เล่าข่าวชาวบ้าน “สินค้าข่าว” ที่ขายได้

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา รูปแบบการนำเสนอข่าวสารทางทีวีดิจิตอลของไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่ผู้ประกาศเน้นการอ่านข่าวอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันได้พัฒนาไปสู่รูปแบบ “เล่าข่าว” หรือ “ขยี้ข่าว” ซึ่งผู้ดำเนินรายการเข้ามามีบทบาทในการแสดงทรรศนะ วิพากษ์วิจารณ์ ควบคู่ไปกับการใช้เทคนิคภาพและเสียงเพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดผู้ชมมากขึ้น ปัจจัยสำคัญเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คือแรงกดดันทางธุรกิจ เนื่องจากรายการข่าวกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของสถานีโทรทัศน์ดิจิตอลหลายแห่ง ทำให้การตัดสินใจเลือกเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอมักให้น้ำหนักกับตัวเลขเรตติงและยอดการรับชมเป็นอันดับแรก ส่งผลให้ข่าวที่ได้รับความสำคัญมักเป็นข่าวอาชญากรรม อุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ดราม่าที่มีความเร้าอารมณ์ ขณะที่ประเด็นเชิงนโยบายหรือเนื้อหาที่ให้ข้อมูลเชิงลึกอาจถูกลดทอนความสำคัญลง แนวโน้มนี้สร้างความกังวลดังที่ปรากฏในงานศึกษาเรื่อง “สังคมได้อะไรจากข่าวโทรทัศน์” ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่ทำการวิเคราะห์รายการข่าวภาคค่ำช่องทีวีดิจิตอลในช่วงเดือนกรกฎาคม – กันยายน พ.ศ.2565 และพบว่ารายการเหล่านี้ส่วนใหญ่จัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาข่าวที่เร้าใจ เช่น อาชญากรรม อุบัติเหตุ และเหตุการณ์ไม่ปกติ โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเรตติงมากกว่าการนำเสนอทางออกหรือการถอดคุณค่าและบทเรียนของเหตุการณ์ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพและผลกระทบของข่าวโทรทัศน์ในประเทศไทย
ปรากฏการณ์ “ขยี้ข่าว” ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย มักเกี่ยวข้องกับการนำเสนอเรื่องราวของบุคคลธรรมดาหรือกลุ่มเปราะบางในสังคม ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อควรระวัง ในแง่หนึ่งอาจช่วยสะท้อนปัญหาสังคมหรือเป็นช่องทางให้ผู้ได้รับผลกระทบได้ส่งเสียง แต่ในอีกแง่หนึ่งก็มีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นการตอกย้ำความเหลื่อมล้ำ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือแม้กระทั่งการผลิตซ้ำความรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ สถานการณ์เช่นนี้ดูจะขัดแย้งกับบทบาทที่พึงประสงค์ของสื่อมวลชน ในการเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ส่งเสริมการอภิปรายสาธารณะด้วยข้อมูลและเหตุผล ด้วยเหตุนี้ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จึงเล็งเห็นความสำคัญในการศึกษาสถานภาพการนำเสนอข่าวทางทีวีดิจิตอลในปัจจุบัน เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาแนวทางส่งเสริมการผลิตข่าวที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการกำกับดูแลอันจะนำไปสู่ระบบนิเวศสื่อที่ดีขึ้นในอนาคต
