เลือกหน้า

เล่าข่าวชาวบ้าน “สินค้าข่าว” ที่ขายได้

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา รูปแบบการนำเสนอข่าวสารทางทีวีดิจิตอลของไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่ผู้ประกาศเน้นการอ่านข่าวอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันได้พัฒนาไปสู่รูปแบบ “เล่าข่าว” หรือ “ขยี้ข่าว” ซึ่งผู้ดำเนินรายการเข้ามามีบทบาทในการแสดงทรรศนะ วิพากษ์วิจารณ์ ควบคู่ไปกับการใช้เทคนิคภาพและเสียงเพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดผู้ชมมากขึ้น ปัจจัยสำคัญเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือแรงกดดันทางธุรกิจ เนื่องจากรายการข่าวกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลหลายแห่ง ทำให้การตัดสินใจเลือกเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอมักให้น้ำหนักกับตัวเลขเรตติงและยอดการรับชมเป็นอันดับแรก ส่งผลให้ข่าวที่ได้รับความสำคัญมักเป็นข่าวอาชญากรรม อุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ดราม่าที่มีความเร้าอารมณ์ ขณะที่ประเด็นเชิงนโยบายหรือเนื้อหาที่ให้ข้อมูลเชิงลึกอาจถูกลดทอนความสำคัญลง แนวโน้มนี้สร้างความกังวลดังที่ปรากฏในงานศึกษาเรื่อง “สังคมได้อะไรจากข่าวโทรทัศน์ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่ทำการวิเคราะห์รายการข่าวภาคค่ำช่องทีวีดิจิตอลในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน พ.ศ.2565 และพบว่ารายการเหล่านี้ส่วนใหญ่จัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาข่าวที่เร้าใจ เช่น อาชญากรรม อุบัติเหตุ และเหตุการณ์ไม่ปกติ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเรตติงมากกว่าการนำเสนอทางออกหรือการถอดคุณค่าและบทเรียนของเหตุการณ์ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพและผลกระทบของข่าวโทรทัศน์ในประเทศไทย

ปรากฏการณ์ “ขยี้ข่าว” ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มักเกี่ยวข้องกับการนำเสนอเรื่องราวของบุคคลธรรมดาหรือกลุ่มเปราะบางในสังคม ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อควรระวัง ในแง่หนึ่งอาจช่วยสะท้อนปัญหาสังคมหรือเป็นช่องทางให้ผู้ได้รับผลกระทบได้ส่งเสียง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็มีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นการตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือแม้กระทั่งการผลิตซ้ำความรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ สถานการณ์เช่นนี้ดูจะขัดแย้งกับบทบาทที่พึงประสงค์ของสื่อมวลชน ในการเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ส่งเสริมการอภิปรายสาธารณะด้วยข้อมูลและเหตุผล ด้วยเหตุนี้ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จึงเล็งเห็นความสำคัญในการศึกษาสถานภาพการนำเสนอข่าวทางทีวีดิจิตอลในปัจจุบัน เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาแนวทางส่งเสริมการผลิตข่าวที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการกำกับดูแลอันจะนำไปสู่ระบบนิเวศสื่อที่ดีขึ้นในอนาคต

 

วิธีการศึกษา

ศึกษาจากผู้ส่งสารคือผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ เนื้อหาคือรายการข่าว และผู้รับสาร ประกอบกัน

การศึกษารายการข่าว:

เลือก ช่องทีวียอดนิยม 10 อันดับแรก (จากเรตติงข้ามแพลตฟอร์ม เดือน ต.ค. 67)

จาก 10 ช่องนั้น เลือกมา ช่องละ 1 รายการข่าวเด่น ที่:

  • คนดูนิยม และมีการเผยแพร่หลายช่องทาง (ออนไลน์)
  • มีความยาวอย่างน้อย 30 นาที

ได้รายการข่าวมาศึกษาทั้งหมด 10 รายการ จำนวน 10 รายการ ดังนี้ รายการสนทนาปัญหาเหตุการณ์ปัจจุบัน คือ ถกไม่เถียง (CH7) โหนกระแส (CH3) รายการเล่าข่าวคือ ข่าวเย็นช่องวัน (ONE) ไทยรัฐนิวส์โชว์ (Thairath TV) ข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ (Workpoint TV) เจาะข่าวเด็ด The Day News Update (MONO 29 TV) ทุบโต๊ะข่าว (Amarin TV HD) ลุยชนข่าว (CH8) และรายการข่าว คือ TNN ข่าวเที่ยง (True4U) และเข้มข่าวค่ำ (PPTV HD)

ช่วงเวลาที่ศึกษา: เก็บข้อมูลรายการข่าวเป็นเวลา 2 สัปดาห์ (26 ธันวาคม 2567 – 8 มกราคม 2568)

การศึกษาผู้ประกอบวิชาชีพสื่อและนักวิชาการ จากการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อข่าวในสื่อทีวีดิจิตอลผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการทางด้านนิเทศศาสตร์/การสื่อสารมวลชน จำนวน 5 คน

การสนทนากลุ่มผู้รับสาร รับชมรายการข่าวทีวีดิจิตอล จำนวน 4 ภูมิภาค คือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ รวมทั้งหมดจำนวน 40 คน

กรอบประเด็นการวิเคราะห์

  1. ประเด็นข่าว รูปแบบ และเทคโนโลยีการนำเสนอข่าว ได้แก่ ประเภทข่าว คุณค่าข่าว องค์ประกอบของข่าวเร้าอารมณ์
  2. ประเด็นทางจริยธรรมจากการนำเสนอข่าว
  3. การกำกับดูแลเนื้อหาและประเด็นเชิงจริยธรรมของการนำเสนอข่าว
  4. การรับรู้ของผู้ชมต่อการนำเสนอข่าวที่มีประเด็นปัญหาด้านจริยธรรมของช่องรายการทีวีดิจิตอล

จากการวิเคราะห์รายการข่าวทีวีดิจิตอล พบว่า:

ข่าวประเภทไหนเยอะสุด? โดยรวมแล้ว ข่าวอาชญากรรม (31.65%) กับ ข่าวชาวบ้าน (31.28%) มีสัดส่วนเยอะพอ ๆ กัน ตามมาด้วยข่าวประเด็นสาธารณะ/สิ่งแวดล้อม/สุขภาพ (ประมาณ 12.58%)

รูปแบบรายการต่างกันไหม?

  • รายการเล่าข่าว เน้น ข่าวชาวบ้านและอาชญากรรม เป็นหลัก
  • รายการข่าวแบบดั้งเดิม (อ่านข่าว) มีข่าวชาวบ้าน/อาชญากรรมน้อยกว่า และมีข่าวหลากหลายประเภทมากกว่า (เช่น ข่าวต่างประเทศ ข่าวการเมือง)
  • ความเชื่อ/โหราศาสตร์ พบเฉพาะในรายการเล่าข่าว/คุยข่าว แต่ไม่พบในรายการข่าวแบบเดิมเลย

ทำไมถึงเลือกข่าวนี้มาเสนอ? รายการส่วนใหญ่มักเลือกข่าวโดยดูจากข่าวที่เป็นข้อมูลวงในหรือเป็นคนเปิดประเด็น ลงพื้นที่เอง (25.12%) ข่าวที่เป็นข่าวร้าย / แง่ลบ (15.12%) ข่าวที่เป็นเรื่องต่อเนื่องหรืออัปเดตจากข่าวเดิม (8.62%) ข่าวความขัดแย้ง (6.06%) ข่าวดราม่า (5.62%) ข่าวคนดัง/คนมีอำนาจ (5.51%) ข่าวจากแหล่งข่าวอื่นหรือที่เป็นกระแสในสื่ออออนไลน์ (5.12%) และข่าวผลกระทบสูง/วงกว้าง (2.83%)

ช่องทางการเผยแพร่ ทุกรายการที่ศึกษาไม่ได้ออกอากาศแค่ในทีวี แต่ยังเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย เช่น Facebook, YouTube, แอปของช่อง ทั้งแบบถ่ายทอดสด, ให้ดูย้อนหลัง, และตัดเป็นคลิปสั้นๆ (ไฮไลต์) บางรายการมีรายการออกต่อเนื่องในออนไลน์โดยเฉพาะ

การวิเคราะห์ความเร้าอารมณ์ในการรายงานข่าว

การวิเคราะห์องค์ประกอบของความเร้าอารมณ์ในการรายงานข่าวจาก 5 ข่าว ที่เป็นกระแสและได้รับความสนใจจากสาธารณชนในช่วงเวลาที่ศึกษา อ้างอิงจากการวิเคราะห์ความถี่ของเนื้อหาที่ปรากฏมากที่สุดในการวิเคราะห์เนื้อหาขั้นที่ 1 ได้แก่ข่าว

  1. แบงค์ เลสเตอร์: “แบงค์ เลสเตอร์” หรือนายธนาคาร คันธี ผู้มีชื่อเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ เป็นที่รู้จักจากเนื้อหาร้องเพลงและขายพวงมาลัยเลี้ยงยาย เสียชีวิตจากการถูกจ้างให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  2. นศ.จีนเข้าคอร์สสอบอบรมอาสาตำรวจ: หลักสูตรอบรม “อาสาตำรวจคนจีน” มีการอ้างถึงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยสยามกับสำนักงานสืบสวนกลาง กองบังคับการนครบาลภาค 3 มีค่าใช้จ่ายต่อหัวคนละ 38,000 บาท โดยหลังจบหลักสูตรมอบประกาศนียบัตร และมอบหมวก เสื้อกั๊ก ป้ายคล้องคอ ซึ่งภายหลังถูกขยายความไปยังหลักสูตรอบรมที่มีความเกี่ยวข้องกับแวดวงทหาร
  3. สส.กัมพูชา: อุกอาจ! ยิง สส.กัมพูชาดับหน้าวัดบวรฯ: คนร้ายขี่รถมอเตอร์ไซค์ประกบยิงอดีตสส.ฝ่ายค้านกัมพูชา สัญชาติฝรั่งเศสเสียชีวิตกลางถนนย่านบางลำพู
  4. Jeju Air: เครื่องบินโดยสารสายการบิน Jeju Air ไถลออกนอกรันเวย์และพุ่งชนกำแพงที่สนามบินนานาชาติมูอัน ชอลลาใต้ เกาหลีใต้
  5. แตงโมตกเรือ: ในปี 2566 “แตงโม” ภัทรธิดา พัชระวีรพงษ์ อดีตนักแสดงชื่อดัง พลัดตกเรือเสียชีวิตในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยศาลจะมีคำพิพากษาตัดสินจำคุกผู้เกี่ยวข้องในคดี 2 คน และได้มีการเยียวยาชดเชยค่าสินไหมทดแทนให้กับมารดาผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจแล้ว โดยในปี 2568 มีการกลับมาให้ความสนใจประเด็นนี้จากความคิดที่จะมีการจำลองเหตุการณ์อีกครั้ง

 

กลยุทธ์ดึงดูดผู้ชม:

การเร้าอารมณ์ในการรายงานข่าวมีการนำเสนอใน 2 มิติ คือ การเร้าอารมณ์ด้านประเด็นและเนื้อหา (Sensationalism) และการเร้าอารมณ์แฝงด้านเทคนิคการผลิต (Embedded Sensationalism) ในภาพรวม สามารถสรุปได้ว่าทุกรายการประกอบสร้างความเร้าอารมณ์จากองค์ประกอบที่สร้างความเร้าอารมณ์มิติด้านเนื้อหาและเสริมแรงด้วยองค์ประกอบในมิติด้านการผลิตสื่อ ยกเว้นรายการข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ ข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ สุดสัปดาห์ (WOKRPOINT TV) และรายการเข้มข่าวค่ำ (PPTV HD) ที่มีคะแนนมิติที่สร้างการเร้าอารมณ์แฝงสูงกว่ามิติด้านเนื้อหา (ดังแสดงในภาพ: Sensationalism)

การเร้าอารมณ์ด้านประเด็นและเนื้อหา ส่วนใหญ่เหตุการณ์นำเสนอประเด็นเร้าอารมณ์ การแสดงประวัติหรือข้อมูลของบุคคลในข่าวค้างจอไว้ตลอดการรายงานข่าว การสัมภาษณ์คนในเหตุการณ์ให้ดูเหมือนเป็นวงใน และใช้ภาพ/ภาพเคลื่อนไหวประกอบการรายงานข่าวที่เร้าอารมณ์ (ดังแสดงในภาพ: การเร้าอารมณ์ด้านประเด็นและเนื้อหา) ประกอบกับการใช้องค์ประกอบการเร้าอารมณ์แฝงด้านเทคนิคการผลิตเข้าช่วยเสริมแรง โดย้ส่วนใหญ่ใช้เทคนิคการตัดต่อ (เช่น การแบ่งจอเป็น 2 จอ ให้เห็นทั้งภาพเหตุการณ์ข่าวและภาพผู้เล่าข่าว และการฉายวนซ้ำ ๆ ภาพเหตุการณ์ข่าวตลอดการเล่าข่าว) รองลงมาคือ การใช้มุมกล้องที่หลากหลายในการรายงานข่าว ภาพแสดงเหตุการณ์จริงแทนสายตาของผู้เห็นเหตุการณ์ (ภาพจากคลิปที่ถ่ายจากมือถือ/กล้องของคนที่อยู่ในเหตุการณ์) ร่วมกับเทคนิคอื่น ๆ ได้แก่ เพลงประกอบ เสียงประกอบ การใช้มุมกล้องระยะใกล้เพื่อสื่ออารมณ์ผู้เกี่ยวข้องในข่าว และการใช้คำ นำเสียงแสดงความรู้สึกของผู้นำเสนอข่าว/ผู้รายงานข่าว/ผู้เล่าข่าว (ดังแสดงในภาพ: การเร้าอารมณ์แฝงด้านเทคนิคการผลิต)

ประเด็นทางด้านจริยธรรมจากการนำเสนอของรายการข่าวช่องทีวีดิจิตอล

การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพในประเด็นทางด้านจริยธรรมจากการนำเสนอของรายการข่าวช่องทีวีดิจิตอล จากข่าวเป็นกระแสและได้รับความสนใจจากสาธารณชนในช่วงเวลาที่ศึกษามาวิเคราะห์เกี่ยวกับคุณลักษณะของการนำเสนอข่าวเชิงเร้าอารมณ์และประเด็นทางจริยธรรมในการนำเสนอข่าว จำนวน 5 ข่าว (แบงค์ เลสเตอร์, นศ.จีนเข้าคอร์สสอบอบรมอาสาตำรวจ, สส.กัมพูชา, Jeju Air, แตงโมตกเรือ)

