังแก๊สและการตรวจสอบของกรมการขนส่ง และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมมาตรฐานของรถรับส่งนักเรียน

20 ปี คดีตากใบ มีการรายงานรวมเพียง 3 ชั่วโมง 21 นาที 16 วินาที คิดเป็น 1.09% โดยเป็นการย้อนรอยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐสลายการชุมนุมหน้า สภ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส จนมีผู้เสียชีวิต 85 คน คดีตากใบจะหมดอายุความในวันที่ 25 ต.ค. 67 ชาวบ้านจำนวน 48 คน จึงตัดสินใจรวมตัวฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมตากใบ ถือเป็นการยื่นฟ้องครั้งสุดท้ายก่อนที่คดีตากใบจะหมดอายุความ โดยยื่นฟ้องไปเมื่อวันที่ 25 เม.ย. 67 ที่ศาลจังหวัดนราธิวาสต่อเจ้าหน้าที่รัฐ 9 คน และเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 67 ศาลพิจารณารับคำฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐ 7 คน

ประเด็นข่าวอื่น ๆ คือ ข่าวอื่นนอกเหนือจาก 5 ข่าวที่กำหนดในการศึกษา มีการนำเสนอรวม 104 ชั่วโมง 27 นาที 55 วินาที คิดเป็น 33.92% ประกอบด้วยการรายงานข่าวการเมือง ข่าวอาชญากรรม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวพยากรณ์อากาศ ข่าวต่างประเทศ ข่าวกีฬา ข่าวเบ็ดเตล็ด ข่าวประชาสัมพันธ์ และข่าวในพระราชสำนัก โดยแต่ละรายการมีการนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ในแต่ละสัปดาห์ ที่ทั้งเหมือนและแตกต่างกัน

เปรียบเทียบสัดส่วนการนำเสนอประเด็นข่าวที่ศึกษาจาก 6 รายการข่าว ช่วงวันที่ 23 ก.ย. – 18 ต.ค. 67

เนื่องจากรายการข่าวที่เลือกศึกษา ทั้ง 6 รายการ มีความยาวของเวลาออกอากาศตามผังรายการที่แตกต่างกัน และอาจมีการออกอากาศที่คลาดเคลื่อนจากเวลาที่ระบุไว้ในผังรายการด้วยเหตุเช่น มีรายการพิเศษ มีการถ่ายทอดสด เป็นต้น จากการสำรวจพบว่า ในช่วงเวลาที่ศึกษา (ระหว่างวันที่ 23 ก.ย. – 18 ต.ค. 67 รวม 20 วันออกอากาศ)  ทั้ง 6 รายการข่าว มีเวลาการออกอากาศรวมทั้งสิ้น เรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้  1) รายการทุบโต๊ะข่าว (AmarinTV) 71 ชั่วโมง 40 นาที  2) รายการลุยชนข่าว (ช่อง8) 65 ชั่วโมง 3) รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ (ThairatTV) 63 ชั่วโมง 26 นาที  35 วินาที 4) รายการเข้มข่าวค่ำ (PPTV) 44 ชั่วโมง 24 นาที 40 วินาที 5) รายการข่าวค่ำไทยพีบีเอส (ThaiPBS)  33 ชั่วโมง 20 นาที  และ 6) รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ (ช่อง3)  30 ชั่วโมง 

เมื่อนำความยาวเวลาการนำเสนอข่าวที่กำหนดของ 6 รายการที่ศึกษามาคำนวณสัดส่วนโดยเปรียบเทียบกับฐานร้อยละของเวลารวมการออกอากาศของ 6 รายการที่ศึกษา พบข้อมูลสัดส่วนที่สะท้อนการให้ความสำคัญในการนำเสนอประเด็นข่าวที่กำหนดในการศึกษาครั้งนี้ ของแต่ละรายการที่ศึกษา

คดีดิไอคอนกรุ๊ป พบว่า รายการลุยชนข่าว เป็นรายการที่มีสัดส่วนการรายงานข่าวคดีดิไอคอนกรุ๊ป สูงสุดคือ คิดเป็น 28.20% รายการเรี่องเด่นเย็น  มีสัดส่วนการนำเสนอ 23.88% รายการทุบโต๊ะข่าว 22.55% รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ 21.11%  รายการข่าวค่ำไทยพีบีเอส  11.85% รายการเข้มข่าวค่ำ มีสัดส่วนการนำเสนอ 11.53%