วิธีการศึกษา
ศึกษาจากผู้ส่งสารคือผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ เนื้อหาคือรายการข่าว และผู้รับสาร ประกอบกัน
การศึกษารายการข่าว:
เลือก ช่องทีวียอดนิยม 10 อันดับแรก (จากเรตติงข้ามแพลตฟอร์ม เดือน ต.ค. 67)
จาก 10 ช่องนั้น เลือกมา ช่องละ 1 รายการข่าวเด่น ที่:
- คนดูนิยม และมีการเผยแพร่หลายช่องทาง (ออนไลน์)
- มีความยาวอย่างน้อย 30 นาที
ได้รายการข่าวมาศึกษาทั้งหมด 10 รายการ จำนวน 10 รายการ ดังนี้ รายการสนทนาปัญหาเหตุการณ์ปัจจุบัน คือ ถกไม่เถียง (CH7) โหนกระแส (CH3) รายการเล่าข่าวคือ ข่าวเย็นช่องวัน (ONE) ไทยรัฐนิวส์โชว์ (Thairath TV) ข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ (Workpoint TV) เจาะข่าวเด็ด The Day News Update (MONO 29 TV) ทุบโต๊ะข่าว (Amarin TV HD) ลุยชนข่าว (CH8) และรายการข่าว คือ TNN ข่าวเที่ยง (True4U) และเข้มข่าวค่ำ (PPTV HD)
ช่วงเวลาที่ศึกษา: เก็บข้อมูลรายการข่าวเป็นเวลา 2 สัปดาห์ (26 ธันวาคม 2567 – 8 มกราคม 2568)

การศึกษาผู้ประกอบวิชาชีพสื่อและนักวิชาการ จากการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อข่าวในสื่อทีวีดิจิตอลผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการทางด้านนิเทศศาสตร์/การสื่อสารมวลชน จำนวน 5 คน
การสนทนากลุ่มผู้รับสาร รับชมรายการข่าวทีวีดิจิตอล จำนวน 4 ภูมิภาค คือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ รวมทั้งหมดจำนวน 40 คน
กรอบประเด็นการวิเคราะห์
- ประเด็นข่าว รูปแบบ และเทคโนโลยีการนำเสนอข่าว ได้แก่ ประเภทข่าว คุณค่าข่าว องค์ประกอบของข่าวเร้าอารมณ์
- ประเด็นทางจริยธรรมจากการนำเสนอข่าว
- การกำกับดูแลเนื้อหาและประเด็นเชิงจริยธรรมของการนำเสนอข่าว
- การรับรู้ของผู้ชมต่อการนำเสนอข่าวที่มีประเด็นปัญหาด้านจริยธรรมของช่องรายการทีวีดิจิตอล
จากการวิเคราะห์รายการข่าวทีวีดิจิตอล พบว่า:
ข่าวประเภทไหนเยอะสุด? โดยรวมแล้ว ข่าวอาชญากรรม (31.65%) กับ ข่าวชาวบ้าน (31.28%) มีสัดส่วนเยอะพอ ๆ กัน ตามมาด้วยข่าวประเด็นสาธารณะ/สิ่งแวดล้อม/สุขภาพ (ประมาณ 12.58%)
รูปแบบรายการต่างกันไหม?
- รายการเล่าข่าว เน้น ข่าวชาวบ้านและอาชญากรรม เป็นหลัก
- รายการข่าวแบบดั้งเดิม (อ่านข่าว) มีข่าวชาวบ้าน/อาชญากรรมน้อยกว่า และมีข่าวหลากหลายประเภทมากกว่า (เช่น ข่าวต่างประเทศ ข่าวการเมือง)
- ความเชื่อ/โหราศาสตร์ พบเฉพาะในรายการเล่าข่าว/คุยข่าว แต่ไม่พบในรายการข่าวแบบเดิมเลย

ทำไมถึงเลือกข่าวนี้มาเสนอ? รายการส่วนใหญ่มักเลือกข่าวโดยดูจากข่าวที่เป็นข้อมูลวงในหรือเป็นคนเปิดประเด็น ลงพื้นที่เอง (25.12%) ข่าวที่เป็นข่าวร้าย / แง่ลบ (15.12%) ข่าวที่เป็นเรื่องต่อเนื่องหรืออัปเดตจากข่าวเดิม (8.62%) ข่าวความขัดแย้ง (6.06%) ข่าวดราม่า (5.62%) ข่าวคนดัง/คนมีอำนาจ (5.51%) ข่าวจากแหล่งข่าวอื่นหรือที่เป็นกระแสในสื่ออออนไลน์ (5.12%) และข่าวผลกระทบสูง/วงกว้าง (2.83%)