รายการเล่าข่าวและรายการสนทนาปัญหาเหตุการณ์ปัจจุบันพบประเด็นทางจริยธรรมที่สำคัญจากการนำเสนอข่าวที่พบปรากฏมากที่สุดจากการวิเคราะห์เนื้อหา ดังนี้

  • การนำเสนอข้อมูลในการรายงานข่าวที่กระทบการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล
  • การนำเสนอภาพความรุนแรงที่กระทบกระเทือนจิตใจและการปฏิบัติต่อผู้ถูกกระทำหรือผู้มีความโศกเศร้าอย่างไม่เหมาะสม
  • การนำเสนอในลักษณะตีตรา ละเมิดความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ได้รับผลกระทบ
  • การสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง รวมถึงการยุยงปลุกปั่น สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง
  • ความเที่ยงตรงในการรายงานข่าว
  • การรายงานข่าวเรื่องความเชื่อที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือความงมงาย

การกำกับดูแลและจริยธรรมข่าวทีวีดิจิตอล

จากการพูดคุยกับคนในวงการสื่อ ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการ ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับประเด็นการกำกับดูแลและจริยธรรมของข่าวทีวีดิจิตอล ดังนี้:

  • คุณภาพข่าวโดยรวมลดลง ทั้งในแง่จริยธรรมและประโยชน์ต่อสังคม เพราะการแข่งขันสูงและงบประมาณจำกัด ทำให้สถานีลดการทำข่าวเชิงลึก หันไปใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทำให้เนื้อหาข่าวอาจตื้นขึ้นแม้จะมีปริมาณข่าวเยอะก็ตาม
  • เน้นการนำเสนอมากกว่าเนื้อหา ช่องทีวีส่วนใหญ่มีรายการข่าว แต่เนื้อหาไม่ต่างกันมาก การแข่งขันจึงมุ่งไปที่รูปแบบการนำเสนอ เช่น ใช้กราฟิก ภาพจำลองเหตุการณ์ หรือเน้นตัวผู้เล่าข่าวเป็นจุดขาย มากกว่าจะแข่งกันที่ความลึกหรือความแตกต่างของเนื้อหา
  • เรตติงชี้นำเนื้อหา ข่าวที่ได้รับความนิยมสูง เช่น ข่าวชาวบ้าน ดราม่า อาชญากรรม ถูกเลือกมานำเสนอมากกว่าข่าวการเมืองหรือเศรษฐกิจ เพราะเป็น “ข่าวที่ขายได้” และข่าวที่เป็นกระแสมักถูกนำมาเล่าซ้ำหลายช่วงเวลา
  • รูปแบบ “เล่าข่าว” ทำเส้นแบ่งจริยธรรมเบลอ การเปลี่ยนจาก “อ่านข่าว” มาเป็น “เล่าข่าว/คุยข่าว” ทำให้ผู้ประกาศใส่ความเห็นส่วนตัวหรืออารมณ์ได้ง่าย ทำให้คนดูแยกยากระหว่างข้อเท็จจริงกับความเห็น ซึ่งขัดกับหลักการสื่อที่ควรเน้นข้อเท็จจริง การทำให้ข่าวน่าสนใจไม่จำเป็นต้องใส่ความเห็นส่วนตัวเสมอไป
  • บทบาทใหม่ของสื่อทางเลือก อินฟลูเอนเซอร์ หรือรายการทีวีบางรายการ (เช่น โหนกระแส) กลายเป็นช่องทางสำคัญให้คนทั่วไปร้องเรียนปัญหาความเดือดร้อน ซึ่งสะท้อนปัญหาในสังคมและการบังคับใช้กฎหมาย
  • สื่อไม่ควรเป็น “ศาลเตี้ย” หน้าที่สื่อคือเสนอข้อมูลรอบด้านตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่ตัดสินคนในข่าว การเน้นจับคู่ขัดแย้งมาเผชิญหน้ากันอาจสร้างความสับสนมากกว่าความเข้าใจ
  • มุมมองผู้ผลิต ผู้ผลิตบางส่วนมองว่าเสนอตามข้อมูลที่ได้มา ไม่ได้ชี้นำ และการมี กสทช. ควบคุมก็ทำให้ต้องระมัดระวัง ส่วนเรื่องความสมดุลไม่จำเป็นต้องให้พื้นที่กับทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมสมดุลเพราะบางเหตุการณ์เป็นเรื่องถูกผิดที่สามารถแบ่งแยกเห็นได้ชัดเจน
  • ความรับผิดชอบขยายสู่ออนไลน์ แม้เนื้อหาที่นำไปลงออนไลน์ (เช่น Facebook, YouTube) จะไม่ได้อยู่ใต้การกำกับของ กสทช. โดยตรง แต่สื่อที่ใช้ทรัพยากรสาธารณะ (คลื่นความถี่) ก็ยังคงต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาออนไลน์นั้นด้วย เพราะชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือมาจากช่องทางสาธารณะ
  • อุตสาหกรรมสื่อต้องการการสนับสนุน วงการสื่อกำลังถูก Disrupt จากโลกออนไลน์ การเรียกร้องแค่จริยธรรมอย่างเดียวอาจไม่พอ เพราะสื่อต้องต่อสู้กับโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนไป และ Algorithm ที่มักดันข่าวเร้าอารมณ์ จึงอาจต้องการการสนับสนุนเชิงโครงสร้างการกำกับดูแลระบบสื่อที่เหมาะสมด้วย

 

พฤติกรรมการเปิดรับและทัศนคติของผู้รับชมรายการข่าวทีวีดิจิตอล

จากการพูดคุยกับกลุ่มตัวอย่างผู้รับชมรายการข่าวทีวีดิจิตอล ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจดังนี้:

  • พฤติกรรมการดูข่าว คนที่ดูทีวีส่วนใหญ่ดูตอนเช้าก่อนไปทำงานหรือขณะทำกิจกรรมอื่น เพื่ออัปเดตข่าวสารรอบวัน หากมีเรื่องสนใจจะดูเจาะลึกอีกทีตอนเย็น/ค่ำ แต่คนหันไปดูออนไลน์/โซเชียลเป็นช่องทางหลักของหลายคน ดูผ่าน Facebook, YouTube, TikTok, X เน้นดูคลิปสั้นๆ ตามกระแส หรือเรื่องที่สนใจ เพราะเลือกเวลาดูได้และดูย้อนหลังได้
  • รูปแบบรายการที่ชอบ คนดูชอบดูรายการเล่าข่าว เพราะรูปแบบสนุก เข้าใจง่าย ได้อารมณ์ร่วม ผู้เล่าข่าวทำให้ข่าวน่าสนใจและเข้าใจเหตุการณ์ได้ง่ายขึ้น และคิดว่าข่าวชาวบ้านมีประโยชน์ เปิดรับเพราะรู้สึกใกล้ตัว ได้ประโยชน์เป็นข้อเตือนใจ/ป้องกันภัย
  • มุมมองต่อการนำเสนอ คิดว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันมีการพัฒนาใช้เทคนิคช่วยให้การนำเสนอชัดเจน น่าติดตาม เข้าใจง่ายและมีคุณภาพ นักข่าวมีการลงพื้นที่เก็บข้อมูล สัมภาษณ์คนเกี่ยวข้องในข่าว ทำให้ข่าวดูน่าเชื่อถือ ข่าวเร้าอารมณ์เป็นอีกวิธีการนำเสนอของสื่อที่ดึงดูดความสนใจผู้ชม แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าการขยี้ข่าวให้เวลากับข่าวเดียวนานเกินไป ควรเน้นประเด็นหลัก ไม่ใช่ขยายเรื่องไม่จำเป็นซึ่งอาจสร้างอคติ ส่วนรายการสนทนาปัญหาเหตุการณ์ปัจจุบันมองว่าให้รายละเอียดดี ได้ฟังหลายมุมมอง บางครั้งดูเพื่อความบันเทิง
  • ผลกระทบและข้อกังวลด้านจริยธรรม:
  • ผลกระทบทางอารมณ์: รู้สึกว่าข่าวร้ายๆ หรือข่าวที่เร้าอารมณ์มากๆ ส่งผลต่อความรู้สึก (เครียด, ตื่นเต้น) โดยเฉพาะกับกลุ่มที่จิตใจอ่อนไหว (เช่น เห็นภาพ/เสียง/ภาษาที่รุนแรง)
  • ตระหนักปัญหาจริยธรรม: ผู้ชมส่วนใหญ่ รู้และกังวล เกี่ยวกับประเด็นจริยธรรมหลายอย่าง เช่น:
    • การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนในข่าว
    • การเสนอข่าวอย่างมีอคติ หรือชี้นำให้ตัดสินคนในข่าว
    • ความไม่น่าเชื่อถือของข้อมูล
    • การไม่ให้เกียรติแหล่งข่าว (โดยเฉพาะผู้เสียหาย/ผู้สูญเสีย/ผู้ต้องสงสัย)
    • การขาดการกลั่นกรองเนื้อหา (โดยเฉพาะในรายการสด)
    • การนำเสนอความรุนแรง มักจะกังวลมากขึ้นเมื่อคิดถึงผลกระทบต่อคนในครอบครัว ที่เป็นเด็ก

 

ผลการศึกษาสถานภาพการนำเสนอข่าวทางทีวีดิจิตอลในรอบทศวรรษหลังการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ให้ภาพความเข้าใจที่ชัดเจนถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านรูปแบบ เนื้อหา เทคโนโลยี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นท้าทายเชิงจริยธรรมที่เกิดขึ้นภายใต้บริบทการแข่งขันสูงและแรงกดดันทางธุรกิจ ผลการวิเคราะห์จากงานวิจัยนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นปัญหาทางจริยธรรมที่หลากหลายและซับซ้อน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มพูนความตระหนักรู้ถึงความท้าทายที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ หน่วยงานกำกับดูแล ประชาชนและสังคมโดยรวมกำลังเผชิญอยู่ร่วมกัน จากความเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบัน ช่องว่าง และความท้าทายดังกล่าว ข้อเสนอแนะหลักคือการพัฒนากรอบและกลไกการกำกับดูแลให้มีความเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง สามารถตอบสนองต่อระบบนิเวศสื่อที่เปลี่ยนแปลง และส่งเสริมการยกระดับคุณภาพและจริยธรรมของสื่อให้เท่าทันยุคสมัยพร้อมกับการส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อให้ประชาชนเป็นพลเมืองที่มีความรู้ (Informed Citizen)

เติมคุณภาพเพื่อสู้เกมยาว – หนึ่งในทาง ‘ไปต่อ’ ของสื่อระดับชาติ

เบื่อไหมที่ได้อ่านหรือดูข่าวแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อยู่ทุกวี่วัน มีแต่ดราม่าไวรัล ข่าวกระแส ปัญหาชู้สาวคนดัง อาชญากรรมเลือดสาด ข่าวที่กระตุ้นอารมณ์เราให้พลุ่งพล่าน ต้องรีบหามาเสพเพราะกลัวตกกระแส (FOMO) หรือเร้าความสนใจกระทั่งเราอยากแสดงท่าทีหรือความเห็นอะไรบางอย่างออกไปในโซเชียลฯ

แต่พอเสพข่าวนั้น บางทีจบแล้วก็จบเลย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไร – อย่าว่าคำถามที่ลึกไปกว่าว่า มันให้อะไรกับสังคม

แต่เชื่อหรือไม่ว่า ข่าวแบบนี้แหละที่ได้เอนเกจเมนต์สูงลิบหรือสร้างเรตติ้งดีนักหนา เพราะมันไปตอบโจทย์สัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ โดยเฉพาะเรื่องความอยากรู้อยากเห็น หรือ human interest

องค์กรสื่อเกือบทั้งหมดต่างก็มี ‘ท่ามาตรฐาน ที่รู้กันว่า หากทำข่าวแบบนี้ด้วยวิธีการแบบนี้ จะทำให้ได้ ยอดสูง ๆ ที่จะสามารถนำไปต่อยอดอะไรได้อีกมาก

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราถึงได้เห็นแต่ข่าวบางประเภทวนเวียนปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่า ..แต่น่าแปลกว่า มันกลับได้รับความสนใจอยู่เสมอ

หลายคนอาจคิดว่า ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายเลยสิ สื่อเองก็รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะ ‘มียอด ก็ใช้ท่าเดิม ๆ ซ้ำ ๆ แล้วองค์กรจะอยู่รอดได้ มีเงินมาจ่ายให้พนักงานทุกเดือน

แต่โลกธุรกิจสื่อ มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

ต้นปี 2568 ทีมมีโอกาสได้คุยกับผู้บริหารของสื่อระดับชาติ 2 แห่ง เกี่ยวกับ ทางรอด ของธุรกิจสื่อ ในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงและเศรษฐกิจตกต่ำ ที่หลังจากได้คุยแล้วจึงพบว่า มีบางประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับทางออกของธุรกิจสื่อ ซึ่งไม่ใช่การ ทำยอด อย่างไม่รู้จักจบสิ้น แต่กลับเป็นการเพิ่ม มูลค่า และ คุณภาพ ให้กับข่าวที่นำเสนอ

แม้ทั้งคู่จะถูกมองว่า เป็น ‘สื่อ mass’ ที่แปลว่า จะต้องทำข่าวที่คนจำนวนมากสนใจ ก็ตามที

หนึ่ง – คือทีวีดิจิทัลที่เกิดจากสื่อบันเทิงและต่อยอดขยายไปหลากหลายแพลตฟอร์มอย่าง ช่อง One31

หนึ่ง – คือสื่อชาวบ้านที่อยู่คู่สังคมไทยมายาวนาน ปัจจุบันเป็นอาณาจักรสื่อภายใต้แบรนด์ Thairath

สื่อ mass จะทำข่าวคุณภาพอย่างไร ลองไปติดตามกัน?