คดีทองแม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ พบว่า รายการลุยชนข่าว เป็นรายการที่มีสัดส่วนการรายงานข่าวคดีทองแม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ สูงสุง  คิดเป็น 19.32% รายการไทยรัฐนิวส์โชว์  มีสัดส่วนการนำเสนอ 15.63 รายการทุบโต๊ะข่าว 14.25% รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ 8.37% รายการข่าวค่ำไทยพีบีเอส 0.88%  ขณะที่ พบว่า รายการเข้มข่าวค่ำไม่มีการรายงานข่าวคดีทองแม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ ในช่วงวันที่ศึกษา

อุทกภัยภาคเหนือและพื้นที่อื่น ๆ พบว่า รายการข่าวค่ำไทยพีบีเอส มีสัดส่วนการรายงานข่าวดังกล่าวสูงสุด คิดเป็น 19.38% รายการทุบโต๊ะข่าว มีสัดส่วนการนำเสนอ 14.27% รายการลุยชนข่าว 11.98% รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ 8.11% รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ 4.90% รายการเข้มข่าวค่ำ 4.42%

ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษา พบว่า รายการลุยชนข่าว เป็นรายการที่มีสัดส่วนการรายงานข่าวดังกล่าวสูงสุด คิดเป็น 10.27% รายการเรื่องเด่นเย็นนี้  มีสัดส่วนการนำเสนอ 10.19% รายการทุบโต๊ะข่าว 8.85% รายการข่าวค่ำไทยพีบีเอส 8.56% รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ 7.80% รายการเข้มข่าวค่ำ มีสัดส่วนการนำเสนอ 4.03%      

20 ปี คดีตากใบ พบว่า รายการเข้มข่าวค่ำ เป็นรายการที่มีสัดส่วนการรายงานข่าวดังกล่าวสูงสุด คิดเป็น 4.81% รายการข่าวค่ำไทยพีบีเอสมีสัดส่วนการนำเสนอ 2.89% รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ 0.29% รายการเรื่องเด่นเย็นนี้  0.23%  ในขณะที่ พบว่า รายการทุบโต๊ะข่าว และรายการลุยชนข่าว ไม่มีการรายงานข่าวดังกล่าว ในช่วงวันที่ศึกษา

สำหรับ ประเด็นข่าวอื่น ๆ สามารถพบได้ในทุกรายการที่ศึกษา  โดย รายการเข้มข่าวค่ำ เป็นรายการที่มีสัดส่วนการรายงานข่าวดังกล่าวสูงสุด คิดเป็น 56.40% รายการข่าวค่ำไทยพีบีเอส มีสัดส่วนการนำเสนอ 52.01% รายการไทยรัฐนิวส์โชว์ 29.72% รายการทุบโต๊ะข่าว 21.11% รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ 27.13% รายการลุยชนข่าว มีสัดส่วนการนำเสนอ 22.32%

การศึกษาครั้งนี้ เป็นการสำรวจสัดส่วนการนำเสนอประเด็นข่าวที่กำหนด จาก 6 รายการข่าวเย็น-ค่ำ ของสถานีโทรทัศน์ที่เป็นหน่วยการศึกษา ในช่วงวันที่ 23 ก.ย. – 18 ต.ค. 67 อาจสรุปได้ว่า รายการข่าวที่มีเวลาออกอากาศมาก และมีเรตติ้งสูง เช่น ไทยรัฐนิวส์โชว์ (ช่อง Thairath TV) เรื่องเด่นเย็นนี้ (ช่อง 3) ทุบโต๊ะข่าว (ช่อง Amartin TV) และลุยชนข่าว (ช่อง 8) มักมีสัดส่วนการนำเสนอข่าวที่เป็นกระแสหรืออยู่ในความสนใจของสังคม รวมกันแล้ว มากกว่าประเด็นข่าวอื่น ๆ  ดังจะเห็นได้จากการนำเสนอข่าวคดีดิไอคอนกรุ๊ป ที่พบว่า ทั้ง 4 รายการ ให้เวลาการนำเสนอในสัดส่วนสูงกว่า 20%  ของเวลารวมรายการทั้งหมดในช่วงที่ศึกษา ต่างจากรายการข่าวที่มีเรตติ้งน้อยกว่า ได้แก่ เข้มข่าวค่ำ (ช่อง PPTV) และข่าวค่ำไทยพีบีเอส (ช่อง ThaiPBS) ที่มีสัดส่วนการนำเสนอข่างดังกล่าวประมาณ 11% เท่านั้น   เช่นเดียวกับข่าวคดีทองแม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์ ที่พบว่า รายการข่าวค่ำไทยพีบีเอส มีสัดส่วนการนำเสนอค่อนข้างน้อย ในขณะที่เข้มข่าวค่ำ ไม่พบว่ามีการรายงานข่าวดังกล่าว