ช่องทางการเผยแพร่ ทุกรายการที่ศึกษาไม่ได้ออกอากาศแค่ในทีวี แต่ยังเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย เช่น Facebook, YouTube, แอปของช่อง ทั้งแบบถ่ายทอดสด, ให้ดูย้อนหลัง, และตัดเป็นคลิปสั้นๆ (ไฮไลต์) บางรายการมีรายการออกต่อเนื่องในออนไลน์โดยเฉพาะ
การวิเคราะห์ความเร้าอารมณ์ในการรายงานข่าว
การวิเคราะห์องค์ประกอบของความเร้าอารมณ์ในการรายงานข่าวจาก 5 ข่าว ที่เป็นกระแสและได้รับความสนใจจากสาธารณชนในช่วงเวลาที่ศึกษา อ้างอิงจากการวิเคราะห์ความถี่ของเนื้อหาที่ปรากฏมากที่สุดในการวิเคราะห์เนื้อหาขั้นที่ 1 ได้แก่ข่าว
- แบงค์ เลสเตอร์: “แบงค์ เลสเตอร์” หรือนายธนาคาร คันธี ผู้มีชื่อเสียงในสื่อสังคมออนไลน์ เป็นที่รู้จักจากเนื้อหาร้องเพลงและขายพวงมาลัยเลี้ยงยาย เสียชีวิตจากการถูกจ้างให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- นศ.จีนเข้าคอร์สสอบอบรมอาสาตำรวจ: หลักสูตรอบรม “อาสาตำรวจคนจีน” มีการอ้างถึงความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยสยามกับสำนักงานสืบสวนกลาง กองบังคับการนครบาลภาค 3 มีค่าใช้จ่ายต่อหัวคนละ 38,000 บาท โดยหลังจบหลักสูตรมอบประกาศนียบัตร และมอบหมวก เสื้อกั๊ก ป้ายคล้องคอ ซึ่งภายหลังถูกขยายความไปยังหลักสูตรอบรมที่มีความเกี่ยวข้องกับแวดวงทหาร
- สส.กัมพูชา: อุกอาจ! ยิง สส.กัมพูชาดับหน้าวัดบวรฯ: คนร้ายขี่รถมอเตอร์ไซค์ประกบยิงอดีตสส.ฝ่ายค้านกัมพูชา สัญชาติฝรั่งเศสเสียชีวิตกลางถนนย่านบางลำพู
- Jeju Air: เครื่องบินโดยสารสายการบิน Jeju Air ไถลออกนอกรันเวย์และพุ่งชนกำแพงที่สนามบินนานาชาติมูอัน ชอลลาใต้ เกาหลีใต้
- แตงโมตกเรือ: ในปี 2566 “แตงโม” ภัทรธิดา พัชระวีรพงษ์ อดีตนักแสดงชื่อดัง พลัดตกเรือเสียชีวิตในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยศาลจะมีคำพิพากษาตัดสินจำคุกผู้เกี่ยวข้องในคดี 2 คน และได้มีการเยียวยาชดเชยค่าสินไหมทดแทนให้กับมารดาผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจแล้ว โดยในปี 2568 มีการกลับมาให้ความสนใจประเด็นนี้จากความคิดที่จะมีการจำลองเหตุการณ์อีกครั้ง

กลยุทธ์ดึงดูดผู้ชม:
การเร้าอารมณ์ในการรายงานข่าวมีการนำเสนอใน 2 มิติ คือ การเร้าอารมณ์ด้านประเด็นและเนื้อหา (Sensationalism) และการเร้าอารมณ์แฝงด้านเทคนิคการผลิต (Embedded Sensationalism) ในภาพรวม สามารถสรุปได้ว่าทุกรายการประกอบสร้างความเร้าอารมณ์จากองค์ประกอบที่สร้างความเร้าอารมณ์มิติด้านเนื้อหาและเสริมแรงด้วยองค์ประกอบในมิติด้านการผลิตสื่อ ยกเว้นรายการข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ ข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ สุดสัปดาห์ (WOKRPOINT TV) และรายการเข้มข่าวค่ำ (PPTV HD) ที่มีคะแนนมิติที่สร้างการเร้าอารมณ์แฝงสูงกว่ามิติด้านเนื้อหา (ดังแสดงในภาพ: Sensationalism)
การเร้าอารมณ์ด้านประเด็นและเนื้อหา ส่วนใหญ่เหตุการณ์นำเสนอประเด็นเร้าอารมณ์ การแสดงประวัติหรือข้อมูลของบุคคลในข่าวค้างจอไว้ตลอดการรายงานข่าว การสัมภาษณ์คนในเหตุการณ์ให้ดูเหมือนเป็นวงใน และใช้ภาพ/ภาพเคลื่อนไหวประกอบการรายงานข่าวที่เร้าอารมณ์ (ดังแสดงในภาพ: การเร้าอารมณ์ด้านประเด็นและเนื้อหา) ประกอบกับการใช้องค์ประกอบการเร้าอารมณ์แฝงด้านเทคนิคการผลิตเข้าช่วยเสริมแรง โดย้ส่วนใหญ่ใช้เทคนิคการตัดต่อ (เช่น การแบ่งจอเป็น 2 จอ ให้เห็นทั้งภาพเหตุการณ์ข่าวและภาพผู้เล่าข่าว และการฉายวนซ้ำ ๆ ภาพเหตุการณ์ข่าวตลอดการเล่าข่าว) รองลงมาคือ การใช้มุมกล้องที่หลากหลายในการรายงานข่าว ภาพแสดงเหตุการณ์จริงแทนสายตาของผู้เห็นเหตุการณ์ (ภาพจากคลิปที่ถ่ายจากมือถือ/กล้องของคนที่อยู่ในเหตุการณ์) ร่วมกับเทคนิคอื่น ๆ ได้แก่ เพลงประกอบ เสียงประกอบ การใช้มุมกล้องระยะใกล้เพื่อสื่ออารมณ์ผู้เกี่ยวข้องในข่าว และการใช้คำ นำเสียงแสดงความรู้สึกของผู้นำเสนอข่าว/ผู้รายงานข่าว/ผู้เล่าข่าว (ดังแสดงในภาพ: การเร้าอารมณ์แฝงด้านเทคนิคการผลิต)


ประเด็นทางด้านจริยธรรมจากการนำเสนอของรายการข่าวช่องทีวีดิจิตอล
การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพในประเด็นทางด้านจริยธรรมจากการนำเสนอของรายการข่าวช่องทีวีดิจิตอล จากข่าวเป็นกระแสและได้รับความสนใจจากสาธารณชนในช่วงเวลาที่ศึกษามาวิเคราะห์เกี่ยวกับคุณลักษณะของการนำเสนอข่าวเชิงเร้าอารมณ์และประเด็นทางจริยธรรมในการนำเสนอข่าว จำนวน 5 ข่าว (แบงค์ เลสเตอร์, นศ.จีนเข้าคอร์สสอบอบรมอาสาตำรวจ, สส.กัมพูชา, Jeju Air, แตงโมตกเรือ)
รายการเล่าข่าวและรายการสนทนาปัญหาเหตุการณ์ปัจจุบันพบประเด็นทางจริยธรรมที่สำคัญจากการนำเสนอข่าวที่พบปรากฏมากที่สุดจากการวิเคราะห์เนื้อหา ดังนี้
- การนำเสนอข้อมูลในการรายงานข่าวที่กระทบการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล
- การนำเสนอภาพความรุนแรงที่กระทบกระเทือนจิตใจและการปฏิบัติต่อผู้ถูกกระทำหรือผู้มีความโศกเศร้าอย่างไม่เหมาะสม
- การนำเสนอในลักษณะตีตรา ละเมิดความเป็นส่วนตัวและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ได้รับผลกระทบ
- การสื่อสารที่สร้างความเกลียดชัง รวมถึงการยุยงปลุกปั่น สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง
- ความเที่ยงตรงในการรายงานข่าว
- การรายงานข่าวเรื่องความเชื่อที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือความงมงาย

การกำกับดูแลและจริยธรรมข่าวทีวีดิจิตอล
จากการพูดคุยกับคนในวงการสื่อ ผู้เชี่ยวชาญ และนักวิชาการ ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับประเด็นการกำกับดูแลและจริยธรรมของข่าวทีวีดิจิตอล ดังนี้:
- คุณภาพข่าวโดยรวมลดลง ทั้งในแง่จริยธรรมและประโยชน์ต่อสังคม เพราะการแข่งขันสูงและงบประมาณจำกัด ทำให้สถานีลดการทำข่าวเชิงลึก หันไปใช้ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทำให้เนื้อหาข่าวอาจตื้นขึ้นแม้จะมีปริมาณข่าวเยอะก็ตาม
- เน้นการนำเสนอมากกว่าเนื้อหา ช่องทีวีส่วนใหญ่มีรายการข่าว แต่เนื้อหาไม่ต่างกันมาก การแข่งขันจึงมุ่งไปที่รูปแบบการนำเสนอ เช่น ใช้กราฟิก ภาพจำลองเหตุการณ์ หรือเน้นตัวผู้เล่าข่าวเป็นจุดขาย มากกว่าจะแข่งกันที่ความลึกหรือความแตกต่างของเนื้อหา
- เรตติงชี้นำเนื้อหา ข่าวที่ได้รับความนิยมสูง เช่น ข่าวชาวบ้าน ดราม่า อาชญากรรม ถูกเลือกมานำเสนอมากกว่าข่าวการเมืองหรือเศรษฐกิจ เพราะเป็น “ข่าวที่ขายได้” และข่าวที่เป็นกระแสมักถูกนำมาเล่าซ้ำหลายช่วงเวลา
- รูปแบบ “เล่าข่าว” ทำเส้นแบ่งจริยธรรมเบลอ การเปลี่ยนจาก “อ่านข่าว” มาเป็น “เล่าข่าว/คุยข่าว” ทำให้ผู้ประกาศใส่ความเห็นส่วนตัวหรืออารมณ์ได้ง่าย ทำให้คนดูแยกยากระหว่างข้อเท็จจริงกับความเห็น ซึ่งขัดกับหลักการสื่อที่ควรเน้นข้อเท็จจริง การทำให้ข่าวน่าสนใจไม่จำเป็นต้องใส่ความเห็นส่วนตัวเสมอไป
- บทบาทใหม่ของสื่อทางเลือก อินฟลูเอนเซอร์ หรือรายการทีวีบางรายการ (เช่น โหนกระแส) กลายเป็นช่องทางสำคัญให้คนทั่วไปร้องเรียนปัญหาความเดือดร้อน ซึ่งสะท้อนปัญหาในสังคมและการบังคับใช้กฎหมาย
- สื่อไม่ควรเป็น “ศาลเตี้ย” หน้าที่สื่อคือเสนอข้อมูลรอบด้านตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่ตัดสินคนในข่าว การเน้นจับคู่ขัดแย้งมาเผชิญหน้ากันอาจสร้างความสับสนมากกว่าความเข้าใจ
- มุมมองผู้ผลิต ผู้ผลิตบางส่วนมองว่าเสนอตามข้อมูลที่ได้มา ไม่ได้ชี้นำ และการมี กสทช. ควบคุมก็ทำให้ต้องระมัดระวัง ส่วนเรื่องความสมดุลไม่จำเป็นต้องให้พื้นที่กับทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมสมดุลเพราะบางเหตุการณ์เป็นเรื่องถูกผิดที่สามารถแบ่งแยกเห็นได้ชัดเจน
- ความรับผิดชอบขยายสู่ออนไลน์ แม้เนื้อหาที่นำไปลงออนไลน์ (เช่น Facebook, YouTube) จะไม่ได้อยู่ใต้การกำกับของ กสทช. โดยตรง แต่สื่อที่ใช้ทรัพยากรสาธารณะ (คลื่นความถี่) ก็ยังคงต้องรับผิดชอบต่อเนื้อหาออนไลน์นั้นด้วย เพราะชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือมาจากช่องทางสาธารณะ
- อุตสาหกรรมสื่อต้องการการสนับสนุน วงการสื่อกำลังถูก Disrupt จากโลกออนไลน์ การเรียกร้องแค่จริยธรรมอย่างเดียวอาจไม่พอ เพราะสื่อต้องต่อสู้กับโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนไป และ Algorithm ที่มักดันข่าวเร้าอารมณ์ จึงอาจต้องการการสนับสนุนเชิงโครงสร้างการกำกับดูแลระบบสื่อที่เหมาะสมด้วย
พฤติกรรมการเปิดรับและทัศนคติของผู้รับชมรายการข่าวทีวีดิจิตอล
จากการพูดคุยกับกลุ่มตัวอย่างผู้รับชมรายการข่าวทีวีดิจิตอล ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจดังนี้:
- พฤติกรรมการดูข่าว คนที่ดูทีวีส่วนใหญ่ดูตอนเช้าก่อนไปทำงานหรือขณะทำกิจกรรมอื่น เพื่ออัปเดตข่าวสารรอบวัน หากมีเรื่องสนใจจะดูเจาะลึกอีกทีตอนเย็น/ค่ำ แต่คนหันไปดูออนไลน์/โซเชียลเป็นช่องทางหลักของหลายคน ดูผ่าน Facebook, YouTube, TikTok, X เน้นดูคลิปสั้นๆ ตามกระแส หรือเรื่องที่สนใจ เพราะเลือกเวลาดูได้และดูย้อนหลังได้
- รูปแบบรายการที่ชอบ คนดูชอบดูรายการเล่าข่าว เพราะรูปแบบสนุก เข้าใจง่าย ได้อารมณ์ร่วม ผู้เล่าข่าวทำให้ข่าวน่าสนใจและเข้าใจเหตุการณ์ได้ง่ายขึ้น และคิดว่าข่าวชาวบ้านมีประโยชน์ เปิดรับเพราะรู้สึกใกล้ตัว ได้ประโยชน์เป็นข้อเตือนใจ/ป้องกันภัย
- มุมมองต่อการนำเสนอ คิดว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันมีการพัฒนาใช้เทคนิคช่วยให้การนำเสนอชัดเจน น่าติดตาม เข้าใจง่ายและมีคุณภาพ นักข่าวมีการลงพื้นที่เก็บข้อมูล สัมภาษณ์คนเกี่ยวข้องในข่าว ทำให้ข่าวดูน่าเชื่อถือ ข่าวเร้าอารมณ์เป็นอีกวิธีการนำเสนอของสื่อที่ดึงดูดความสนใจผู้ชม แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าการขยี้ข่าวให้เวลากับข่าวเดียวนานเกินไป ควรเน้นประเด็นหลัก ไม่ใช่ขยายเรื่องไม่จำเป็นซึ่งอาจสร้างอคติ ส่วนรายการสนทนาปัญหาเหตุการณ์ปัจจุบันมองว่าให้รายละเอียดดี ได้ฟังหลายมุมมอง บางครั้งดูเพื่อความบันเทิง
- ผลกระทบและข้อกังวลด้านจริยธรรม:
- ผลกระทบทางอารมณ์: รู้สึกว่าข่าวร้ายๆ หรือข่าวที่เร้าอารมณ์มากๆ ส่งผลต่อความรู้สึก (เครียด, ตื่นเต้น) โดยเฉพาะกับกลุ่มที่จิตใจอ่อนไหว (เช่น เห็นภาพ/เสียง/ภาษาที่รุนแรง)
- ตระหนักปัญหาจริยธรรม: ผู้ชมส่วนใหญ่ รู้และกังวล เกี่ยวกับประเด็นจริยธรรมหลายอย่าง เช่น:
- การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนในข่าว
- การเสนอข่าวอย่างมีอคติ หรือชี้นำให้ตัดสินคนในข่าว
- ความไม่น่าเชื่อถือของข้อมูล
- การไม่ให้เกียรติแหล่งข่าว (โดยเฉพาะผู้เสียหาย/ผู้สูญเสีย/ผู้ต้องสงสัย)
- การขาดการกลั่นกรองเนื้อหา (โดยเฉพาะในรายการสด)
- การนำเสนอความรุนแรง มักจะกังวลมากขึ้นเมื่อคิดถึงผลกระทบต่อคนในครอบครัว ที่เป็นเด็ก
ผลการศึกษาสถานภาพการนำเสนอข่าวทางทีวีดิจิตอลในรอบทศวรรษหลังการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ให้ภาพความเข้าใจที่ชัดเจนถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านรูปแบบ เนื้อหา เทคโนโลยี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นท้าทายเชิงจริยธรรมที่เกิดขึ้นภายใต้บริบทการแข่งขันสูงและแรงกดดันทางธุรกิจ ผลการวิเคราะห์จากงานวิจัยนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นปัญหาทางจริยธรรมที่หลากหลายและซับซ้อน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มพูนความตระหนักรู้ถึงความท้าทายที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ หน่วยงานกำกับดูแล ประชาชนและสังคมโดยรวมกำลังเผชิญอยู่ร่วมกัน จากความเข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบัน ช่องว่าง และความท้าทายดังกล่าว ข้อเสนอแนะหลักคือการพัฒนากรอบและกลไกการกำกับดูแลให้มีความเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง สามารถตอบสนองต่อระบบนิเวศสื่อที่เปลี่ยนแปลง และส่งเสริมการยกระดับคุณภาพและจริยธรรมของสื่อให้เท่าทันยุคสมัยพร้อมกับการส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อให้ประชาชนเป็นพลเมืองที่มีความรู้ (Informed Citizen)
ความเห็นล่าสุด