 

ความไม่แน่นอน ทีวี-ออนไลน์

จุดร่วมของ 2 สื่อข้างต้น คือมีสื่อหลักในบริษัทเป็น ทีวีดิจิทัล ทำให้ต้องจับผู้ชมกลุ่ม mass ตามธรรมชาติและความคาดหวังของการเป็น โทรทัศน์ระดับชาติ แต่ทั้งคู่ก็ลุยสนามออนไลน์มาพักใหญ่แล้ว

ปัจจุบันทีวีดิจิทัล กำลังเดินไปสู่ ‘ความเสี่ยง เมื่ออายุใบอนุญาตเหลืออยู่เพียง 4 ปี (หมดอายุในปี 2572) แต่ผู้คุมกติกาอย่างคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. กลับยังไม่ออกกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนออกมาว่า จะทำอย่างไรต่อไปกับทีวีดิจิทัล

 

เดียว วรตั้งตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการช่อง One31 ระบุว่า ระยะเวลาที่เหลือมันควรจะเห็นภาพแล้ว แต่ ณ วันนี้ มันยังไม่ชัดเจนเลยว่าจะไปอย่างไรกันต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก เพราะหากไม่มีการวางกรอบกติกาและภูมิทัศน์ที่ชัดเจน ผู้ประกอบการก็ไม่รู้จะวางแผนไปข้างหน้ายังไง ยิ่งวันนี้ มี OTT มาเป็นคู่แข่ง ที่ไม่มีใครกำกับ แถมต้นทุนก็แตกต่างกัน หาก OTT ไม่ถูกกำกับให้อยู่ในกรอบที่ชัดเจน ทีวีต่าง ๆ ก็จะเหนื่อยแน่

“เรื่องทีวีดิจิทัล เราอยากไปต่ออยู่แล้ว แต่ก็ต้องไปในความชัดเจนของกรอบกติกาที่ให้เราสามารถอยู่ได้ในทางธุรกิจ” ผู้บริหารช่อง One31 กล่าว

 

ด้าน จิตสุภา วัชรพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมไทยรัฐทีวีและไทยรัฐออนไลน์ ให้ข้อมูลว่า สำหรับเครือไทยรัฐ ทีวีดิจิทัลก็ยังถือเป็นสื่อทำเงินหลัก (cash cow) ให้กับบริษัท แต่โจทย์ท้าทายก็คือ ใบอนุญาตเหลืออายุแค่ 4 ปี แต่ กสทช. กลับยังไม่มีความชัดเจนเรื่องกติกา แล้วเราก็ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้น สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งเทคโนโลยี ผู้บริโภค สภาพเศรษฐกิจสังคม จะเป็นอย่างไร

คำถามเรื่องจะต่อใบอนุญาตทีวีดิจิทัลไหม เธอบอกว่า ถูกทีมงานถามทุกปี แต่ ณ ตอนนี้ยอมรับว่า “ยังตอบไม่ได้” แม้ในเชิง impact ทีวีจะยังมากอยู่เพราะเข้าถึงคนได้ในวงกว้าง แต่ต้องดูเงื่อนไขก่อนว่าเหมาะสมกับธุรกิจหรือไม่

ด้วยความเป็นสื่อ mass ทำให้หลายคนมองว่า จะต้องเน้น ทำยอด โดยเฉพาะบนออนไลน์ที่ engagement เป็นเรื่องสำคัญ แต่จิตสุภามองว่า สมัยก่อนยอด PV (เพจวิวการคลิกเข้าไปอ่านในเว็บไซต์) มันสำคัญ จนมีศัพท์ภายในว่าต้องพยายาม ปั๊มเพจวิว ให้ได้ตามเป้า แต่พอตัวเลขมันเริ่มลดลงจากปีก่อน คือเทรนด์ไม่ถึงขนาดว่าปักหัว แต่ก็พอทำให้เห็นว่าใช้ ท่าเดิม มันน่าจะไปต่อไม่ได้แล้ว จึงต้องหันไปใช้วิธีการใหม่ ๆ

“เราจะไม่ไปสู้กับ algorithm หรือแพลตฟอร์มให้ยอดมันกลับมาเท่าเดิมแล้ว แต่จะพยายามไปหาของใหม่ เงินใหม่” จิตสุภากล่าว

เป็นที่มาของการต่อยอด ‘จุดแข็ง เดิมของไทยรัฐ โดยเฉพาะเรื่องการ storytelling ทั้งเปิดช่อง Thairath Originals ในยูทูป ไปจนถึงเปิดตัวทีมครีเอทีฟ ซึ่งปลุกปั้นกันภายในมาพักใหญ่ ๆ แล้ว

“เราพยายามจะทำ content ที่ไม่ใช่แค่รายงาน (just report) ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทำให้มันมีคุณภาพมากขึ้น เพื่อที่หากมันเป็น evergreen อายุของมันก็จะได้นานขึ้น แต่ในอีกทางหนึ่ง เราก็รู้สึกว่า ถ้าเราจะทำข่าวในลักษณะแค่รายงานว่าเกิดอะไรขึ้น ในยุคโซเชียลมีเดียที่มีนักข่าวพลเมืองเต็มไปหมด เราก็ไม่ได้อยากจะให้ตัวเองไปอยู่แค่ตรงนั้น จะต้องยกระดับขึ้นมา” ผู้บริหารไทยรัฐรายนี้ระบุ

 

วิธีสู้ของสื่อแมส: เติมคุณภาพ-หาผู้ชมให้เจอ

แม้จิตสุภาจะยอมรับว่า ด้วย DNA ของแบรนด์ ไทยรัฐ อย่างไรก็ต้องนำเสนอข่าว mass แต่การที่ไทยรัฐมีสื่อหลากหลายอยู่ในมือ รวมถึงมี sub-brand (แบรนด์ลูก) มากมาย ทำให้สามารถกำหนด position ไปได้เลยว่า อยากให้สื่อแต่ละประเภทนำเสนอคอนเทนต์แนวไหน เช่น ทีวีกับหนังสือพิมพ์ก็เน้นข่าวแนวสังคมอาชญากรรม จับผู้ชมรากหญ้าหน่อย ส่วนออนไลน์ก็จะคุยกับชนชั้นกลางขึ้นมานิดหนึ่ง เป็นพรีเมียมมากขึ้น

“เราเห็นสัญญาณในแง่ดีว่า หลาย sub-brand ที่แยกออกมา ก็เติบโตและได้รับการตอบรับทั้งจากผู้บริโภคและฝั่งโฆษณา”

ขณะที่เดียว ผู้บริหารช่อง One31 ระบุว่า ความสำเร็จในการผลิตคอนเทนต์ของช่อง คือเจอกลุ่มผู้ชมเป้าหมาย (target audience) ที่อาจจะต่างจากช่องอื่น โดยคนกลุ่มนี้จะมีรสนิยมเฉพาะ ทำให้ไม่ว่าจะในการผลิตละครหรือข่าว ก็จะคิดถึงคนกลุ่มเดียวกัน คือ Bangkok-Urban ซึ่งเป็นชนชั้นกลาง ตั้งแต่ lower- จนถึง upper- middle class

แต่ถึงจะโตมาจากการเป็นสื่อบันเทิง นโยบายข่าวของช่อง One31 ก็ไม่ได้เน้นแค่ความสนุกสนานเฮฮา หรือทำอย่างไรก็ได้ให้เข้าถึงคนในวงกว้างมากที่สุด แต่จะเน้นนำเสนอข่าวที่ให้ คุณค่ากับชีวิต แม้จะไม่ถึงขั้นเป็นเชิงวิชาการแต่ดูแล้วต้องประเทืองปัญญา และทำข่าว ให้เป็นมากกว่าข่าว คือให้มุมมองบางอย่างที่มากไปกว่าเพียงข่าวกระแสรายวัน

นี่คือวิธีคิดหลัก ไม่ว่าจะนำเสนอข่าวนั้นบนทีวีหรือในออนไลน์

“ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราอาจจะรู้สึกว่า ข่าวต้องไปเน้นนำเสนอสิ่งที่คนสนใจ เป็น human interest เยอะ ๆ ลักวิ่งชิงปล้น โอเคว่า ข่าวอาชญากรรมเป็นพื้นฐานที่จะต้องมี แต่ทำอย่างไรให้ตรงความสนใจคนดูที่เป็น community อย่างข่าวลุงพล (ไชย์พล วิภา จำเลยในคดีฆาตกรรมน้องชมพู่) เราก็เล่นน้อยมาก เพราะ community เราไม่ได้สนใจว่าเขาจะกินข้าวอะไร หรือข่าวแสตมป์อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข (นักร้องที่เป็นข่าวใหญ่ช่วงต้นปี 2568 จากกรณีชู้สาว) เราก็ไม่ได้เน้นในเชิงความสัมพันธ์ชู้สาว แต่ไปสรุปข้อเท็จจริงเรื่องคดีแทน”

เดียวบอกว่า การที่เรตติ้งข่าวเย็นของ One31 ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมข่าวอยู่หลายครั้ง ก็ถือว่าตรงนี้เราแข็งแรงมาก เพราะ community เราก็เริ่มชัดเจนว่า ทั้งคนดูข่าวกับละครมันมีทัศนคติ (attitude) แบบเดียวกัน

 

สู้เกมยาวในฐานะ “สื่ออาชีพ” – ปรับตัวให้เร็ว

ในยุคที่ ‘ใคร ๆ ก็เป็นสื่อได้ อย่างแท้จริง มี content creator หรืออินฟลูเอนเซอร์เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด จนเข้ามาแย่งเม็ดเงินโฆษณาที่มีอยู่อย่างจำกัด แล้วสื่อที่ดำเนินงานในลักษณะองค์กรจะสู้กับ เกมธุรกิจ นี้อย่างไร

จิตสุภาเล่าว่า “อันนี้ก็คุยกันเยอะมาก เพราะอินฟลูฯ ต้นทุนต่ำกว่าสำนักข่าว เพราะเขาอยู่คนเดียวหรืออาจจะมีทีมก็เล็ก ๆ ก็คิดกันว่าต้องสู้ ‘เกมยาว หมายถึงเราต้องพยายามรักษามาตรฐานและคุณภาพ as a professional ทั้งในเชิงการเป็นนักข่าวและการ storyteller

“แต่เราก็จะเริ่มเห็นว่า วงการอินฟลูฯ ตอนนี้ก็เริ่มมีการขยับ เช่น ยุบช่องบ้าง หรือจัดสรรทีมใหม่ ให้มีไซส์กระชับขึ้น คือไม่ใช่ว่าอินฟลูฯ ทุกคนจะขายได้ หรือสามารถยืนระยะเป็นดาวค้างฟ้า ขณะเดียวกัน impact ของอินฟลูฯ ก็เริ่มลดลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจเพราะคู่แข่งมากขึ้นด้วย ฉะนั้นวงการอินฟลูฯ ก็เริ่มมีความท้าทายเหมือนกัน จึงคิดว่าในฐานะองค์กรสื่อมืออาชีพ มันก็ยังมีช่องว่างในตลาดที่ไปต่อได้” ผู้บริหารไทยรัฐรายนี้ให้ความเห็น

และถึง ‘เครือไทยรัฐ จะกำเนิดและเติบใหญ่ในฐานะสื่อ แต่ก็เริ่มมีความพยายามสร้างความหลากหลาย (diversify) ทางธุรกิจ ไม่ให้พึ่งพารายได้จากสื่อเพียงอย่างเดียว เช่นที่ทำ Thairath Logistics ให้บริการด้านขนส่ง และกลางปี 2568 ก็อาจจะเปิดตัวธุรกิจใหม่ที่ต่อยอดจากการเป็นสื่อ แม้รายได้จากสื่อจะยังเป็นเส้นเลือดใหญ่ของบริษัท

เดียวก็มองว่า ธุรกิจสื่อปีนี้ โดยเฉพาะทีวีดิจิทัลหนักแน่นอน เพราะพฤติกรรมของผู้ชมเปลี่ยนไป และสภาพเศรษฐกิจโดยรวมก็ไม่ดี ทำให้เม็ดเงินโฆษณาในสื่อน้อยลง เราจึงต้องปรับตัว โดยยังเชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้อยู่รอดได้คือคุณภาพ

“ผู้บริหารช่อง One31 ก็เคยมองเหมือนกันว่า สิ่งที่ทำให้เรามาถึงตรงนี้ได้ คือเรา ปรับตัวเร็ว เพราะมีการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา แล้วทุกอย่างยืดหยุ่น (flexible) มาก จะมีการมอนิเตอร์ข้อมูลแล้วส่งมาให้ผู้บริหารวิเคราะห์ว่า เราจะไปซ้ายหรือขวา จะใส่เกียร์เร่งหรือถอย

“ทุกอย่างมันมี ‘เร็วช้าหนักเบานี่คือคำที่ผู้บริหารช่อง One31 พูดกันอยู่บ่อยๆ จนฝังไปในหัวว่า การทำงานเราก็ต้อง balance เงินก็อยากได้คุณภาพก็ห้ามทิ้ง แต่ถ้ามัวแต่เน้นคุณภาพแต่ไม่ได้เงิน มันก็ทำให้ธุรกิจเดินไม่ได้ ประสบการณ์ต่างๆ ก็ช่วยให้เราแม่นยำมากขึ้น อันนี้ก็สำคัญ” ผู้บริหารช่อง One31 รายนี้กล่าว

ทั้งหมดเป็นตัวอย่างวิธีในการสู้ในธุรกิจสื่อ ที่ทุกวันนี้กลายเป็น red ocean เพราะมีคู่แข่งเกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน จากมุมมองของ 2 ผู้บริหารสื่อใหญ่ ที่หัวใจสำคัญ คือเรื่องของคุณภาพ, ความเป็นมืออาชีพ และการปรับตัว

จาก “อตีตา” ถึง “คุณพี่เจ้าขาฯ” : สำรวจละครแนวข้ามมิติเวลาในทีวีไทย ช่วงปี 2558–2568

จาก “อตีตา” ถึง “คุณพี่เจ้าขาฯ”: สำรวจละครแนวข้ามมิติเวลาในทีวีไทย ช่วงปี 2558–2568 

ที่นี่ที่ไหน?

ฉันเป็นใคร? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

ตอนนี้ พ.ศ. อะไร?

นี่คือคำถามสำคัญที่เรามักได้ยินจากปากตัวละครที่เผลอหลุดข้ามภพ หรือข้ามมิติเวลา ไปยังดินแดน หรือสถานที่ที่ต่างจากมิติปัจจุบัน และเป็นคำถามที่บอกให้คนดูอย่างเรา ๆ รู้ทันทีว่าละครเรื่องนี้จะเล่าไปในทิศทางไหน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ละครแนวข้ามมิติเวลา (Time-Travel Series) ได้รับความนิยมอย่างสูงในวงการโทรทัศน์ไทย ละครแนวนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความบันเทิง แต่ยังสะท้อนจินตนาการด้านประวัติศาสตร์ ความหลงใหลในอดีต และความโรแมนติกที่เชื่อมโยงระหว่างยุคสมัยผ่านมุมมองตัวละคร ตัวอย่างเช่น ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ที่ปลุกกระแสออเจ้าทั่วบ้านทั่วเมือง รวมไปถึง คุณพี่เจ้าขาดิฉันเป็นห่าน มิใช่หงส์ละครแนวข้ามมิติเวลาเรื่องล่าสุดที่กลายเป็นกระแสไวรัลในโลกออนไลน์ โดยถูกพูดถึงทั้งในแง่ความตลก การเล่าเรื่องอาชีพ โสเภณี ที่แอบสอดแทรกมุมมองเรื่องสิทธิสตรีและสิทธิมนุษยชน นับเป็นปรากฎการณ์ในวงการละครทีวีไทยที่น่าจับตา โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีสตรีมมิ่งเข้ามามีบทบาทในการขยายกลุ่มผู้ชมทั้งในและต่างประเทศ

MEDIA ALERT กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จึงสำรวจรูปแบบและลักษณะของละครไทยที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการข้ามมิติเวลาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากปี พ.ศ. 2558 ถึง 2568 โดยพบแง่มุมที่น่าสนใจ ดังนี้

10 ปี มีละครข้ามมิติเวลาไปแล้ว 19 เรื่อง

จากการสำรวจข้อมูลจาก 9 เว็บไซต์ที่รวบรวมละครที่ออกอากาศในปี 2558-2568 ในช่วงเดือนมีนาคม 2568[1] โดยสืบค้นจากคำสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ละครข้ามมิติเวลา ละครย้อนยุค ละครข้ามภพ ละครไทยปี 2558-2568 เป็นต้น จากนั้นจึงสำรวจเนื้อเรื่องย่อละครจากข้อมูลดังกล่าวในแต่ละเรื่อง โดยพบละครที่มีธีมหลักเกี่ยวข้องกับการมีตัวเอกของเรื่องข้ามมิติเวลา จำนวน 19 เรื่อง ดังนี้   

1. อตีตา (2559) : เมืองใจ นักรบแห่งหมู่บ้านบางระจัน ที่ข้ามมิติเวลามาในยุคปัจจุบัน ห้วงมิติเวลาที่ห่างกันสองร้อยปีทำให้พบกับ ศิโรตม์  CEO บริษัทออแกไนซ์ ที่ย้อนมิติเวลาไปอดีตเพื่อช่วยชาวบ้านบางระจันในการทำศึก

2. บ่วงบรรจถรณ์ (2560) : แพรนวลทนความเจ้าชู้ของสามีไม่ได้ จึงหนีไปอยู่บ้านพ่อที่เชียงราย จนได้เจอเตียงไม้โบราณที่ทำให้เธอย้อนกาลเวลาไปอดีตเพื่อเจอชายหนุ่มผู้มีรักแท้และมั่นคงต่อเธอ

3. บุพเพสันนิวาส (2561) : เกศสุรางค์ นักโบราณคดีและเพื่อนสนิทเดินทางกลับจากไปทำงานที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ ทำให้เกศสุรางค์เสียชีวิตคาที่ และย้อนมิติเวลาไปเข้าในร่างของ การะเกด เมื่อ 333 ปีก่อน

4. ขุนปราบดาบข้ามภพ (2561) : ขุนปราบ นักรบแห่งยุคกรุงศรีอยุธยา ที่ข้ามเวลามาพบรักกับหญิงสาวสู้ชีวิตในปี 2561 พร้อมภารกิจตามหาดาบพิชิตชัย เพื่อนำตัวขุนปราบข้ามเวลากลับไปยังยุคกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง

5. ลิขิตแห่งจันทร์ (2562) : โอปอล ผู้หมวดสาวห้าวฝีมือฉกาจแห่งกองปราบปรามต้องพลัดภพไปก่อความชุลมุนในกรุงศรีอยุธยา และ ดวงแก้ว แม่หญิงงามแห่งกรุงศรีอยุธยานางในแห่งวังหลวงที่เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้กลับต้องมาสวมบทผู้หมวดสาวบู๊ห้าวก๋ากั่นปราบโจรยุค 2562

6. เพลิงพรางเทียน (2562) : กลินท์ ระวีรัมภา – ดารานางแบบชื่อดัง ย้อนมิติเวลาไปในร่างของเทียนคำ สาวน้อยล้านนา ที่พร้อมจะเผาผลาญ เอาคืนทุกคนที่ทำร้ายเธอ

7. คดีรักข้ามภพ (2563) : หมวดเขม นายตำรวจที่ตามสืบคดีการตายของเจ้าของร้านอาหารชื่อดัง ซึ่งระหว่างที่เขมชาติสะกดรอยตาม พิชญา หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่กำลังหนี จู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด ทำให้ทั้งคู่ได้ย้อนเวลากลับไปในปี พ.ศ.2456 กลายเป็น เขม สว่างเสนี ลูกชายเศรษฐี และประไพ

8. รักแลกภพ (2563) : พิริยะ ยูทูบเบอร์ที่บังเอิญเจอสมุดบัญชีเงินฝากของบรรพบุรุษที่อาจจะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินได้ ระหว่างนั้นเกิดมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด ทำให้พิริยะได้ย้อนกลับไปในยุคอดีต สมัยรัชกาลที่ 6

9. จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี (2565) : นุชนาฏ ผู้ช่วยเชฟสาวพบว่า ตัวเองมีอาการป่วยเป็นเนื้องอกในสมองทำให้เธอมักจะหมดสติ วันหนึ่งได้หนังสือโบราณเรื่อง อิเหนา ฉบับภาษาเมียนมา มาจากร้านหนังสือ แต่เมื่อเธอลองร่ายรำตามท่วงท่าที่วาดไว้ในหนังสือ เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ ปิ่น บ่าวในเรือนเจ้าฟ้ากุณฑลบนแผ่นดินอังวะ เมื่อ 200 กว่าปีก่อน  

10. เจ้าหญิงหลงยุค (2565) : เจ้าหญิงกรรณิกาเกสร พระธิดาแห่ง เจ้าอ้ายคำตัน เจ้าผู้ครองนครมรกตเกิดหายตัวไปอย่างลึกลับ แต่ขณะเดียวกัน ที่กรุงเทพฯ กลับพบหญิงสาวในชุดไทยโบราณกลางเวทีคณะลิเกเทพเมธา

11. หอมกลิ่นความรัก (2566) : จอม สถาปนิกหนุ่มที่ต้องมาควบคุมการออกแบบและปรับปรุงเรือน เก่าแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ขับรถมาประสบอุบัติเหตุพุ่งชนขอบกั้นสะพานจนเขาตกลงไปใน แม่น้ำปิง เหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นเมื่อจอมโผล่จากน้ำขึ้นมาแล้วพบว่าอยู่ในปี พ.ศ.2470

12. เภตรานฤมิต (2566) : ครีม เขมิอร หญิงสาวนักเรียนนอกที่ชื่นชอบเรือเป็นอย่างมาก ถูกคนทำร้ายเธอ เป็นเวลาเดียวกันที่ปู่อาทิตย์ และคุณหลวงราชมนตรี กำลังสวดมนต์เภตรานฤมิตพอดี ทันใดนั้นร่างของเขมิอรก็ได้ข้ามกาลเวลามาอยู่ในรัชกาลที่ 3

13. หมอหลวง (2566) : บัว อัคริมา นักศึกษาแพทย์จากยุค 5G โดนพายุหอบทะลุมิติข้ามภพ มาโผล่ในหมู่บ้านสำนักดาบบ้านครูหาญที่มีแต่ผู้ชายในรัชกาลที่ 3 ความวุ่นวายจึงตามมา

14. ฤทัยบดี (2566) : มายด์ ปานฤทัย สาวสวยที่รับจ๊อบเป็นช่างแต่งหน้าประจำกองถ่าย ได้เจอกับบุคคลปริศนา ที่พยายามเรียกหาเธออยู่หลายครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่ง เพื่อไขข้อข้องใจ จู่ ๆ ก็มีรถขับตรงมาจนเกือบจะชนเธอ ทันใดนั้นก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ทำให้เธอหายตัวมาอยู่ในบ้านเรือนไทยโบราณ

15. พรหมลิขิต (2566) : พุดตาน สาวน้อยผู้ชื่นชอบการจัดสวน วันหนึ่งระหว่างที่พุดตานกำลังจัดสวนที่ไซต์งานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คนงานขุดพบหีบโบราณลึกลับ เธอตัดสินใจเปิดหีบกล่องนั้น ข้างในมีสมุดข่อยโบราณถูกเก็บไว้ ทันทีที่เธอสัมผัส ก็ทำให้เธอย้อนกลับไปยังกรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา

16. นางทาสหัวทอง (2567) : แพร แม่ค้าออนไลน์ ย้อนอดีตไปเป็นทาสในยุค ร.5 แต่มีมือถือติดไปด้วย ด้วยสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ แพรจึงใช้โทรศัพท์มือถือค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเอาตัวรอด

17. บุหลันมันตรา (2567) : บัวระวง จาก ไฮโซสาวหมื่นล้านสู่ อีบัว ที่ย้อนอดีตมาเป็นไพร่หลวง ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ดึงให้เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์อันน่าระทึกในประวัติศาสตร์ ได้แก่ การลอบปลงพระชนม์มหาอุปราช การทรยศหักหลังในราชวงศ์ และกบฏญี่ปุ่น-ฮอลันดา

18. คุณพี่เจ้าขา ดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์ (2568) : จี๊ด นิทรา นางเอกสาวดาวรุ่งยุคใหม่ ย้อนอดีตมาเป็น บุญตา นางคณิกาน้องใหม่ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ต้องเอาตัวรอดจากการถูกขายตัว และพัวพันกับปริศนาคดีฆาตกรรมลึกลับ

19. จอมใจอโยธยา (2568) : ดร.เพียงรุ้ง สาวรุ่นใหม่ดีกรีนักเรียนนอก กลับไปบ้านของตระกูลที่พระนครศรีอยุธยา ได้พบหนังสือโบราณจากตู้หนังสือของคุณย่า ทำให้เธอย้อนเวลาไปเป็น ยี่โถ นางกำนัลของพระสุพรรณกัลยา และต้องพัวพันกับบุคคลในประวัติศาสตร์ ความวิปโยคแสนสาหัส ความรักความผูกพันข้ามภพข้ามชาติ

 

ผลสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าละครแนวข้ามมิติเวลา เป็นแนวละครที่ผู้ผลิตมักนิยมนำมาสร้างอยู่เสมอ ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในภาพรวม 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยแล้วจะพบว่ามีละครแนวดังกล่าวออกอากาศทางทีวีไทยปีละเกือบ 2 เรื่อง โดยเฉพาะในปี 2566 พบว่ามีละครแนวข้ามมิติเวลามากที่สุดถึง 6 เรื่อง โดยหนึ่งในนั้นคือละครเรื่องพรหมลิขิต ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง และเป็นภาคต่อของละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ที่ออกอากาศในปี 2561

 

[1] สำรวจข้อมูลจาก 9 เว็บไซต์ที่รวบรวมละครที่ออกอากาศในปี 2558-2568 ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ดังนี้

หมวดหมู่:ละครโทรทัศน์ไทยในปี พ.ศ. 2558-2568

10 ละครแนวข้ามภพ ข้ามชาติ ข้ามกาลเวลา

ละครไทยข้ามภพ รวม 7 เรื่องแนวข้ามเวลา หลงยุค ชวนอินชวนจิ้นพร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ !

รวมละครพีเรียดไทย ปี 2567-2568 ละครย้อนยุคฟอร์มยักษ์หลากแนวน่าจับตา

ละครย้อนยุค ละครไทยพีเรียด น่าดูทั้งหมด เรื่องใหม่ สนุกๆ 2568

10 ละครไทยพีเรียด ย้อนยุค อิงประวัติศาสตร์ น่าดูมากๆ

9 เรื่อง โรแมนติกไทย ข้ามภพ ข้ามชาติ โรแมนติกและสนุกมาก

12ละครข้ามภพข้ามชาติหลุดหลงยุค

รวมละครข้ามเวลาทะลุมิติแบบไทยแลนด์ only

ข้ามมิติเวลาไปเป็นใคร อยู่ในร่างใคร ?

จากละครที่มีธีมหลักเกี่ยวกับการข้ามมิติเวลาจำนวน 19 เรื่องดังกล่าว เมื่อพิจารณาเฉพาะตัวละครหลัก หรือคู่พระ-นาง พบว่า มีตัวละครที่สามารถเดินทางข้ามมิติเวลา จำนวน 22 ตัวละคร โดยตัวละครบางในเรื่องนั้นข้ามมิติเวลาไปสวมตัวตนอยู่ในร่างตัวละครที่มีชีวิตอยู่ในยุคก่อนหน้า  เช่น บุญตา จากเรื่องคุณพี่เจ้าขา ดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์ แต่ก็มีตัวละครในบางเรื่องที่ข้ามมิติเวลาไปเป็นตัวเอง (ไม่ได้สวมร่างหรือมีจิตสำนึกอยู่ตัวตนของใคร) เช่น แพรนวล ใน บ่วงบรรจถรณ์ เป็นต้น โดยจากการสำรวจเนื้อเรื่องพบว่า ละครเหล่านี้มักนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการปรับตัวของตัวละครในภาพแวดล้อมและสถานภาพที่เปลี่ยนไป ความท้าทายบทบาททางเพศ และการใช้ความรู้จากยุคใหม่มาประยุกต์ใช้หรือเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในอดีต

ทั้งนี้ จากการสำรวจ 19 เรื่อง พบ ตัวละครที่ข้ามเวลาไปสวมตัวตนเป็นผู้อื่น จำนวน 10 ตัวละคร และตัวละครที่ข้ามเวลาไปเป็นตัวเอง จำนวน 12 ตัวละคร ดังนี้

ตัวละครที่ข้ามมิติเวลาไปสวมตัวตนเป็นผู้อื่น จำนวน 10 ตัวละคร จาก 8 เรื่อง ได้แก่

1. บุพเพสันนิวาส (2561) จำนวน 1 ตัวละคร  : เกศสุรางค์ นักโบราณคดี ข้ามมิติเวลาไปอยู่ในร่างของ แม่หญิงการะเกด

2. ลิขิตแห่งจันทร์ (2562) จำนวน 2 ตัวละคร : โอปอล ผู้หมวดสาวแห่งกองปราบปราม ข้ามมิติเวลาไปอยู่ในร่างของ ดวงแก้ว แม่หญิงงามแห่งกรุงศรีอยุธยานางในแห่งวังหลวง และ ดวงแก้ว ข้ามมิติเวลาไปอยู่ในร่างของ โอปอล

3. เพลิงพรางเทียน (2562) จำนวน 1 ตัวละคร : กลินท์ ระวีรัมภา  ดารานางแบบชื่อดัง ข้ามมิติเวลาไปในร่างของเทียนคำ สาวน้อยล้านนา

4. คดีรักข้ามภพ (2563) จำนวน 2 ตัวละคร : หมวดเขม ร.ต.ท.เขมชาติ ธรรมคุณ ตำรวจ ข้ามมิติเวลาไปในร่างของ เขม สว่างเสนี ลูกชายเศรษฐี และ พิชญา แม่ครัวขนมหวาน ข้ามมิติเวลาไปในร่างของ ประไพ

5. จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี (2565) จำนวน 1 ตัวละคร : นุชนาฏ ผู้ช่วยเชฟ ข้ามมิติเวลาไปในร่างของ นางปิ่น บ่าวในเรือนเจ้า

6. ฤทัยบดี (2566) จำนวน 1 ตัวละคร : มายด์ ปานฤทัย ช่างแต่งหน้าประจำกองถ่าย ข้ามมิติเวลากลับมาเป็นช่อเอื้อง

7. คุณพี่เจ้าขา ดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์ (2568) จำนวน 1 ตัวละคร : จี๊ด นิทรา ดารานักแสดงดาวรุ่ง ข้ามมิติเวลาไปในร่างของ บุญตา นางคณิกาแห่งโรงแม่แฝง

8. จอมใจอโยธยา (2568) จำนวน 1 ตัวละคร : ดร.เพียงรุ้ง ด็อกเตอร์สาวนักเรียนนอก ข้ามมิติเวลาไปในร่างของ ยี่โถ นางกำนัลของพระสุพรรณกัลยา

 

ตัวละครที่ข้ามเวลาไปเป็นตัวเอง จำนวน 12 ตัวละคร จาก 11 เรื่อง ได้แก่

1. อตีตา (2559) จำนวน 2 ตัวละคร : เมืองใจ นักรบบางระจัน และ ศิโรตม์ CEO บริษัทออแกไนซ์

2. บ่วงบรรจถรณ์ (2560) จำนวน 1 ตัวละคร : แพรนวล หญิงสาวที่เรียนจบจากเมืองนอก

3. ขุนปราบดาบข้ามภพ (2561) จำนวน 1 ตัวละคร : ขุนปราบ นักรบแห่งกรุงศรีอยุธยา

4. รักแลกภพ (2563) จำนวน 1 ตัวละคร : พีท พิริยะ ยูทูปเบอร์

5. หอมกลิ่นความรัก (2566) จำนวน 1 ตัวละคร : จอม สถาปนิก

6. เภตรานฤมิต (2566) จำนวน 1 ตัวละคร : ครีม เขมมิอร หญิงสาวที่เรียนจบจากเมืองนอก

7. หมอหลวง (2566) จำนวน 1 ตัวละคร : บัว อัคริมา นักศึกษาแพทย์

8. เจ้าหญิงหลงยุค (2565) จำนวน 1 ตัวละคร : เจ้าหญิงกรรณิกาเกสร พระธิดาเจ้าผู้ครองเมืองมรกต

9. พรหมลิขิต (2566) จำนวน 1 ตัวละคร : พุดตาน นักจัดสวน

10. บุหลันมันตรา (2567) จำนวน 1 ตัวละคร : บัวระวง นักธุรกิจ ไฮโซหมื่นล้าน

11. นางทาสหัวทอง (2567) จำนวน 1 ตัวละคร : แพร แม่ค้าออนไลน์

 

จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่ามีตัวละครที่ข้ามเวลาไปเป็นตัวเอง จำนวน 12 ตัวละคร (จากละคร 11 เรื่อง) และตัวละครที่ข้ามเวลาไปสวมตัวตนอยู่ในร่างตัวละครในยุคนั้น ๆ จำนวน 10 ตัวละคร (จากละคร 8 เรื่อง)

นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าจาก 22 ตัวละครหลัก พบว่า มีตัวละครเพศหญิง ที่สามารถข้ามมิติเวลา มากถึง 17 คน และมีตัวละครเพศชายข้ามเวลามิติเวลา เพียง 5 คน เท่านั้น

การที่หญิงสาวยุคใหม่ได้เข้าไปในอดีตซึ่งมีโครงสร้างอำนาจแบบชายเป็นใหญ่ กลายเป็นพื้นที่ของการต่อรองและตั้งคำถามต่อ “บทบาทหญิงไทยในวัฒนธรรมประวัติศาสตร์” โดยจากงานวิจัยของสุกัญญา ศิริสมบูรณ์ชัย (2562)[1] ระบุว่า ตัวละครนางเอกเป็นตัวละครที่คนดูสนใจ เมื่อเทียบกับตัวละครอื่น อีกทั้งเป็นตัวละครที่ซุกซ่อนอุดมการณ์เอาไว้มากที่สุด ซึ่งนางเอกในละครแนวย้อนเวลามีการสืบทอดอุดมการณ์เดิม เช่น ค่านิยมบูชาความรัก ตามหารักแท้ และค่านิยมผัวเดียวเมียเดียว และได้สร้างอุดมการณ์ใหม่ขึ้นมา เช่น สิทธิความเป็นสตรี ที่ตัวละครนางเอกเกือบทุกตัวต้องเข้าไปต่อสู้เรื่องความเป็นหญิงในอดีต

 

[1] สุกัญญา ศิริสมบูรณ์ชัย (2562) ภาพตัวแทนนางเอกในละครโทรทัศน์แนวย้อนเวลา

จากแฟนตาซี สู่พื้นที่แห่งการเรียนรู้ประวัติศาสตร์

หนึ่งในคุณค่าที่เด่นชัดของละครแนวข้ามมิติเวลาคือ “การทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิต” ผ่านการมองจากสายตาของคนรุ่นปัจจุบัน ทำให้ผู้ชมได้รับความรู้ประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครอง ผสมไปกับอารมณ์ขันและความรักในแบบที่เข้าถึงได้ง่าย โดยผลสำรวจเนื้อหาละครทั้ง 19 เรื่องพบว่า ละครไทยแนวข้ามมิติเวลา พาเราไปรู้จักกับอดีต หรือยุคสมัยที่หลากหลาย ครอบคลุมตั้งแต่ :

  • สมัยกรุงศรีอยุธยา จำนวน 6 เรื่อง ได้แก่

1) บุพเพสันนิวาส ข้ามมิติเวลาไปในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

2) พรหมลิขิต ข้ามมิติเวลาไปในสมัยสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ

3) บุหลันมันตรา ข้ามมิติเวลาไปในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ

4) จอมใจอโยธยา ข้ามมิติเวลาไปในช่วงเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่ง

5) ลิขิตแห่งจันทร์ ข้ามมิติเวลาไปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

6) อตีตา ข้ามมิติเวลาไปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ก่อนเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๒

 

  • สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จำนวน 10 เรื่อง ได้แก่เรื่อง

1) หมอหลวง ข้ามมิติเวลาไปในสมัยรัชกาลที่ 3

2) คุณพี่เจ้าขา ดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์ ข้ามมิติเวลาไปในสมัยรัชกาลที่ 3

3) จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี ข้ามมิติเวลาไปในปีแรกของของกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 1

4) นางทาสหัวทอง ข้ามมิติเวลาไปในสมัยรัชกาลที่ 5

5) รักแลกภพ ข้ามมิติเวลาไปในสมัยรัชกาลที่ 6

6) คดีรักข้ามภพ ข้ามมิติเวลาไปในสมัยรัชกาลที่ 6

7) หอมกลิ่นความรัก ข้ามมิติเวลาไปในสมัยรัชกาลที่ 7

8) บ่วงบรรจถรณ์ ข้ามมิติเวลาไปในสมัยรัชกาลที่ 8

9) เพลิงพรางเทียน ข้ามมิติเวลาไปในสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5

10) เภตรานฤมิต ข้ามมิติเวลาไปในสมัยรัชกาลที่ 3

 

  • สมัยปัจจุบัน จำนวน 2 เรื่อง

1) ขุนปราบดาบข้ามภพ ข้ามมิติเวลามาใน พ.ศ.2561

2) เจ้าหญิงหลงยุค ข้ามมิติเวลามาใน พ.ศ.2565

 

  • สมัยที่ไม่อิงตามประวัติศาสตร์ จำนวน 1 เรื่อง

ฤทัยบดี ข้ามมิติเวลาไปในสมัยประวัติศาสตร์ที่สมมติขึ้น

 

จะเห็นได้ว่าจากละครที่สำรวจ 19 เรื่อง มีละครที่ข้ามมิติเวลาไปยังสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มากที่สุด ถึง 10 เรื่อง สมัยอยุธยา จำนวน 6 เรื่อง  ละครที่ย้อนเวลาจากอดีตข้ามมายุคปัจจุบัน จำนวน 2 เรื่อง  ที่เหลือเป็นละครที่ข้ามมิติเวลาไปยังยุคสมัยที่ไม่อิงตามประวิติศาสตร์จำนวน 1 เรื่อง  

อาจกล่าวได้ว่า ละครโทรทัศน์แนวข้ามมิติเวลา ไม่ว่าจะเป็นจากโลกปัจจุบันข้ามกลับไปหาอดีต หรืออดีตข้ามมายุคปัจจุบัน เปรียบเสมือนชุมชนในจินตนาการที่เป็น “พื้นที่” หรือ “ห้องทดลอง” (โลกเสมือนจริง) ให้กับผู้ชมในการทบทวน โหยหา หรือสร้างประสบการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้น หรือผ่านมาแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงทำไม่ได้[1]  อีกทั้งยังเป็นการเชื่อมให้เห็นความเหมือนและความต่างระหว่างปัจจุบัน และอดีตอีกด้วย

 

[1] สุกัญญา ศิริสมบูรณ์ชัย (2562) ภาพตัวแทนนางเอกในละครโทรทัศน์แนวย้อนเวลา

ข้ามมิติเวลาอย่างไร? อะไรเป็นสื่อกลาง?

จากการสำรวจ จาก 19 เรื่อง 22 ตัวละคร พบว่าวิธีการข้ามมิติเวลาในละครแต่ละเรื่องมีกลไก หรือ “สื่อกลางในการข้ามมิติเวลาที่หลากหลาย ดังนี้

  • ข้ามมิติเวลา โดยมีวัตถุเป็นสื่อกลาง จำนวน 8 เรื่อง ได้แก่

1) บ่วงบรรจถรณ์ : แพรนวล ข้ามมิติเวลาด้วยการนอนบนเตียงไม้

2) นางทาสหัวทอง : แพร ข้ามมิติเวลาด้วยการกดแอพพลิเคชัน เพลาพร้อม ในโทรศัพท์มือถือ

3) รักแลกภพ : พิริยะ ข้ามมิติเวลาผ่านสมุดบัญชีเงินฝาก

4) เจ้าหญิงหลงยุค : เจ้าหญิงกรรณิกาเกสร ข้ามมิติเวลาผ่านเครื่องประดับดอกไม้เหล็ก

5) พรหมลิขิต : พุดตาน ข้ามมิติเวลาด้วยการขุดเจอกล่องที่ใส่คัมภีร์มนต์กฤษณะกาลี

6) เพลิงพรางเทียน : กลินท์ ระวีรัมภา ข้ามมิติเวลาขณะทำการแสดงโดยที่ปักปิ่นกาสะลอง

7) จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี : นุชนาฏ ข้ามมิติเวลาขณะอ่านหนังสืออิเหนาฉบับพม่า และรำตามภาพในหนังสือ

8) จอมใจอโยธยา : ดร.เพียงรุ้ง ข้ามมิติเวลาด้วยการอ่านหนังสือโบราณจอมใจอโยธยา

 

  • ข้ามมิติเวลา โดยมีอุบัติเหตุเป็นสื่อกลาง จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่

1) บุพเพสันนิวาส : เกศสุรางค์ ประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ

2) คดีรักข้ามภพ : หมวดเขม และ พิชญา พลัดตกเรือขณะที่ทะเลาะวิวาทกัน

3) หอมกลิ่นความรัก : จอม ประสบอุบัติเหตุรถชนขอบสะพาน

4) ฤทัยบดี : มายด์ ปานฤทัย ประสบอุบัติเหตุรถชน

5) คุณพี่เจ้าขา ดิฉันเป็นห่านมิใช่หงส์ : จี๊ด นิทรา ประสบอุบัติเหตุเรือพลิกคว่ำ

.

  • ข้ามมิติเวลา โดยมีวัตถุ และปรากฎการณ์ทางธรรมชาติเป็นสื่อกลาง จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่

1) ลิขิตแห่งจันทร์ : โอปอล และ ดวงแก้ว ข้ามมิติเวลาผ่านภาพวาดลึกลับในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง

2) ขุนปราบดาบข้ามภพ : ขุนปราบ ถูกลอบทำร้ายโดนมนต์ดำในวันสุริยุปราคา หายตัวไปปัจจุบันพร้อมดาบ

3) บุหลันมันตรา :  บัวระวง ข้ามมิติเวลาพร้อมสร้อยคอผ่านประตูกาลเวลาที่จะเปิดออกในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ พระจันทร์ และโลกอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน

 

  • ข้ามมิติเวลา โดยปรากฎการณ์ธรรมชาติเป็นสื่อกลาง จำนวน 2 เรื่อง ได้แก่

1) อตีตา : เมืองใจ และ ศิโรตม์ ข้ามมิติเวลาด้วยลมพายุ

2) หมอหลวง : บัว อัคริมา ข้ามมิติเวลาขณะกำลังเปิดระเบียงห้อง และเกิดเหตุฟ้าผ่า

 

  • ข้ามมิติเวลา โดยมีพิธีกรรมเป็นสื่อกลาง จำนวน 1 เรื่อง ได้แก่

เภตรานฤมิตร : ครีม เขมิอร ข้ามมิติเวลาด้วยการสวดมนต์เภตรานฤมิตร

 

จากการสำรวจพบว่าจากละคร 19 เรื่อง พบการข้ามมิติเวลาโดยมีวัตถุเป็นสื่อกลางมากที่สุดถึง 8 เรื่อง  รองลงมาเป็นการข้ามมิติเวลาโดยมีอุบัติเหตุเป็นสื่อกลาง จำนวน 5 เรื่อง  การข้ามมิติเวลาโดยมีทั้งวัตถุและปรากฎการณ์ทางธรรมชาติเป็นสื่อกลาง จำนวน 3 เรื่อง การข้ามมิติเวลาโดยปรากฎการณ์ธรรมชาติเป็นสื่อกลาง จำนวน 2 เรื่อง  และการข้ามมิติเวลา โดยมีพิธีกรรมเป็นสื่อกลาง จำนวน 1 เรื่อง

 

โดยสรุปแล้ว ละครแนวข้ามมิติเวลา ไม่ว่าจะเป็นการย้อนจากปัจจุบันไปอดีต หรืออดีตมาปัจจุบัน เป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่ซับซ้อน เชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ถ่ายทอดค่านิยมร่วม และอาจเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางสังคมที่ช่วยให้ผู้ชม “มองอดีตเพื่อทบทวนปัจจุบัน” ปรากฏการณ์ละครข้ามมิติเวลา ในไทยอาจไม่ใช่เพียงกระแสนิยม แต่เป็นการสะท้อน “ความปรารถนาแบบย้อนกลับ” (Nostalgic Desire) ที่แฝงอยู่ในจิตวิญญาณของสังคมไทย งานวิจัยโดย กัญจน์ดามาศ โกพล (2554)[1] พบว่า “ผู้ชมรู้สึกว่าละครย้อนยุคทำให้เกิดความภาคภูมิใจในรากเหง้าทางวัฒนธรรม” ขณะที่ พัชรี จันทร์ทอง (2562)[2] ชี้ว่าความนิยมในละครย้อนภพนั้นสอดคล้องกับ “ความต้องการเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันเพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่” ขณะเดียวกัน การที่มีตัวละครหญิงเดินทางข้ามมิติเวลามากกว่าชายนั้น ยังเปิดพื้นที่ให้กับการเสนอภาพสตรีที่มี พลังต่อรองสูงขึ้นในอดีต และมีบทบาทในการดำเนินเรื่องมากขึ้น

 

[1] กัญจน์ดามาศ โกพล (2554) บทบาทของละครย้อนยุคที่มีต่อการสืบสานและอนุรักษ์ มรดกวัฒนธรรมไทย

[2] พัชรี จันทร์ทอง (2562) อนุภาค แบบเรื่องและการดัดแปลงละครอิงประวัติศาสตร์ข้ามภพ เรื่อง “ทวิภพ และ บุพเพสันนิวาส

“ปัญญาประดิษฐ์คือเครื่องมือของมนุษย์” สำรวจ 20 ‘สื่อไทย’ ใช้ AI ทำอะไรกันบ้าง

“ปัญญาประดิษฐ์คือเครื่องมือของมนุษย์” สำรวจ 20 ‘สื่อไทย’ ใช้ AI ทำอะไรกันบ้าง

พูดกันมานานว่า การเติบโตขึ้นของ AI จะส่งผลกระทบต่อวงการสื่อไทยอย่างรุนแรง จนอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกจากหน้าเป็นหลังมือ

แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงการ “คาดการณ์” “ประเมิน” หรือพูดคุยกันในวงเสวนาหรือวงสนทนาเท่านั้น ยังเห็นการ “เก็บข้อมูล” ในเรื่องนี้อย่างจริงจังไม่มากนัก

Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ SPRiNG สำรวจการใช้งาน AI ในห้องข่าวของสื่อส่วนกลาง 20 สำนัก ทั้งสำนักข่าวออนไลน์ สถานีโทรทัศน์/ออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์/ออนไลน์ ทั้งจากบุคคลในตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร (บก.บห.) บรรณาธิการข่าว (บก.ข่าว) ไปจนถึงหัวหน้าฝ่ายผลิต หรืออาร์ตไดเรกเตอร์ ในช่วงปลายเดือน เม.ย. 2568 ที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ สื่อไทยกลุ่มตัวอย่าง ‘ทั้ง 100%’ ต่างระบุว่า มีการนำ AI มาใช้งานในห้องข่าวแล้ว ทั้งในด้านคอนเทนต์และโปรดักชั่น

คำถามต่อไปคือ แล้วองค์กรสื่อไทยทั้ง 20 แห่งนี้ ใช้ AI อะไรและอย่างไรกันบ้าง ไปจนถึงว่า พวกเขามีทัศนะอย่างไรต่อการเข้ามาของปัญญาประดิษฐ์ในห้องข่าว

อะไรคือสิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุด ยังเป็นเรื่องการเข้ามาแย่งงานหรือไม่ หรือมีประเด็นอื่นที่น่าเป็นห่วงมากกว่า

สื่อไทยใช้ AI ทำอะไรกันบ้าง

กลุ่มตัวอย่างจากสื่อส่วนกลางไทยที่ตอบแบบสำรวจ ต่างยอมรับว่าใช้ AI เข้ามาช่วยงานในห้องข่าว ทั้งในด้านคอนเทนต์และด้านโปรดักชั่น โดยครึ่งหนึ่งระบุว่า ใช้งาน ‘ถี่มาก’ ในทุกวัน, 30% ระบุว่า ใช้งาน ‘สม่ำเสมอ’ คือ 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ และ 20% ใช้งาน ‘ปานกลาง’ คือ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์

เมื่อถามถึง AI ที่สื่อไทยใช้บ่อย (สามารถเลือกได้หลายข้อ) ผลปรากฏว่า ChatGPT ถูกใช้งานมากที่สุดเป็นสัดส่วน (100%) ตามมาด้วย Gemini (75%), Claude AI (45%), Midjourney (25%), DeepSeek และ Copilot (15% เท่ากัน) ที่เหลือได้แก่ DALL-E, Grok, Notebook LM, Runway เป็นต้น 

ถามว่า สื่อต่าง ๆ ใช้งาน AI สำหรับการทำคอนเทนต์อย่างไรบ้าง

  • 85% หาข้อมูลเบื้องต้น/รวบรวมข้อมูล
  • 70% ช่วยถอดเทป/สรุปความ
  • 55% ช่วยคิดประเด็น
  • 45% เขียนข่าว/บทความ

โดยผู้ที่ตอบแบบสำรวจว่า ใช้ AI ในการเขียนข่าว/บทความ ขยายความว่า เป็นการให้เรียบเรียงข้อมูลที่นักข่าวหามาแล้ว แล้วจะมีคนมาตรวจสอบอีกครั้ง, ช่วยในการพิสูจน์อักษร ตรวจแก้คำพูดและความถูกต้องของไวยากรณ์ เป็นต้น ยังไม่มีสื่อไหนที่ระบุว่า ใช้ AI ช่วยเขียนข่าวหรือบทความตั้งแต่ต้นจนจบทั้งหมด โดยที่ไม่มีมนุษย์เข้าไปอยู่ในกระบวนการ 

ถามว่า แล้วสื่อต่าง ๆ ใช้งาน AI สำหรับงานด้านโปรดักชั่นอย่างไรบ้าง

  • 60% สร้างภาพนิ่ง/ฟุตเทจสำหรับใช้ประกอบข่าว
  • 40% ทำเสียงประกอบ
  • 40% แปลงรูปแบบการนำเสนอ เช่น text-to-speech
  • 35% ช่วยตัดต่อเบื้องต้น

ที่น่าสนใจก็คือ ‘หนึ่งในห้าของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า ยังไม่ใช้งาน AI ในเชิงโปรดักชั่น เพราะอยากรอให้พัฒนามากกว่านี้ก่อน

ขณะที่ 25% ของสื่อส่วนกลางที่ร่วมทำแบบสอบถามเริ่มใช้ ผู้ประกาศข่าว AI’ แต่ก็มีบางสื่อบอกว่ายังไม่ใช้ผู้ประกาศข่าว AI เพราะจากที่ศึกษาข้อมูล เทคโนโลยีในปัจจุบันยังไม่ดีพอ ยังขาดความเป็นธรรมชาติ

“ไม่ใช่เทคโนโลยีแห่งอนาคต..แต่เป็นเครื่องมือของปัจจุบัน”

เมื่อขอให้ช่วยให้คะแนนว่า “คิดว่าในอนาคต AI จะพัฒนาจนเป็นประโยชน์ต่อวงการสื่อไทยมากน้อยแค่ไหน”

 กลุ่มตัวอย่างจากตัวแทนสื่อส่วนกลางไทยให้คะแนนสูงถึง 4.7 คะแนน จากเต็ม 5 คะแนน โดยให้เหตุผลคล้าย ๆ กัน คือ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน, ลดเวลา ลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย, สามารถทำงานพื้นฐานได้เกือบทั้งหมด เพื่อให้นักข่าวมีเวลาไปทำงานเชิงลึกได้มากขึ้น ฯลฯ

 นี่คือความเห็นของผู้ตอบแบบสำรวจนี้บางส่วน

 “AI ไม่ใช่เทคโนโลยีแห่งอนาคต แต่เป็นเครื่องมือแห่งปัจจุบัน ที่เปลี่ยนข้อจำกัดให้กลายเป็นโอกาสใหม่สำหรับวงการสื่อ คำถามสำคัญไม่ใช่ AI จะมาแทนที่เราหรือไม่?’ แต่เป็น เราจะใช้ AI เป็นเครื่องมือเพื่อก้าวกระโดดไปข้างหน้าอย่างไร”

 “สื่อยังควรเป็นสารตั้งต้น และ Gatekeeper ก่อนเผยแพร่เนื้อหาสู่สาธารณชน การใช้ AI คือกระบวนการรวบรวมข้อมูล ย่อยความ สรุปความ ซึ่งท้ายสุด สื่อควรต้องขัดเกลา และตรวจทาน ก่อนเผยแพร่ออกไป”

 “AI เป็นผู้ช่วยในการทำงานเบื้องต้น เพื่อประหยัดเวลาการทำงานและทรัพยากรบุคคล โดยสามารถช่วยในการคิด สร้างสรรค์ และลดต้นทุนการผลิต ลดเวลาในการทำงานและไอเดียใหม่ ๆ”

 “ช่วยในการทำข่าวได้ดีมาก โดยเฉพาะการจับประเด็นของแหล่งข่าว หลายครั้งที่นักข่าวอาจจะฟังแหล่งข่าวพูดไม่ทัน ต้องกลับไปถอดเทป แต่เครื่องมือ AI ยุคใหม่สามารถช่วยปิดปัญหาเหล่านี้ได้ดี ยังช่วยในการคิดและแตกประเด็น รวมไปถึงการหาข้อมูลที่ประหยัดเวลาการทำงานในรูปแบบเดิม ๆ ได้มาก”

“ปัจจุบันแต่ละองค์กรสื่อมีข้อจำกัดเรื่องคน คนน้อย งานเยอะ จึงจำเป็นต้องใช้ AI เข้ามาเป็นผู้ช่วยในการทำงาน” ฯลฯ

จะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่มอง AI ใน ‘แง่บวก’ ในฐานะเครื่องมือหรือผู้ช่วยทำงานด้านต่าง ๆ โดยยังเห็นว่า ในกระบวนการทำงานก็ยังต้องมีมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ดี

 แต่จากประสบการณ์ที่สื่อต่าง ๆ ใช้งาน AI ใช่จะมีแต่ด้านดีเสมอไป

 ‘ความถูกต้อง-ลิขสิทธิ์-แย่งงาน’ ข้อกังวล AI ในห้องข่าว

เพื่อให้เกิดความรอบด้าน เราสอบถามตัวแทนสื่อส่วนกลางทั้ง 20 สำนักเช่นกันว่า แล้วคิดว่า “ในอนาคต AI จะสร้างปัญหาต่อวงการสื่อไทย มากน้อยเพียงใด”

จากเต็ม 5 คะแนน กลุ่มตัวอย่างมีมุมมองที่หลากหลาย ตั้งแต่ 2 – 5 คะแนน โดยให้คะแนนว่า AI อาจจะสร้างปัญหาในอนาคตอยู่ที่เฉลี่ย 3.8 คะแนน

เมื่อขอให้ลงรายละเอียดว่า ปัญหาใดที่หลาย ๆ คนเป็นห่วง

  • 85% ปัญหาความถูกต้องของข้อมูล
  • 80% ปัญหาลิขสิทธิ์และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล
  • 75% การกำกับดูแลการใช้งาน AI
  • 55% การเข้ามาแย่งงานมนุษย์

 

ที่น่าสนใจก็คือ ‘ไม่มีแม้แต่คนเดียว’ ที่คิดว่า การเข้ามามีบทบาทของ AI ในห้องข่าว จะไม่สร้างปัญหาใด ๆ – กล่าวคือทุกคนคิดว่าจะมีปัญหาอะไรในบางด้านตามมาในอนาคตแน่นอน เพียงแค่เรื่องใดเท่านั้น

ทั้งนี้ มีการระบุความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัญหาที่เกิดจาก AI อาจไม่ได้มีแค่ในวงการสื่อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสังคมทั่วไป เช่น การหลอกลวงเอาทรัพย์สิน (สแกมเมอร์) หรือการสวมรอยเพื่อกลั่นแกล้งกัน เป็นต้น

ทั้งหมด คือข้อมูลที่ได้จากการสำรวจความเห็นและประสบการณ์จากตัวแทนสื่อส่วนกลางไทยจาก 20 สำนัก ในเดือน เม.ย. 2568 ที่ต่างยอมรับว่า AI ได้เข้ามามีบทบาทในห้องข่าวทุกสำนักแล้ว (อย่างน้อยก็จากกลุ่มตัวอย่างที่สำรวจ)

แม้ความถี่ – วิธีการ วัตถุประสงค์ในการใช้งาน AI ของแต่ละสื่ออาจมีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป

แต่ก็น่าจับตาว่า หลังจากนี้ บทบาทของปัญญาประดิษฐ์นี้จะมีมากขึ้นหรือไม่ และส่งผลกระทบต่อคนในแวดวงสื่อ ไปจนถึงผู้รับสารอย่างไรกันบ้าง

ศิลปะตายแล้ว? นักสร้างสรรค์คิดอย่างไร เมื่อ AI คืบคลานสู่โลกศิลปะ

ศิลปิน นักวาด คนทำงานสร้างสรรค์ทั้งหลายยังจำเป็นอยู่ไหม?

เชื่อว่าข้างต้นเป็นคำถามของหลายคน เมื่อได้ประจักษ์ถึงความสามารถของ AI ที่ก้าวกระโดด โดยจากยุคที่มนุษย์วาดเขียนด้วยสองมือ สู่เทคโนโลยีกล้องถ่ายรูป

จนในปัจจุบันเราสามารถพิมพ์คำสั่ง (prompt) ลงในกล่องข้อความ เพื่อให้ AI สร้าง (generative) ภาพที่เราต้องการออกมาได้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องมีทักษะการวาดรูปด้วยซ้ำ

 ต้องยอมรับว่าทั้งน่าทึ่ง น่าชื่นชม และน่าหวาดหวั่นไปพร้อมกัน

 แต่ความก้าวหน้าดังกล่าวยังมีเรื่องให้ขบคิดอีกมากนัก ยกตัวอย่าง เทรนด์การเจนภาพสไตล์จิบลิ (Studio Ghibli ผู้สร้างงานอนิเมชั่นชื่อดังของญี่ปุ่น) ที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหลายคนนำภาพตัวเอง, ครอบครัว ตลอดจนศิลปินมาแชร์กันว่อนโลกออนไลน์ในช่วงต้นปี 2568 ทำให้เกิดข้อถกเถียงเป็นวงกว้าง เช่น การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา หรือการเจนภาพที่ขัดกับจุดยืนของศิลปิน เช่น กระทรวงกลาโหมอิสราเอลสร้างภาพทหารในสไตล์จิบลิ

 พูดคุยกับนักสร้างสรรค์ในไทยถึงประเด็นการใช้ AI เจนภาพจิบลิ ความกังวลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ตลอดจนอนาคตของวงการสร้างสรรค์หลังจากนี้

 

ผิดไหมที่เจนภาพจิบลิ? — คุยกับคนทำงานสร้างสรรค์

“ถ้าสมมติว่ามันไม่เกิดขึ้นกับ Studio Ghibli มันคืองานล้อเลียน (parody) นะ ซึ่งผมเชื่อว่าคนทำงานสร้างสรรค์แทบทุกคนต้องการเสรีภาพในการยั่วล้อ” ณขวัญ ศรีอรุโณทัย อาร์ตไดเรกเตอร์ของสื่อออนไลน์ Way และเจ้าของนามปากกา Antizeptic 

“จุดยืนของผมคือ ทุกคนต้องล้อกันได้และเอาทุกสิ่งมาเป็นแรงบันดาลใจได้ แต่ผลประโยชน์ต้องกลับสู่ต้นทางในทางใดทางหนึ่ง ปัญหาของเรื่องนี้คือต้นทางได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งนี้บ้างไหม แต่ที่แน่ ๆ Open AI ได้ประโยชน์จากจำนวนคนที่เข้ามาใช้เพิ่มขึ้น” ณขวัญกล่าว

จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีท่าทีใด ๆ จาก Studio Ghibli ขณะที่ทาง แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ Open AI ออกมาทวีตถึงกรณีนี้หลายครั้ง และหนึ่งในนั้นชี้ว่าทางบริษัทได้ประโยชน์จากผู้เข้าใช้ที่เพิ่มขึ้นหลักล้านคนในเวลาหนึ่งชั่วโมง

ด้าน จินต์ จิรากูลสวัสดิ์ นักวาดและนักทำหน้ากากสไตล์ไซเบอร์พังก์เล่าว่า การวาดรูปสไตล์จิบลิมีมานานแล้วในกลุ่มเฟซบุ๊กแฟนคลับ แต่เพิ่งมาเป็นประเด็นเมื่อมีการให้ AI ทำรูปดังกล่าวขึ้น ในมุมของเขา Studio Ghlbli และผู้ถือหุ้นมีสิทธิออกมาฟ้องร้อง

“ความเห็นส่วนตัว การลอกเลียนสไตล์งานหรือลายเส้น ไม่ได้ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ความคล้ายไม่นับว่าเป็นการละเมิด และจะละเมิดไหม เจ้าทุกข์ต้องไปฟ้องเอาเอง แต่ที่เขายังไม่ทำอะไร เป็นเพราะทาง Studio Ghibli เองก็อาจจะได้ประโยชน์อะไรบางอย่างด้วยหรือเปล่า เช่น สินค้าขายดี” จินต์ตั้งข้อสังเกต 

อย่างไรก็ตาม ในมุมณขวัญการทำซ้ำด้วยมือมนุษย์ไม่เหมือนกับการทำซ้ำด้วย AI โดยเฉพาะในเรื่องคุณค่าของงาน

“ไม่มีใครห้ามคุณวาดหรือทำดิจิทัลอาร์ตสไตล์จิบลิ แต่การ prompt ให้ AI ผลิตงานเหมือนออกมาเป็นร้อยเป็นพันรูป มันคือการทำให้สไตล์นี้เสื่อมคุณค่าไปในตัว กลายเป็นของโหลที่ถูกผลิตจากโรงงาน” ณขวัญกล่าว

ภาระของผู้ถูกขโมยทรัพย์สินทางปัญญา

ไม่ใช่เพียงศิลปินระดับโลกที่กำลังเผชิญความท้าทายเรื่องการถูกขโมยผลงานไปให้ AI เรียนรู้ ศิลปินของไทยก็กำลังเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน

 นักวาดสัญชาติไทยที่ใช้ชื่อ SISIDEA เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่า เธอถูกเพจแห่งหนึ่งนำภาพของเธอไปเป็นต้นแบบให้ AI วาดและนำมาลงไปในเว็บเพจของตัวเอง โดยไม่ได้รับการยินยอมจากเธอ และสิ่งที่เธอทำได้เพียงการรีพอร์ตกับทางเฟซบุ๊กเท่านั้น

 “รู้สึกว่าหมดหวังกับเรื่องลิขสิทธิ์มาก ๆ” คือคำตอบที่เธอพิมพ์กลับมา เมื่อถามถึงความรู้สึกในประเด็นนี้

 noei1984 ศิลปินนักวาดและอาจารย์พิเศษประจำมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยมีประสบการณ์ถูกขโมยผลงานที่วาดลงในเว็บไซต์ออนไลน์ไปทำเป็นลายเสื้อยืดขายใน eBay อีกทั้งเคยตรวจสอบพบว่า งานที่วาดถูกนำไปให้ฝึกฝน AI โดยไม่มีการยินยอม

“งานเราถูกนำไปใช้เทรน AI โดยไม่ได้ยินยอม ซึ่งมันมีภาระที่เราถูกผลักให้แบกรับ เช่น เราจะติดต่อใครเพื่อให้ AI Model ต่าง ๆ ถอนการเรียนรู้งานของเรา? แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาทำหรือไม่ทำ? มันไม่เหมือนการปกป้องสิทธิระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ พอเป็นมนุษย์กับ AI เรากลับไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย”

“ความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้โกรธเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความตั้งใจและความรู้สึกที่เราทุ่มในงานเหมือนไม่มีความหมาย (แม้จะเป็นแค่งานวาดเล่นด้วยความชอบเฉย ๆ) นอกจากเสียโอกาสทางอาชีพแล้ว มันกระทบความมั่นใจด้วยเหมือนกัน เพราะทำให้เราต้องระวังตัวเองมากขึ้น และ เสียเวลาปกป้องสิทธิ์ตัวเองในทางกฎหมาย ทั้งที่เวลาเหล่านั้นควรเอาไปสร้างงานใหม่มากกว่า” noei1984 ตอบ

สำหรับเธอ สไตล์ของศิลปินเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ที่เป็นส่วนตัวมาก ๆ ของศิลปิน ดังนั้น มันควรได้รับการปกป้องมากกว่าแค่ลิขสิทธิ์ แต่ควรอยู่ในฐานะสิทธิบัตรจนกว่าศิลปินคนนั้นจะเสียชีวิต

“การถูกนำผลงานเป็นข้อมูลฝึกให้โมเดล AI ไม่ต่างกับการที่วิศวกรรถยนต์แอบเอาเครื่องยนต์เราไปถอดแล้วนำไปขายพร้อมกับรถยี่ห้ออื่น มันคือการเอา ‘สมอง’ และ ‘สไตล์’ ของศิลปินไปใช้โดยไม่รับผิดชอบ” noei1984 สะท้อน

ออกแบบเกมใหม่ด้วยจริยธรรม AI

แม้จะมีมุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ศิลปินทั้ง 3 คน (จินต์, SISIDEA และ noei1984) ต่างเห็นตรงกันว่า AI เป็นเครื่องมือที่เข้ามายกระดับวงการมากกว่าเข้ามาทำให้ถดถอย แต่คำถามคือเราจะสร้างระบบที่คนทำงานและ AI พัฒนาขึ้นไปพร้อมกันได้อย่างไร?

noei1984 เสนอว่าควรมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่ชัดเจนในการใช้ AI เช่น การใช้ในเชิงพาณิชย์ต้องเคารพสิทธิของศิลปิน ระบุแหล่งที่มาและแยกให้ชัดว่าอันไหนคืองานมนุษย์หรือ AI ผ่านมาตรการทั้งหมด 3 ข้อ

  • กรอบกฎหมายและนโยบายสนับสนุน ที่กำหนดหลักการ human authorship ในกฎหมายลิขสิทธิ์ให้ชัดเจน
  • บังคับใช้มาตรการคุ้มครองการดึงข้อมูลผลงาน ของศิลปินโดยไม่เป็นธรรม และทำให้ระบบมีความโปร่งใส ผู้ใช้ AI ต้องระบุที่มาของเนื้อหา
  • ส่งเสริมการใช้ HITL (human-in-the-loop) ในการตรวจสอบและปรับแก้ output ของ AI พร้อมกับพัฒนาศักยภาพและการอบรมมนุษย์

 

และในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัย noei1984 มุ่งสอนให้นักศึกษาเปิดรับ AI เพื่อเอาตัวรอด แต่ต้องรักษาตัวตนและเสียงของตัวเองเอาไว้ โดยที่ไม่ลืมคุณค่าของความเป็นมนุษย์และจริยธรรมในการใช้ AI ช่วยทำงาน

“คนที่ยังทำงานสร้างสรรค์ในยุค AI ได้ จะต้องไม่ใช่แค่ ‘ผลิตงาน’ แต่ต้อง ‘สร้างคุณค่า’ ได้จริง ต้องเข้าใจว่าคนต้องการอะไรที่เครื่องจักรให้ไม่ได้ เช่น ความรู้สึก ความจริงใจ การสื่อสารที่มีชีวิต งานเล่าเรื่องแบบที่ ‘ชีวิตคนคนหนึ่ง’ เท่านั้นจะถ่ายทอดได้ เรามองว่าในอนาคตมันจะเป็นยุคของศิลปินที่มีรากฐานลึกในตัวเอง ไม่ใช่แค่ทำงานให้ไวหรือให้เยอะ” noei1984 กล่าว

คนที่ยังทำงานสร้างสรรค์ในยุค AI ได้ จะต้องไม่ใช่แค่ ‘ผลิตงาน’ แต่ต้อง ‘สร้างคุณค่า’ ได้จริง ต้องเข้าใจว่าคนต้องการอะไรที่เครื่องจักรให้ไม่ได้

ศิลปะตายแล้ว? คนทำงานสร้างสรรค์ในโลกยุค AI

ศิลปิน นักวาดภาพประกอบ นักวาดการ์ตูนล้อเลียน อาชีพเหล่านี้จะหายไปไหมในยุค AI?

“คนที่อยู่ต้นน้ำหรือคนที่สร้างไอเดียน่าจะยังไม่เป็นอะไร แต่คนที่อยู่กลางน้ำจะได้รับผลจาก AI เยอะ” ณขวัญกล่าวถึงผลกระทบในระยะสั้นของ AI ต่อคนทำงานสร้างสรรค์

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงโลกการทำงานของคนครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น แพลตฟอร์มขายภาพก็เข้ามาแทนงานส่วนหนึ่งของช่างภาพ ระบบเสิร์ชเอนจินก็เข้ามาทำงานแทนงานบางส่วนของบรรณารักษ์

“คนทำงานต้องไปทำงานอย่างอื่น คนต้องทำอะไรที่ซับซ้อนขึ้นอีกระดับไปเรื่อยๆ” เขากล่าวเพิ่มเติม “มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเจ้าของเงินย่อมจะต้องเลือกสิ่งที่คุ้มค่าในแง่การลงทุนมากที่สุด”

อย่างไรก็ดี มีมุมมองที่น่าสนใจจาก เจสัน อัลเลน เจ้าของผลงาน Théâtre D’opéra Spatial ศิลปะจาก AI ที่ชนะงานประกวด Colorado State Fair ในสาขาดิจิทัลอาร์ตเมื่อปี 2565 เขาตอบคำถามเรื่อง AI กับศิลปะไว้กับสำนักข่าวนิวยอร์กไทม์ว่า

“ศิลปะมันตายแล้วเพื่อน มันจบแล้ว AI คือผู้ชนะและมนุษย์คือผู้พ่ายแพ้” อัลเลนกล่าว

แม้หลายคนจะมองว่า AI ในอนาคตน่าจะเฟื่องฟูและถูกใช้ในวงกว้างมากขึ้น แต่สำหรับณขวัญกลับคิดต่าง โดยเห็นว่าทรัพยากรที่ AI ต้องใช้โดยเฉพาเรื่องพลังงาน อาจทำให้ยิ่งมันพัฒนามากขึ้น จะยิ่งถูกใช้ในวงจำกัด

“ผมไม่คิดว่าการที่ใครก็สามารถใช้ AI ได้มันจะยั่งยืนในทางเศรษฐกิจ ผมคิดว่ามันอาจถอยกลับมาอยู่ในจุดที่เราใช้มันเฉพาะเรื่องที่จำเป็นจริงๆ เช่น สถาปนิกหรือนักออกแบบภายในใช้เพื่อทำงานจริงๆ” ณขวัญคาดการณ์

ถึงแม้ยังไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ  AI เดินทางมาถึงแล้ว มันกำลังเปลี่ยนวงการสร้างสรรค์จากหน้ามือเป็นหลังมือ และไม่มีใครหยุดมันได้

เราจะหาสมดุลในการใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้อย่างไร ทั้งในมุมของเรื่องลิขสิทธิ์ ความคิดสร้างสรรค์ ประโยชน์ต่อผู้สร้างงาน ประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม ฯลฯ ยังเป็นคำถามที่น่าจะถกเถียงกันไปอีกพักใหญ่

Shaping Justice: How Media is Transforming Crime Investigations in Thailand

In Thailand, growing public distrust in law enforcement has increased reliance on the media for crime investigations and accountability. As confidence in law enforcement’s transparency, integrity, and effectiveness erodes, media outlets have stepped in as a critical alternative, providing a platform for whistleblowers, citizen journalists, and independent experts to uncover the truth behind criminal cases.

This shift is particularly evident in cases where police inaction or suspected complicity in corruption has fuelled public scepticism. In such instances, media-led investigations not only expose shortcomings within the justice system but also encourage public participation and scrutiny, challenging official narratives put forth by authorities.

However, while media involvement can promote justice and expose corruption, it also carries risks, including sensationalism, misinformation, and the potential to undermine formal investigative processes. As the media assumes a more prominent role in crime investigations, responsible journalism and ethical reporting are essential to prevent further erosion of public trust.

 

Public Distrust Towards Law Enforcement

Public confidence in law enforcement is a crucial factor in maintaining social order and ensuring justice. However, in Thailand, trust in the police remains low, with concerns about corruption, inefficiency and selective enforcement shaping public perceptions.

Various indicators highlight low levels of trust in police forces. As it will be shown in subsequent sections, this has led to increased media involvement in crime investigations as the public is looking to alternative sources for accountability and information regarding criminal cases.

A 2023 survey by the National Institute of Development Administration (NIDA) revealed concerns regarding law enforcement’s effectiveness and trustworthiness in Thailand. 39% of respondents expressed “low or little confidence” in police integrity, while 29% had “no confidence at all”. Furthermore, 24% of respondents doubted the transparency and accountability of police operations, and 30% lacked faith in the police’s ability to solve crimes and ensure justice. Other studies echo similar sentiments, revealing that 70% lack confidence in law enforcement.

Corruption is a key factor that must be taken into account in the broader contextualisation of such a low level of public trust towards law enforcement in Thailand. Transparency International, a leading organisation in combating global corruption, published its yearly Corruption Perceptions Index. The 2024 index (Table 1) shows that corruption is a major source of concern in Thailand.

 

 

Table 1: Corruption Perception Index 2024 in ASEAN Countries

Country

2023 Rank* (Score**)

2024 Rank* (Score**)

Singapore

5th (83)

3rd (84)

Malaysia

57th (50)

57th (50)

Vietnam

83rd (41)

88th (40)

Indonesia

115th (34)

99th (37)

Philippines

115th (34)

114th (33)

Thailand

108th (35)

107th (34)

Laos

136th (28)

114th (33)

Cambodia

158th (22)

158th (21)

Myanmar

162th (20)

168th (16)

Brunei

N/A

N/A

 

Source: Transparency International (2024)

* out of 180 countries; 1st being the country with the lowest corruption perception
 ** 0 “highly corrupted”; 100 “very clean”

In a context where Thailand ranks poorly on global corruption indices, corruption within law enforcement is widespread. According to the Global Corruption Barometer (2020), 37% of Thais believe that most or all police officers are corrupt, and 47% reported paying bribes to the police in the past year.

A major concern is the perception of unequal justice, particularly for the powerful elite. In an interview with The Nation, Pol Col Wirut Sirisawasdibutr, a former Deputy Inspector General, highlighted how politicians and wealthy individuals frequently evade legal consequences. This is evident in the fact that only 5% of all police complaints lead to legal action, reinforcing public scepticism about law enforcement’s impartiality and effectiveness.

Reinforcing this trend, a poll on influential people and government officials in September 2023 found widespread scepticism regarding law enforcement’s impartiality. The survey revealed that 39% of respondents had no confidence at all in the ability of police and government officials to ensure justice in conflicts involving influential individuals. An additional 37% expressed limited confidence, while 59% believed that law enforcement often acts as protectors of elites and powerful figures, further deepening public mistrust in the system.

Against this backdrop, the media has become a key player in holding law enforcement accountable, increasingly viewed as a critical force in exposing misconduct, monitoring investigations and even accelerating criminal inquiries. While this growing role offers opportunities to enhance transparency and oversight, it also presents significant challenges, such as sensationalism and the risk of undermining formal investigative processes, as explained below.

Media as a Watchdog: Investigating Crime Amid Public Distrust in Law Enforcement

With low public confidence in law enforcement, the Thai media has become a key force in holding authorities accountable. Crime reporting influences how people perceive its prevalence, severity and nature, ultimately shaping their sense of security within their communities and the country. As the fourth estate, the media plays a crucial role in exposing crime, shaping public perceptions of safety and pressuring law enforcement to act.

This rise in media whistleblowing and crowdsourcing justice highlights a shift in how wrongdoing is exposed, with journalists, citizens and insiders bypassing traditional legal channels to bring cases to public attention. By leveraging media coverage – whether through news outlets, social media or influential figures – whistleblowers aim to pressure authorities into taking action. This often results in law enforcement reopening previously dismissed or neglected cases, as public scrutiny makes it more difficult for officials to ignore allegations of misconduct, corruption, or injustice.

A notable example of how media scrutiny can expose overlooked evidence, challenge official narratives, and push law enforcement to conduct thorough investigations is a murder in Sa Kaeo province. In January 2024, a female victim was found dead in a pond behind an old gas station. Initially, her husband was brought in for questioning and had confessed to involvement. However, a reporter from Channel 8 went back to the crime scene to hold interviews with the witnesses, he found inconsistencies with the testimony of the victim’s husband. With his team, they thus started to search for and successfully obtained and released to the public the CCTV footage around the area that showed the husband not being involved.

The video revealed the real perpetrators: a group of teenagers, including sons of local police officers. During the investigation into claims that the husband was unfairly targeted by the police, an audio recording was leaked, which documented the police’s harsh interrogation methods. The recording showed the husband being chained and having his head covered. It is noteworthy that the media’s involvement in the case significantly expanded the legal repercussions. The increased attention drew in diverse voices, including district lawyers, who pushed for further charges, leading to the young group being charged with 11 criminal offenses, encompassing murder, rape and assaults.

Another recent case that reflects how investigative journalism continues to be a powerful tool for public scrutiny is the collapse of the newly constructed 30-story State Audit Office (SAO) building in Bangkok following an earthquake in Myanmar on 28 March 2025 and the death of nearly two dozen construction workers. This case shed light on the media’s ongoing roles in uncovering irregularities in public procurement processes. Not yet in use and costing over two billion baht, its collapse raised serious questions about construction standards and oversight. Media outlets, like Isra News Agency and others, quickly mobilised to expose a series of red flags that may have led to the tragedy, including suspicious procurement procedures, the low quality of construction materials and the questionable credibility of the contractors. Uncovered evidence has led to the Department of Special Investigation taking up the case as a special case and the media, as of writing, actively seeking new evidence to shed light on the matter.

By exposing wrongdoing and keeping authorities accountable, the media can push law enforcement to act where they otherwise might not. However, while media-led investigations offer opportunities for greater transparency and justice, they also pose challenges. Over-reliance on media reporting can lead to trial by public opinion, misinterpretations of evidence, and unintended consequences for due process. The delicate balance between media-driven scrutiny and formal law enforcement procedures remains an ongoing debate in Thailand’s justice system.

 

Challenges and Implications of Media in Crime

While the media plays a crucial role in uncovering wrongdoing and holding authorities accountable, its expanding involvement in investigations introduces significant challenges, particularly when media-led inquiries fall short of professional standards. Additionally, the public’s perception of crime investigations can be swayed by sensationalised content, raising concerns about the appropriate role of the media.

First, media-led investigations risk not adhering to professional standards, which can damage the credibility of the investigation and affect the justice process. This can stem from several factors. Journalists and media outlets may lack the specialised training required for forensic analysis, legal procedures or investigative methodologies, leading to inaccuracies or misinterpretations of evidence. Additionally, time pressures to break news quickly can result in incomplete fact-checking or reliance on unverified sources.

In 2025, the death of a former police officer, found hanged in prison, raised suspicions among his family and fuelled concerns of possible foul play. The officer had been serving a life sentence for torturing a suspect to death during an investigation. Amid growing public scepticism over the circumstances of his death, Lui Chon Khao, a TV programme on Channel 8, conducted a televised reconstruction of the alleged suicide, attempting to test various theories despite lacking expert input or specific knowledge of the case details. Later, an official re-enactment by law enforcement concluded that the officer’s death was indeed a suicide. The media’s role in this case highlights how unverified and unspecialised investigation risks fueling misinformation and skepticism by presenting unverified theories without proper expertise.

Another case that raised concerns about investigations conducted by parties outside law enforcement, as well as the media’s role in promoting such claims, is that of Thai actress Phatthida Patcharaveerapong (Tangmo), who drowned in the Chao Phraya River after falling from a speedboat under unclear circumstances in 2022. Media outlets extensively covered various self-proclaimed “investigative teams”, which operated in parallel with the official law enforcement investigative and criminal justice process, that gathered evidence from multiple sources and issued contradictory claims about the case, casting doubt on the official investigation. In one instance, the media closely followed a re-enactment conducted by one such team, which even involved beauty pageants to test theories surrounding Tangmo’s death.

The extensive media coverage of Tangmo’s case raised concerns about journalistic ethics and responsibility, as outlets often provided a platform for self-appointed “experts” without rigorously verifying their claims or applying the evidentiary standards expected in judicial processes. This was particularly troubling as some external figures publicly accused the police and political actors of covering up key details, further fueling public distrust in the official investigation. Meanwhile, by giving these outside teams undue prominence, the media failed to encourage their cooperation with law enforcement, potentially undermining the integrity of the case and exacerbating misinformation.

The second potential issue is sensationalism, as news outlets often use dramatic headlines to attract viewers and generate traffic. An NBTC survey on TV news programmes found that approximately two-thirds of the inspected programmes were classified as sensationalist, frequently covering crime, violence, sexual matters, disputes, supernatural beliefs, and scandals in an emotionally charged manner.

A study by the Thai Media Fund, a public agency dedicated to promoting media literacy and responsible journalism, assessed the media’s coverage of Tangmo’s death in the initial months following the incident through its “Media Alert” project. The study found that the media sensationalised the tragedy to capture public attention, leading to widespread confusion and misinformation. Outlets circulated unsubstantiated claims and theories, including unverified information from social media sources. The cross-sector assessment also highlighted that much of the coverage was characterised by speculation, emotional appeal, and a lack of factual, balanced reporting.

In early 2025, public interest in Tangmo Nida’s case was been reignited, with media outlets once again giving prominent coverage to new developments. This renewed attention was marked by sensationalism, as individuals outside the criminal justice system use media platforms to cast doubt on law enforcement and lawyers from both sides publicly air their disputes over the case. Additionally, the coverage continued to dramatise the case, focusing on interpersonal conflicts between Tangmo and her friends before the incident to fuel speculation about whether she was murdered. Yet, as of writing, public attention has started to wane with media attention placed on other social developments, while the case itself drags on in an unresolved manner.

Such reporting poses several risks. Sensational news can inflame public emotions, provoking fear, outrage, or panic, and may distort news priorities by overemphasising certain cases while neglecting more critical but less dramatic issues. Furthermore, the pursuit of virality and engagement can lead to exaggeration or misinformation, ultimately compromising journalistic integrity. This not only shapes public discourse but also influences law enforcement actions, as authorities may feel pressured to respond to high-profile cases rather than prioritising investigations based on actual legal and social significance.

Addressing these concerns requires strengthening journalistic standards, fostering responsible reporting, and encouraging constructive engagement between media and law enforcement. Looking ahead, understanding how the media can play a more constructive role in crime investigations – balancing public interest with ethical and professional integrity – will be crucial in shaping a more responsible and impactful media landscape.

Ensuring a Constructive Role: The Future of Media in Crime Investigations

As it has been shown, the media in Thailand plays a crucial role in addressing gaps within law enforcement, particularly in crime investigations. By highlighting overlooked cases and bringing new evidence to light, media coverage has the potential to advance justice and foster greater accountability. However, this influence must be exercised responsibly to avoid undermining legal processes or distorting public perceptions of crime and law enforcement.

Strengthening journalistic standards is key to ensuring that media investigations contribute constructively rather than becoming sources of misinformation or sensationalism. Rigorous fact-checking, ethical reporting, and a commitment to accuracy are necessary to maintain credibility and prevent the pursuit of viewership from taking precedence over responsible journalism. A more self-regulated system, developed in collaboration with organisations such as the Thai Media Fund and the National Broadcasting and Telecommunications Commission, could help formalise these standards through an enforceable code of conduct and content monitoring mechanisms. Additionally, measuring media impact beyond audience engagement—considering societal implications and public trust—would provide a more comprehensive evaluation of journalistic practices.

Beyond institutional regulations, professional development within the media sector is essential. Stronger capacity-building initiatives from media and journalistic councils can equip journalists with the necessary skills to navigate complex investigations while upholding ethical principles. At the same time, collaboration between media, law enforcement agencies, and other stakeholders in the justice system can foster a more balanced approach, ensuring that reporting enhances rather than disrupts legal proceedings.

A well-regulated and principled media landscape not only strengthens the integrity of crime reporting but also reinforces public trust in both the media and the justice system. By refining its investigative role, the media can continue to act as a catalyst for transparency and accountability while contributing to a more informed and just society.