ขณะที่กลุ่มรายการข่าวที่มีเรตติ้งน้อยกว่า ได้แก่ เข้มข่าวค่ำ  (ช่อง PPTV)  และข่าวค่ำไทยพีบีเอส (ช่อง ThaiPBS)  มักเน้นนำเสนอเนื้อหาและประเด็นข่าวอื่น ๆ ในสัดส่วนที่สูงกว่า 50% โดยมากเป็นข่าวการเมือง เศรษฐกิจ และอื่น ๆ  (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในรายงานฉบับย่อ)  ทั้งยังนำเสนอประเด็นข่าวที่อาจไม่อยู่ในกระแสความสนใจของสังคม เช่น ข่าว 20 ปี คดีตากใบ ในสัดส่วนที่สูงกว่ารายการไทยรัฐนิวส์โชว์ (ช่อง Thairath TV)  เรื่องเด่นเย็นนี้ (ช่อง 3)  ในขณะที่รายการทุบโต๊ะข่าว (ช่อง Amartin TV)  และรายการลุยชนข่าว (ช่อง 8)  ไม่มีการรายงานข่าว 20 ปี คดีตากใบ ในช่วงวันที่ศึกษา

จากการสำรวจยังพบว่า รายการข่าวค่ำไทยพีบีเอส เป็นรายการที่มีสัดส่วนการรายงานข่าวอุทกภัยภาคเหนือและพื้นที่อื่น ๆ สูงสุดที่ 19.38%  และเป็นเพียงรายการเดียวที่มีการรายงานข่าวดังกล่าวต่อเนื่องตลอดทั้ง 20 วันที่ศึกษา  ในขณะที่รายการอื่น ๆ มีการนำเสนอในสัดส่วนที่น้อยกว่า และไม่มีการรายงานอย่างต่อเนื่อง

รายการข่าวค่ำไทยพีบีเอสจึงโดดเด่นในการรายงานข่าวสถานการณ์น้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายการอื่น ๆ ทั้งในแง่จำนวนวันและสัดส่วนเวลาการรายงาน  เช่นเดียวกับข่าว 20 ปีคดีตากใบที่พบว่า มีเพียงรายการข่าวค่ำไทยพีบีเอส และเข้มข่าวค่ำเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับข่าวดังกล่าวมากกว่ารายการอื่น ๆ ที่ศึกษา

ผลการศึกษาข้างต้น สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Media Alert หลายชิ้น ที่พบว่า รายการข่าวทางทีวีดิจิทัล โดยเฉพาะ รายการข่าวที่มีเรตติ้งสูง มักให้พื้นที่การนำเสนอประเด็นข่าวที่อยู่ในกระแสความสนใจของสังคม มีลักษณะเร้าอารมณ์ ในสัดส่วนที่สูงมากกว่าข่าวที่เกี่ยวข้องกับประเด็นสาธารณะ หรืออื่น ๆ ที่อาจมีความสำคัญ แต่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนในสังคมในขณะนั้น ทำให้เนื้อหารายการข่าวส่วนใหญ่ขาดความหลากหลาย ซึ่งถือเป็นความท้าทาย และโจทย์สำคัญ ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดทิศทางเนื้อหารายการข่าวทางทีวีดิจิทัล ในฐานะสื่อระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นในระดับสถานี บรรณาธิการ ภาคธุรกิจที่สนับสนุนรายการข่าว รวมไปถึงองค์กรวิชาชีพ นักวิชาการ และหน่วยงานกำกับดูแล รวมไปถึงกลุ่มขับเคลื่อนเพื่อสิทธิผู้บริโภคสื่อ ในการเรียกร้อง ส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดรายการข่าวที่สามารถเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารให้กับสังคมที่น่าเชื่อถือ สามารถสะท้อนเหตุการณ์สำคัญทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างแท้จริง ด้วยมาตรฐานทางวิชาชีพ จริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สูงกว่าสื่ออื่น ๆ เกิดเป็นรายการข่าวที่มีคุณภาพที่โดดเด่นและแตกต่าง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโลกออนไลน์ที่ใครก็สามารถเป็นสื่อได้ในปัจจุบัน

อ่านรายงานผลการศึกษาฉบับย่อ : 

รมว.สุดาวรรณ” เผยข่าวดี 1 – 31 มี.ค. นี้กองทุนพัฒนาสื่อฯ ดีเดย์เปิดรับข้อเสนอโครงการ กิจกรรมขอรับทุน ปี 68 ส่งเสริมผลิตสื่อรับมือภัยออนไลน์ ส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ ขับเคลื่อน Soft Power เชิญชวนร่วมเสนอโครงการฯ สร้างผู้ผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 1/2568 เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีมติเห็นชอบให้กองทุนพัฒนาสื่อฯ เปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมประจำปี 2568 ซึ่งได้กำหนดประเภทแนวทางลักษณะโครงการหรือกิจกรรมที่จะให้การสนับสนุน ประจำปี 2568 ดังนี้ การให้ทุนประเภทเปิดรับทั่วไป (Open Grant) วงเงินไม่เกิน 90 ล้านบาท มีขอบเขตของโครงการหรือกิจกรรมการสนับสนุนในหัวข้ออิสระ โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายผู้รับสื่อเฉพาะ 4 กลุ่ม ได้เเก่ 1.กลุ่มเด็กและเยาวชน 2.กลุ่มผู้สูงอายุ 3.กลุ่มคนพิการและผู้ด้อยโอกาส 4.กลุ่มประชาชนทั่วไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ รายละเอียดการให้ทุนประเภทเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Grant) วงเงินไม่เกิน 170 ล้านบาท โดยมีขอบเขตของโครงการหรือกิจกรรมสนับสนุนในหัวข้อ 1.พหุวัฒนธรรมและความหลากหลายทางสังคม 2.การผลิตสื่อเพื่อรณรงค์การรับมือภัยออนไลน์ หรือการผลิตสื่อส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อ 3.การสร้างมูลค่าจากประเด็นเชิงวัฒนธรรม (Soft Power) 4.การพัฒนาบทภาพยนตร์เชิงสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมหรือประเพณีท้องถิ่น หรือการท่องเที่ยว หรือภูมิปัญญาไทย หรืออาหารหรือประวัติศาสตร์ หรือการสร้างแรงบันดาลใจ 5.การผลิตละครชุดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการลดความรุนแรงในครอบครัว หรือการลดช่องว่างระหว่างวัย หรือการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว

นอกจากนี้ ยังมีการให้ทุนประเภทความร่วมมือ (Collaborative Grant) วงเงินไม่เกิน 40 ล้านบาท
มีขอบเขตของโครงการหรือกิจกรรมสนับสนุนในหัวข้อ 1.การผลิตสื่อสำหรับเด็กและเยาวชน 2.การพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 3.การพัฒนาศักยภาพวิชาชีพสื่อมวลชนผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 4.กิจกรรมส่งเสริมทักษะให้ความรู้สื่อที่ไม่ปลอดภัยและไม่สร้างสรรค์ 5.กิจกรรมความร่วมมือขององค์กรเพื่อรณรงค์ขับเคลื่อนสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวอีกว่า กองทุนพัฒนาสื่อฯ ได้เปิดรับข้อเสนอโครงการฯ มาต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ซึ่งการเปิดรับข้อเสนอโครงการฯ เพื่อส่งเสริมให้เกิดผู้ผลิตสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และผลการจากเปิดรับข้อเสนอโครงการฯ และสนับสนุนในการผลิตสื่อสร้างสรรค์ เกิดผลงานสื่อสร้างสรรค์ในหลากมิติทั้งสื่อสำหรับเด็กเยาวชน ผู้สูงอายุ ฯ สร้างระบบนิเวศสื่อที่ดีให้กับสังคม ทั้งนี้โครงการและกิจกรรรมที่ได้รับทุนยังมีสื่อที่สร้างการตระหนักรู้ทางเทคโนโลยี เปรียบเสมือนวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันการรู้เท่าทันสื่อให้สอดคล้องและเท่าทันต่อภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สื่อออนไลน์หรือสื่อดิจิทัลมิได้มีอิทธิพลต่อประชาชนอย่างมาก

“ขอเชิญชวนท่านที่สนใจยื่นข้อเสนอโครงการฯ ได้ทาง https://granting.thaimediafund.or.th/ ระหว่าง
วันที่ 1 -31 มีนาคม 2568 ภายในเวลา 16.30 น. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเฟซบุ๊ก กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และโทรศัพท์ หมายเลข 02-273-0116-9 ในวันและเวลาราชการ”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว