เลือกหน้า

สิงหาคม 2567 แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรี ติดอันดับ 4 ของความสนใจในโลกออนไลน์น้ำท่วมภาคเหนือ มาอันดับ 8 ขณะที่โอลิมปิก 2024 ครองอันดับ 1และ TikTok เป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมต่อเนื่อง

สิงหาคม 2567 แพทองธารเป็นนายกรัฐมนตรี ติดอันดับ 4 ของความสนใจในโลกออนไลน์ น้ำท่วมภาคเหนือ
มาอันดับ 8 ขณะที่โอลิมปิก 2024 ครองอันดับ 1  
และ TikTok เป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมต่อเนื่อง

การสำรวจประเด็นการสื่อสารในโลกออนไลน์ 5 แพลตฟอร์ม ในเดือนสิงหาคม 2567 พบว่า การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจสูงสุดอันดับที่ 1 ด้วยสัดส่วน Engagement มากถึง 36.26% ตามด้วยเทศกาลวันแม่ เป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน Engagement ที่ 12.78% ละครพรชีวัน ติดอันดับ 3 ด้วยสัดส่วน 7.47% ขณะที่แพทองธาร ชินวัตรได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นอันดับ 4 ด้วยสัดส่วน Engagement ที่ 7.39% ด้านน้องหมีเนย หล่นจากแชมป์อันดับ 1 ถึง 2 สมัย ลงมาเป็นอันดับที่ 5 ด้วยสัดส่วน 6.99%

เป็นที่น่าสนใจว่าเดือนสิงหาคมมีประเด็นทางการเมืองติดใน 10 อันดับ ถึง 2 ประเด็น คือ แพทองธาร ชินวัตรได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ในอันดับที่ 4 และการก่อตั้งพรรคประชาชน ในอันดับที่ 6 ทั้งนี้ จากความพลิกผันของสถานการณ์ทางการเมือง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 สิงหาคม อีกทั้งในสัปดาห์ถัดมามีคำวินิจฉัยให้เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้กลุ่มเนื้อหาการเมืองถูกกล่าวถึงเพิ่มมากขึ้นจน เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 8 เดือน ที่ประเด็นการเมืองติด 10 อันดับความสนใจ นับจากกรณีพิธากลับเข้าสภา ติดอันดับ 4 ในเดือนมกราคม และการผ่านร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมฯ ติดอันดับ 9 ในเดือนมิถุนายน

สาเหตุที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 เป็นประเด็นที่คนในสังคมออนไลน์ให้ความสนใจเป็นอันดับ 1 ในเดือนสิงหาคม 67  อาจเพราะสร้าง Engagement สูงต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จากพิธีเปิดการแข่งขันกีฬา ด้วยการใช้สถานที่จริงในกรุงปารีส นำเสนอพิธีการสำคัญ เช่น การเชิญธง การจุดคบเพลิง  ผ่านการนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ รวมทั้ง ศิลปะ วัฒนธรรม และการแสดงที่หลากหลาย แต่ประเด็นการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ในเดือนสิงหาคม ส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงการแข่งขันของนักกีฬาทีมชาติไทย การกล่าวชื่นชมนักกีฬาไทยที่ได้เหรียญในการแข่งขัน เช่น เทนนิส พาณิภัค,วิว กุลวุฒิ, วีรพล วิชุมา, จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง เป็นต้น จากนั้นความสนใจก็ลดลงหลังจากพิธีปิดในวันที่ 11 สิงหาคม 2567   

ส่วนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เช่น เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรีและการยุบพรรคก้าวไกล การตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ เช่น การลงทะเบียนรับเงินดิจิทัลผ่านแอปทางรัฐ อุบัติเหตุเครื่องบินตกที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งได้รับความสนใจสูงจากโลกออนไลน์เช่นกัน แต่กลับไม่ติด 10 อันดับแรกของความสนใจในการสื่อทางทางออนไลน์เดือนสิงหาคม 67

10 ประเด็นที่ได้รับความสนใจ มีการสื่อสารและมีส่วนร่วมมากที่สุดในโลกออนไลน์ เดือนสิงหาคม 2567

Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ Wisesight ศึกษาการสื่อสารออนไลน์ของสังคมไทย โดยใช้เครื่องมือ ZocialEye สำรวจจาก 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่ 1) Facebook 2) X 3) Instagram 4) YouTube และ 5) TikTok โดยเริ่มจากการค้นหาเทรนด์ หรือกระแสสังคมที่เป็นที่พูดถึง เช่น Wisesight Trend และเทรนด์ของแพลตฟอร์มทั้ง 5 แพลตฟอร์ม หลังจากนั้นใส่คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญที่พบจากการสำรวจในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เช่น โอลิมปิก วันแม่ พรชีวัน เป็นต้น จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาคัดกรองและจัดหมวดหมู่ประเด็น ประเภทแพลตฟอร์ม กลุ่มผู้สื่อสาร กลุ่มเนื้อหา ตามเกณฑ์ที่ได้จัดทำขึ้น แล้วอธิบายสรุปข้อมูลสำคัญที่ค้นพบใน 10 อันดับ Engagement ของเดือนที่ทำการสำรวจ  โดยอ้างอิงจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (Empirical Data) ได้แก่ ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ วันที่และเวลา จำนวนค่าปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเที่ยงตรง และลดอคติของนักวิเคราะห์ข้อมูล โดยประเด็นที่โลกออนไลน์ให้ความสนใจในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 มีดังนี้

อันดับที่ 1 การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 (139,153,467 Engagement)

          โอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 33 จัดขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม 2567 ซึ่งในเดือนสิงหาคม การสื่อสารทางสื่อสังคมออนไลน์ในประเทศไทยเป็นการกล่าวถึงนักกีฬาชาวไทยที่เข้าแข่งขันกีฬาต่าง ๆ เช่น มวยสากล แบดมินตัน เทควันโด และยกน้ำหนัก เป็นต้น รวมถึงนักกีฬาที่ได้เหรียญรางวัล เช่น เทนนิส พานิภัค ที่ได้เหรียญทองเป็นสมัยที่ 2 พร้อมประกาศเลิกเป็นนักกีฬาทีมชาติ และเปิดตัวแฟนหนุ่ม การได้เหรียญเงินแรกในประวัติศาสตร์แบดมินตันไทยของวิว กุลวุฒิ การให้กำลังใจจันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง นักกีฬามวยสากลหญิงที่ได้เหรียญทองแดงหลังแพ้ อิมาน เคลิฟ นักมวยชาวแอลจีเรียที่มีโครโมโซม XY รวมถึงท่ายิงปืน ที่เป็นเอกลักษณ์ของ คิมเยจี นักกีฬายิงปืนชาวเกาหลีใต้ และของ ยูซุฟ ดิเคช นักกีฬายิงปืนชาวตุรกี โดยเฉพาะยูซุฟที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับท่ายิงปืนของ เท่ง เถิดเทิง ในรายการชิงร้อยชิงล้านและถูกส่งต่อจนเป็นไวรัลระดับโลก โดยผู้ใช้งานที่สร้าง Engagement มากที่สุด ได้แก่ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น บัญชี panipak2540 ของเทนนิส พานิภัค, วาทะลูกหนัง -Football Quotes- โดยมีแพลตฟอร์ม TikTok สร้าง Engagement สูงสุด ที่ 40.26%

อันดับที่ 2 เทศกาลวันแม่ (49,044,641 Engagement)

          วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็นวันที่ชาวไทยได้แสดงความรักและความกตัญญูต่อแม่ โดยในสื่อสังคมออนไลน์มีการกล่าวถึงเทศกาลวันแม่เป็นอันดับที่ 2 จากการโพสต์อวยพรวันแม่จากผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ที่สร้าง Engagement มากที่สุด เช่น หมอโบว์ หมอรักษาช้าง โพสต์เกี่ยวกับการดูแลแม่ที่เป็นอัลไซเมอร์พร้อมกับต้องทำงานไปด้วย เป็นต้น โดยมีแพลตฟอร์ม TikTok สร้าง Engagement สูงสุด ที่ 51.62%

อันดับที่ 3 ละครพรชีวัน (28,664,783 Engagement)

          พรชีวัน เป็นหนึ่งในละครชุดจากดวงใจเทวพรหม ซึ่งออกอากาศทางช่อง 3 เป็นเรื่องสุดท้ายของชุดละครนี้ นำแสดงโดย เก้า นพเก้า และ พีพี ปุญญ์ปรีดี เนื้อเรื่องเล่าถึงความรักของสรุจ และชีวัน ทายาทรุ่นที่ 2 ของตระกูลจุฑาเทพ และเทวพรหม ด้วยปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของผู้คนรอบข้าง ความรักของทั้งคู่จึงมีอุปสรรคมากมาย โดยละครเริ่มออกอากาศตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม และเสนอตอนจบช่วงปลายเดือนสิงหาคม ทำให้คำสนทนาส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงเนื้อหาของละคร และการตัดฉาก Highlight ในละครมาโพสต์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ  โดยเฉพาะ TikTok ของผู้ใช้งานทั่วไป ทำให้ได้รับ Engagement จำนวนมาก ที่ 55.71%

อันดับที่ 4 แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี (28,369,606 Engagement)

          หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากละเมิดมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงในการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกหกเดือนฐานละเมิดอำนาจศาล  ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยต้องพิจารณาเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อเข้าสู่การพิจารณาลงมติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยมีแคนดิเดต 2 คน ได้แก่ ชัยเกษม นิติศิริ และ แพทองธาร ชินวัตร ที่สุดพรรคเพื่อไทยมีมติเสนอชื่อ แพทองธาร ชินวัตร ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบให้ แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย โดยในสื่อสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่เป็นการนำเสนอข่าวการได้เป็นนายกรัฐมนตรีของแพทองธาร การวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นหลังจากแพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี โดย สื่อ สำนักข่าวสร้าง Engagement ได้มากที่สุด เช่น บัญชี amarintvhd ของช่องอมรินทร์ทีวี, บัญชี thairath_news ของช่องไทยรัฐทีวี เป็นต้น มีแพลตฟอร์ม TikTok สร้าง Engagement สูงสุด ที่ 39.30%

อันดับที่ 5 น้องหมีเนย มาสคอตร้าน Butterbear (26,841,751 Engagement)

          น้องหมีเนย มาสคอตจากร้าน Butterbear ที่ได้รับความนิยมในอันดับที่ 1 ต่อเนื่อง 2 เดือน คือเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม แต่ในเดือนสิงหาคมนี้ ความนิยมตกลงมาเป็นอันดับที่ 5 โดยโพสต์ที่ได้รับ Engagement สูง ยังคงเป็นคลิปน้องหมีเนย การเข้าร่วมกิจกรรมหรือการเต้นร่วมกับศิลปินอื่น ๆ เช่น แจ็คสัน หวัง, เจฟ ซาเตอร์, พีพี กฤษฏ์, บิวกิ้น พุฒิพงศ์ นอกจากนี้ยังมีการแชร์ภาพและวิดีโอที่แสดงความน่ารักของน้องหมีเนยขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ จากช่องทางสื่อสารอย่างเป็นทางการของร้าน Butterbear โดยกลุ่ม มัมหมี หรือแฟนคลับ นอกจากนี้ยังพบประเด็นดราม่า บิวกิ้น พุฒิพงศ์ ออกมาขอโทษหมีเนยและแฟนคลับจากกรณีจับพุงหมีเนย และ เจมิไนท์ นรวิชญ์ ออกมาขอโทษที่พูดถึงหมีเนยด้วยถ้อยคำรุนแรง ผู้ใช้งานที่สร้าง Engagement มากที่สุด ได้แก่ ผู้ใช้งานทั่วไป โดยมีแพลตฟอร์ม TikTok สร้าง Engagement สูงสุด ที่ 53.15%

อันดับที่ 6 การก่อตั้งพรรคประชาชน (24,787,182 Engagement)

          7 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกล เนื่องจากมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ทั้งสั่งเพิกถอนสิทธิคณะกรรมการบริหารพรรคในการสมัครรับเลือกตั้ง การจดทะเบียนหรือการมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ การเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง เป็นระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรค ต่อมาวันที่ 9 สิงหาคม อดีต สส.พรรคก้าวไกล 143 คน ได้จัดประชุมและแถลงข่าวการจัดตั้งพรรคพรรคประชาชน ซึ่งเปลี่ยนชื่อเดิมของพรรคที่อดีต สส.พรรคก้าวไกลเข้ามาสังกัด โดยมี ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เป็นหัวหน้าพรรค ในเหตุการณ์นี้ สื่อสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการแถลงจุดยืนของพรรคประชาชน ที่จะไม่ล้มล้างสถาบัน และจะไม่ลงมติให้แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีการรายงานถึงปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือภายในระยะเวลาเพียง 9 ชั่วโมงหลังแถลงข่าวเปิดตัวพรรค มีผู้สมัครสมาชิกพรรคจำนวนถึง 20,000 คน และได้รับเงินบริจาครวม 10,000,000 บาท ผู้ใช้งานที่สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้มากที่สุด ได้แก่ สื่อ สำนักข่าว เช่น สรยุทธ สุทัศนจินดา กรรรมกรข่าว, The Reporters เป็นต้น โดยพบว่าแพลตฟอร์ม Facebook มีอัตราการสร้าง Engagement สูงสุดถึง 34.88%

อันดับที่ 7 ละครทองประกายแสด (23,737,128 Engagement)

          นวนิยายทองประกายแสด มีการสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว 2 ครั้ง สร้างเป็นละครโทรทัศน์มาแล้ว 5 ครั้ง ครั้งนี้จึงเป็นละครโทรทัศน์ครั้งที่ 6 ที่ผลิตโดยบริษัท CHANGE2561 เผยแพร่ทางช่อง ONE31 โดยผู้รับบท ทองดี ตัวเอกของเรื่องคือใบเฟิร์น พิมพ์ชนก แก่นหลักของเรื่อง คือ ความทะเยอทะยาน และมุ่งมั่นใฝ่หาชื่อเสียง เงินทอง และเกียรติยศของทองดี เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยการใช้ความสวย และเสน่ห์ ทำให้ผู้ชายเข้ามาติดพันหลายคน และเธอใช้ผู้ชายเหล่านั้นเป็นบันไดแห่งชีวิตสู่การเป็นคุณทองประกายที่เลิศหรูและร่ำรวย โดยส่วนใหญ่ของการสื่อสารในสื่อสังคมออนไลน์ เป็นการแชร์ Highlight จากละคร ผู้ใช้งานที่สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงที่สุด ได้แก่ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก, บริษัท CHANGE2561 และช่อง ONE31 ซึ่งแพลตฟอร์ม Facebook มีอัตราการสร้าง Engagement สูงสุดถึง 61.94%)

อันดับที่ 8 อุทกภัยภาคเหนือ (21,454,213 Engagement)

          ตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2567 เกิดเหตุอุทกภัยใน 5 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ และสุโขทัย สาเหตุจากร่องมรสุมที่พาดผ่านพื้นที่ดังกล่าว ทำให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่อง ในสื่อสังคมออนไลน์มีการติดตามสถานการณ์ของอุทกภัย และภาวะน้ำไหลบ่าสู่จังหวัดในภาคเหนือ การให้กำลังใจผู้ประสบภัย การรับบริจาคสิ่งของและเงินเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เช่น การใช้โดรนเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยกลางน้ำป่า การรายงานความสูญเสียจากอุทกภัยของสื่อ สำนักข่าว เป็นต้น โดยผู้ที่สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงสุด ได้แก่ สื่อ สำนักข่าว เช่น บัญชี amarintvhd ของช่องอมรินทร์ทีวี, รายการโหนกระแส เป็นต้น และแพลตฟอร์ม Facebook มีอัตราการสร้าง Engagement สูงสุดถึง 42.47%)

อันดับที่ 9 ซีรีส์ใจซ่อนรัก (21,045,173 Engagement)

          ใจซ่อนรัก (The Secret Of Us) เป็นซีรีส์แนวแซฟฟิค (Sapphic) หรือ หญิงรักหญิง นำแสดงโดยหลิงหลิง ศิริลักษณ์ และ ออม กรณ์นภัส ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มออกอากาศทางช่อง 3 ในเดือนกรกฎาคม และในเดือนสิงหาคมได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายและตอนจบของละคร เนื้อหาที่ได้รับความสนใจในช่วงเวลานี้ส่วนใหญ่เป็นการแบ่งปัน Highlight ของละคร รวมถึงคลิปเบื้องหลังต่าง ๆ การขอบคุณผู้ชมจากดารานักแสดง การตัด Highlight ของละครจากช่องทางอย่างเป็นทางการของช่อง 3 โดยผู้ใช้งานทั่วไปเป็นผู้สื่อสารที่สร้าง Engagement มากที่สุด ซึ่งแพลตฟอร์ม X สร้าง Engagement สูงสุดที่ 55.96%

อันดับที่ 10 ภาพยนตร์วิมานหนาม (20,658,720 Engagement)

          วิมานหนาม (The Paradise of Thorns)  ภาพยนตร์จากค่าย GDH กำกับการแสดงโดย นฤเบศ กูโน เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึง เสกและทองคำ คู่รักหนุ่มชาวสวนที่ช่วยกันปลูกบ้าน และทำสวนทุเรียน ทองคำใช้เงินก้อนใหญ่ทั้งหมดในชีวิตไถ่ถอนที่ดินให้เสก จนได้โฉนดที่ดิน แต่แล้วเสกเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ทรัพย์สินทั้งหมดที่ร่วมสร้างกันมา ต้องตกไปเป็นของแม่เสก ผู้มีสิทธิ์ตามกฎหมาย แม่แสงได้พา โหม๋ ลูกสาวที่เก็บมาเลี้ยง รวมทั้ง จิ่งนะ น้องชายของโหม๋ เข้ามาอยู่ในบ้านของเสกด้วย ทำให้ทองคำต้องต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ความเป็นเจ้าของทรัพย์สินกลับคืนมา โดยในสื่อสังคมออนไลน์ได้แสดงความชื่นชมต่อเนื้อหาของภาพยนตร์ และนักแสดง เช่น เจฟ ซาเตอร์ และอิงฟ้า วราหะ รวมถึงเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ร้องโดยเจฟ ซาเตอร์ โดยผู้ใช้งานทั่วไปมีบทบาทสำคัญในการสร้าง Engagement สูงสุด แพลตฟอร์ม TikTok มีอัตราการสร้าง Engagement สูงสุดถึง 47.81%

ผลการสำรวจการสื่อสารออนไลน์ในเดือนสิงหาคม 2567 ในด้านกลุ่มเนื้อหา ผู้สื่อสาร แพลตฟอร์ม

กลุ่มเนื้อหา
จาก 10 ประเด็นที่ได้รับความสนใจและมีการสื่อสารในสื่อสังคมออนไลน์มากที่สุดในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 สามารถจำแนกเนื้อหาออกเป็น 5 กลุ่ม ตามจำนวน Engagement ดังนี้

กลุ่มเนื้อหากีฬา ได้รับความสนใจรวม 139,153,467 Engagement คิดเป็น 36.26% ของทั้งหมด โดยมีประเด็นการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 เพียงประเด็นเดียว ซึ่งแม้กระแสจะเริ่มลดลงตั้งแต่พิธีปิดวันที่ 11 สิงหาคม 2567 แต่ในภาพรวมตลอดทั้งเดือน พบว่า มี Engagement สูงสุด

กลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง รวม 120,947,555 Engagement คิดเป็น 31.52% จาก 5 ประเด็น คือ ละครพรชีวัน (28,664,783 Engagement), น้องหมีเนยมาสคอตร้าน Butterbear (26,841,751 Engagement), ละครทองประกายแสด (23,737,128 Engagement), ซีรีส์ใจซ่อนรัก (21,045,173 Engagement), ภาพยนตร์วิมานหนาม (20,658,720 Engagement)

กลุ่มเนื้อหาการเมือง 2 ประเด็น จำนวน 53,156,788 Engagement คิดเป็น 13.85% คือ แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี (28,369,606 Engagement), การก่อตั้งพรรคประชาชน (24,787,182 Engagement)

กลุ่มเนื้อหาเทศกาล 1 ประเด็น จำนวน 49,044,641 Engagement คิดเป็น 12.78% คือ เทศกาลวันแม่

กลุ่มเนื้อหาภัยพิบัติ 1 ประเด็น จำนวน 21,454,213 Engagement คิดเป็น 5.59% คือ อุทกภัยภาคเหนือ

 จะเห็นว่า แม้กลุ่มเนื้อหากีฬา จะได้รับ Engagement มากที่สุดในเดือนสิงหาคม 2567 แต่กลุ่มเนื้อหาสื่อ และสิ่งบันเทิง ยังคงเป็นกลุ่มเนื้อหาหลักที่ได้รับ Engagement สูงติด 10 อันดับแรก ในทุก ๆ เดือนที่มีการเก็บข้อมูล ในขณะที่กลุ่มเนื้อหาอื่น ๆ พบว่ามักได้รับความสนใจและสื่อสารในโลกออนไลน์ ตามสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

กลุ่มเนื้อหาที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจำแนกตามผู้สื่อสารและแพลตฟอร์ม

กลุ่มเนื้อหากีฬา มีกลุ่มผู้สื่อสารที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วม หรือมี Engagement มากที่สุด คือ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (41.86%) รองลงมา ได้แก่ ผู้ใช้งานทั่วไป (41.04%), สื่อ สำนักข่าว (15.62%) และอื่น ๆ ได้แก่ แบรนด์ (1.44%) พรรคการเมือง (0.03%) และ ภาครัฐ 0.01% โดยมี TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement มากที่สุดที่ 40.26% รองลงมาได้แก่ Facebook (35.59%), X (11.60%), Instagram (10.00%), YouTube (2.55%)

กลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง มีกลุ่มผู้สื่อสารที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วม หรือมี Engagement มากที่สุด คือ ผู้ใช้งานทั่วไป (63.97%) รองลงมา ได้แก่ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (21.69%), สื่อ สำนักข่าว (13.93%) และ แบรนด์ (0.41%) โดยมี TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement มากที่สุดที่ 39.03% รองลงมาได้แก่ X (26.41%), Facebook (16.30%), Instagram (15.80%), YouTube (2.46%)

กลุ่มเนื้อหาการเมือง มีกลุ่มผู้สื่อสารที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วม หรือมี Engagement มากที่สุด คือสื่อ สำนักข่าว (47.71%) รองลงมา ได้แก่ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (30.00%), ผู้ใช้งานทั่วไป (16.95%) และ อื่น ๆ ได้แก่ พรรคการเมือง (3.77%) นักการเมือง (1.27%) แบรนด์ (0.30%) โดยมี Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement มากที่สุดที่ 35.10% รองลงมาได้แก่ TikTok (34.78%), YouTube (10.98%), Instagram (10.00%), X (9.14%)

กลุ่มเนื้อหาเทศกาล มีกลุ่มผู้สื่อสารที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วม หรือมี Engagement มากที่สุด คือ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (49.85%) รองลงมา ได้แก่ ผู้ใช้งานทั่วไป (41.06%), สื่อ สำนักข่าว (7.01%) และ อื่น ๆ ได้แก่ แบรนด์ (2.03%) ภาครัฐ (0.05%) โดยมี TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement มากที่สุดที่ 51.62% รองลงมาได้แก่ Facebook (25.20%), Instagram (18.78%), X (3.48%), YouTube (0.92%)

กลุ่มเนื้อหาภัยพิบัติ มีกลุ่มผู้สื่อสารที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วม หรือมี Engagement มากที่สุด คือ สื่อ สำนักข่าว (39.91%) รองลงมา ได้แก่ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (32.95%), ผู้ใช้งานทั่วไป (25.34%) และ อื่น ๆ ได้แก่ แบรนด์ (1.24%) พรรคการเมือง (0.52%) ภาครัฐ (0.04%) โดยมี Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement มากที่สุดที่ 42.47% รองลงมาได้แก่ TikTok (39.03%), Instagram (7.51%), X (6.67%), YouTube (4.32%)

กลุ่มผู้สื่อสาร

          ในภาพรวม ช่วงเดือนสิงหาคม 2567 พบว่ากลุ่มผู้สื่อสารที่สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ในสื่อออนไลน์ สามารถแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ ผู้ใช้งานทั่วไป ในสัดส่วน 44.06% ตามด้วย ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (34.38%), สื่อ สำนักข่าว (19.79%), แบรนด์ (1.02%) พรรคการเมือง (0.74%) และ ภาครัฐ (0.01%)

ผู้ใช้งานทั่วไป สามารถสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้มากที่สุดในกลุ่มเนื้อหาสื่อสิ่งบันเทิง โดยส่วนใหญ่เกิดจากการแชร์ภาพน้องหมีเนย, Highlight ละครพรชีวัน, Highlight ซีรีส์ใจซ่อนรัก, และ เบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์วิมานหนาม ในขณะที่กลุ่มเนื้อหาอื่น ๆ ผู้ใช้งานทั่วไปมักเป็นรองผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ สำหรับกลุ่มเนื้อหากีฬาพบว่าผู้ใช้งานทั่วไปมีสัดส่วนน้อยกว่าผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์เพียงเล็กน้อยที่ 0.82% โดยเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการชื่นชมนักกีฬาจากประเทศไทยเช่น เทนนิส พานิภัค, โค้ชเช ชัชชัย, วิว กุลวุฒิ, ฟ่าง ธีรพงศ์ เป็นต้น รวมไปถึงการร่วมชื่นชมนักกีฬาต่างชาติ เช่น ฉวนหงฉาน นักกีฬากระโดดน้ำชาวจีนที่สร้างสถิติได้คะแนนเต็ม เป็นต้น

กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงสุดในกลุ่มเนื้อหากีฬา โดยการโพสต์ของนักกีฬา เช่น เทนนิส พานิภัค ซึ่งได้ขอบคุณชาวไทยที่ให้กำลังใจจนสามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกสมัยที่ 2 พร้อมทั้งโชว์เข็มที่ระลึกที่แลกได้จากนักกีฬาประเทศต่าง ๆ รวมถึงการโพสต์ของผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์สายกีฬา เช่น วาทะ ลูกหนัง –Football Quotes-, วิเคราะห์บอลจริงจัง เป็นต้น ที่ได้แสดงความยินดีกับนักกีฬาที่ได้รับเหรียญในโอลิมปิก นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ ยังมีบทบาทในการสร้าง Engagement สูงในกลุ่มเนื้อหาเทศกาลวันแม่ ส่วนใหญ่มาจากการโพสต์คอนเทนต์เกี่ยวกับแม่ เช่น พาแม่เที่ยวเนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ, การระลึกถึงพระคุณของแม่ เป็นต้น จาก อาลี่ก๋งง, หมอโบ หมอรักษาช้าง, เก๋ วรรณ์ฐกานต์ เป็นต้น  

สื่อ สำนักข่าว สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงสุดในกลุ่มเนื้อหาการเมือง จากการรายงานสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม ตัวอย่างข่าวที่ได้รับ Engagement สูง เช่น สำนักข่าวไทยรัฐจากข่าวทักษิณ ชินวัตร สวมกอด แพทองธาร ชินวัตร ก่อนรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี, อมรินทร์ทีวีลงข่าว จตุพร พรหมพันธุ์ วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองหลัง แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นต้น เช่น

นอกจากนี้ สื่อ สำนักข่าวยัง ยังมีบทบาทในการสร้างการมีส่วนร่วมมากที่สุดในกลุ่มเนื้อหาภัยพิบัติ คืออุทกภัยในภาคเหนือ เช่น การแจ้งเตือนอุทกภัย การรายงานสถานการณ์อุทกภัยภาคเหนือ เช่น เรื่องเล่าเช้านี้ รายงานข่าวนักเรียนหนีน้ำท่วมขึ้นบนอาคารเรียน, การรายงานข่าวการให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยของผู้มีชื่อเสียง เช่น ไทยรัฐรายงานข่าว ก้อง ห้วยไร่ ลุยน้ำท่วมให้กำลังใจพี่น้องผู้ประสบอุทกภัย เป็นต้น

ส่วนกลุ่มผู้สื่อสารอื่น ๆ ได้แก่ แบรนด์, พรรคการเมือง และ ภาครัฐ  พบว่า ในภาพรวมสร้าง Engagement ได้น้อยกว่า 3 กลุ่มแรก แต่ก็มีส่วนในการสร้างการมีส่วนร่วม ในกลุ่มเนื้อหาการเมือง และภัยพิบัติ  แม้จะไม่ได้เป็นผู้สื่อสารหลัก ยกตัวอย่างเช่น ในประเด็นอุทกภัยในภาคเหนือ พบว่า แม้ภาครัฐ สื่อสารสร้าง Engagement ได้น้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ  แต่ 2 หน่วยงานในกลุ่มภาครัฐที่มีบทบาทในการสื่อสารช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เตือนให้ระวังมิจฉาชีพซึ่งมาในรูปแบบการรับบริจาค, ศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองพันปฏิบัติการจิตวิทยา ในกองทัพบก โพสต์ภาพการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม เป็นต้น

 

แพลตฟอร์มการสื่อสาร

          จากการสำรวจ 10 อันดับประเด็นที่ได้รับความสนใจสูงสุดในโลกออนไลน์ช่วงเดือนสิงหาคม 2567 ในภาพรวมพบว่าแพลตฟอร์มที่สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) มากที่สุดเรียงตามลำดับคือ TikTok ซึ่งมีสัดส่วน 40.50% ตามด้วย Facebook 28.50%, X 14.61%, Instagram 12.81% และ YouTube 3.58%

 เมื่อพิจารณารายแพลตฟอร์ม พบว่า

TikTok ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) สูงที่สุดอย่างต่อเนื่องจากเดือนกรกฎาคม ในกลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง สาเหตุมาจากความนิยมในเนื้อหาวิดีโอที่ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ชื่นชอบในเดือนนี้ เช่น การเปิดประวัตินักกีฬาโอลิมปิก การรีวิวเข็มที่ระลึกที่นักกีฬาไทยแลกกับนักกีฬาประเทศต่าง ๆ และคลิปน้องหมีเนยเต้น ซึ่ง TikTok สามารถตอบโจทย์การสื่อสาร และสร้าง Engagement จากคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอสั้นได้ดีกว่าแพลตฟอร์มอื่น

ขณะที่แพลตฟอร์ม X พบว่า เด่นในกลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง สามารถสร้าง Engagement ได้ดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของซีรีส์ใจซ่อนรัก ซึ่งมีการสร้าง Engagement บนแพลตฟอร์ม X สูงถึง 55.96% ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการสื่อสารหรือแสดงความสนใจในเรื่องเฉพาะเจาะจง เช่น ดารา นักแสดงวัยรุ่น คอนเสิร์ต หรือซีรีส์ที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางเพศ หรือเนื้อหาที่ต้องการความสดใหม่และการสื่อสารแบบเรียลไทม์ จากกลุ่มแฟนคลับละคร หรือแฟนคลับนักแสดงที่ชื่นชอบละครแนวแซฟฟิค หรือ หญิงรักหญิง  

Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่สื่อมักใช้ในการรายงานข่าวในกลุ่มเนื้อหาการเมือง และ ภัยพิบัติ เนื่องจากทั้งสองประเด็นจำเป็นต้องมีสื่อหรือนักข่าวที่ลงพื้นที่เป็นตัวกลางในการสื่อสารเพื่อรายงาน รวมถึงการวิเคราะห์ที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์เพื่อความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ต้องการนำเสนอ และ Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่มีรูปแบบ การนำเสนอที่หลากหลาย ทั้งภาพ วิดีโอ ตัวอักษร วิดีโอสั้น เป็นต้น ส่งผลให้ผู้ใช้งานสังคมออนไลน์มักเลือกติดตามสถานการณ์ผ่านสื่อ และ สำนักข่าวมากกว่าการสร้างคอนเทนต์ด้วยตนเอง  

Instagram สร้าง Engagement ได้สูง ในกลุ่มเนื้อหา สื่อ สิ่งบันเทิง และ กีฬา เนื่องจากเป็นช่องทางที่สามารถแบ่งปันภาพถ่ายได้ดีที่สุด ทำให้ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่เลือกใช้มากที่สุดในทุกกลุ่มเนื้อหา  เช่น การแชร์ภาพเบื้องหลังละครของกลุ่มนักแสดง หรือการแบ่งปันภาพกิจกรรมของนักกีฬาที่เข้าแข่งขันโอลิมปิก เป็นต้น

YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement ได้สูงจากกลุ่มเนื้อหา การเมือง โดยเฉพาะจากสื่อ สำนักข่าว สาเหตุมาจากความน่าเชื่อถือของข่าว และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลของสำนักข่าวที่ทำได้ดีกว่ากลุ่มผู้สื่อสารอื่น ๆ อีกทั้งการสร้างวิดีโอในช่องทาง YouTube จำเป็นต้องมีทักษะและเงินทุนมากกว่าแพลตฟอร์มอื่น ส่งผลให้สื่อ สำนักข่าว ที่มีต้นทุนมากกว่าผู้สื่อสารอื่นสามารถสร้าง Engagement ได้เป็นสูง

กล่าวโดยสรุป การสื่อสารออนไลน์ของเดือนสิงหาคม 2567 ในภาพรวม 10 อันดับแรก พบว่า กลุ่มเนื้อหา กีฬา ได้ความสนใจสูงที่สุดคิดเป็นสัดส่วนที่ 36.26% จากประเด็น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 (อันดับ 1) ตามด้วย กลุ่มเนื้อหา สื่อสิ่งบันเทิง คิดเป็นสัดส่วนที่ 31.52%  จาก 5 ประเด็น ได้แก่ ละครพรชีวัน (อันดับ 3) น้องหมีเนยมาสคอตร้าน Butterbear (อันดับ 5) ละครทองประกายแสด (อันดับ 7)  ซีรีส์ใจซ่อนรัก (อันดับ 9)  และภาพยนตร์วิมานหนาม (อันดับ 10)

นอกจากนี้ ยังพบกลุ่มเนื้อหาเทศกาล คิดเป็นสัดส่วนที่ 12.78% จากประเด็นเทศกาลวันแม่ (อันดับ 2)  กลุ่มเนื้อหาการเมือง คิดเป็นสัดส่วนที่ 13.85% จาก 2 ประเด็นคือ แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี (อันดับ 4) การก่อตั้งพรรคประชาชน (อันดับ 6) ขณะที่กลุ่มเนื้อหาภัยพิบัติ คิดเป็นสัดส่วนที่ 5.59% จาก 1 ประเด็น คือ อุทกภัยภาคเหนือ (อันดับ 8)   

“น้องหมีเนย” เริ่มแผ่ว แต่กระแส “ละคร” “คู่จิ้น” ยังมาแรง 

แม้น้องหมีเนยมาสคอตร้าน Butterbear ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่ากระแสเริ่มลดลง จากที่เคยติดอันดับ 1 ต่อเนื่องในสองเดือนก่อนหน้า ตกมาอยู่ในอันดับ 5 ในเดือนสิงหาคมนี้ โดย Engagement ส่วนใหญ่มาจากโพสต์ของกลุ่มแฟนคลับดาราที่ร่วมงานกับน้องหมีเนย ส่วนในแง่ลักษณะการสื่อสาร พบว่า ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการแบ่งปันภาพและวิดีโอของน้องหมีเนยจากกลุ่ม “มัมหมี” รวมถึงการร่วมเต้นหรือร่วมกิจกรรมกับศิลปินอื่น ๆ

ความนิยมในซีรีส์ใจซ่อนรัก ซึ่งเป็นคอนเทนต์แนวหญิงรักหญิง ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ใน 10 อันดับความสนใจตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงเทรนด์ความนิยมและแนวโน้มความสนใจ การสื่อสาร และการสร้างการมีส่วนร่วมของกลุ่มแฟนละคร ภาพยนตร์ และซีรีส์แนวหญิงรักหญิงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  นอกจากนี้ ยังมีภาพยนตร์เรื่องวิมานหนาม รวมถึงละครเรื่องพรชีวัน และทองประกายแสด ที่ติด 10 อันดับแรกในเดือนนี้เช่นกัน โดยในภาพรวมจะเห็นว่า ในกลุ่มเนื้อหาบันเทิง ผู้ใช้งานทั่วไปคือกลุ่มผู้ที่มีบทบาทสร้าง Engagement สูงสุด โดยเฉพาะจากกลุ่มแฟนคลับหรือติดตามละคร ดารา และนักแสดง  โดยมี TikTok เป็นแพลตฟอร์มการสื่อสารที่สำคัญ

ไทยได้นายกฯ ใหม่ สู่การสื่อสารและความสนใจเรื่องการเมืองที่เพิ่มขึ้น

จากการสำรวจยังพบว่า ประเด็นเรื่องการเมืองกลับมาติด 1 ใน 10 อันดับความสนใจอีกครั้งในเดือนสิงหาคม (นับจากกรณีพิธากลับเข้าสภา ที่ติดอันดับ 4 ในเดือนมกราคม และประเด็นการผ่านร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมฯ ที่ติดอันดับ 9 ในเดือนมิถุนายน) โดยมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย 2 เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยน ได้แก่ การที่แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และการก่อตั้งพรรคประชาชน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจาก การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญที่ปลดเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งหมด ส่งผลให้สังคมออนไลน์กลับมาสนใจในประเด็นทางการเมืองอีกครั้ง  โดยพบว่า สื่อสำนักข่าวเป็นผู้สร้าง Engagement ในกลุ่มเนื้อหาเรื่องการเมืองมากที่สุด รองมาเป็น ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ และประชาชนทั่วไป โดยมี Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement มากที่สุดผ่านกลุ่มสื่อ สำนักข่าว รองลงมาได้แก่ TikTok ที่มีสัดส่วนที่ห่างกันเพียงเล็กน้อย

วันแม่ 67 ติด 10 อันดับแรกอีกครั้ง

ประเด็นวันแม่มีความน่าสนใจที่สามารถสร้าง Engagement ได้สูง จากการแบ่งปันเนื้อหาที่เกี่ยวกับแม่ทั้งจากผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์และผู้ใช้งานทั่วไป ทำให้ได้รับความสนใจจากสังคมออนไลน์ เช่นเดียวกับเมื่อปี 2565 แต่ในปี 2566 ประเทศไทยมีการตื่นตัวในประเด็นทางการเมืองอย่างมาก แม้ผ่านการเลือกตั้งทั่วไปตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม แต่กว่าจะได้นายกรัฐมนตรีก็ล่วงเลยถึงเดือนสิงหาคม  ส่งผลให้วันแม่ไม่ติด 10 อันดับในเดือนสิงหาคม 2566 สำหรับเดือนสิงหาคม 67 กลุ่มเนื้อหาเทศกาล หรือประเด็นวันแม่ มีผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์สร้าง Engagement สูงสุด ซึ่งต่างจากอันดับที่ 2 ผู้ใช้งานทั่วไปไม่มาก โดยเนื้อหาจะเป็นการโพสต์แสดงความกตัญญูต่อแม่ เช่น การดูแลแม่ การพาแม่เที่ยว เป็นต้น โดยมี TikTok เป็นแพลตฟอร์มสื่อสารหลัก

โอลิมปิก 2024 ครองความสนใจในอันดับ 1

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ลักษณะของโพสต์ในเดือนสิงหาคมนี้เน้นไปที่การสรุปประวัติของนักกีฬาเหรียญทอง การให้กำลังใจนักกีฬา การแลกเข็มที่ระลึกระหว่างนักกีฬาต่างชาติ เช่น เทนนิส พาณิภัคแลกเข็มที่ระลึกกับนักกีฬาชาวสเปน, เทนนิส พาณิภัคประกาศเลิกเล่นทีมชาติและขอบคุณชาวไทยที่ส่งกำลังใจ เป็นต้น ทั้งนี้ จะเห็นว่า กลุ่มเนื้อหากีฬา หรือประเด็นเรื่องโอลิมปิก 2024 ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์สร้าง Engagement สูงสุด เช่น นักกีฬา และ เพจที่เกี่ยวข้องกับกีฬา รวมถึงผู้มีอิทธิพลที่โพสต์แสดงความยินดีกับนักกีฬาโอลิมปิก ตามด้วยผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งมีสัดส่วนห่างกันเพียงเล็กน้อย โดยมี TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถสร้าง Engagement ที่สำคัญ

สื่อฯ สร้าง Engagement ในประเด็นน้ำท่วมภาคเหนือ ได้มากกว่าภาครัฐ

ส่วนประเด็นอุทกภัยภาคเหนือ ได้รับความสนใจ  เนื่องจากเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นวงกว้าง อีกทั้งยังเป็นสถานการณ์ที่ต้องการความร่วมมือ และแนวทางการจัดการแก้ไขปัญหาจากหลายฝ่ายอย่างเร่งด่วน สถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือจึงได้รับความสนใจจากสังคมและมีการรายงานจากสื่อ สำนักข่าว อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการติดตามสถานการณ์อุทกภัย การแจ้งเตือนพื้นที่น้ำท่วมจากทางภาครัฐ และการเปิดพื้นที่รับบริจาคสิ่งของให้แก่ผู้ประสบภัยจากองค์กรต่าง ๆ 

ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่าในประเด็นอุทกภัยทางภาคเหนือ ในช่วงเดือนสิงหาคม 2567 มีสื่อสำนักข่าวเป็นผู้สร้าง Engagement มากที่สุด รองมาเป็นผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ และประชาชนทั่วไป ในขณะที่ภาครัฐสามารถสร้าง Engagement ได้น้อยที่สุด ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นถึง ข้อจำกัดบางอย่างในการสื่อสารของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น การใช้ภาษาและวิธีการสื่อสารที่เป็นทางการจนเกินไป เป็นต้น หรืออาจเป็นไปได้เช่นกันที่โลกออนไลน์มักเลือกรับสาร หรือมีส่วนร่วมกับข้อมูลเรื่องน้ำท่วมจากสื่อ สำนักข่าว ซึ่งอาจมีรูปแบบการนำเสนอที่เข้าใจง่าย หรือด้วยการนำเสนอที่เร้าอารมณ์และสร้างความสนใจได้มากกว่าการนำเสนอโดยผู้สื่อสารภาครัฐ สำหรับแพลตฟอร์มการสื่อสาร พบว่า ประเด็นเรื่องน้ำท่วม มี Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement สูงสุด รองลงมาได้แก่ TikTok  ตามด้วย Instagram ซึ่งมีสัดส่วน Engagement ที่น้อยกว่าค่อนข้างมาก

ประเด็นที่ไม่ติด 10 อันดับแรก และแนวโน้มความสนใจในช่วงปลายปี

นอกจากนี้ จากการสำรวจข้อมูลในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 ยังพบว่ามีประเด็นเชิงสังคมและข่าวใหญ่อื่น ๆ ที่แม้จะไม่ติด 10 อันดับแรก แต่อยู่ในช่วงชั้นความสนใจในอันดับที่ 11-20 ตัวอย่างเช่น การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งปลดนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน เนื่องจากละเมิดมาตรฐานทางจริยธรรมในการแต่งตั้งรัฐมนตรี (อันดับที่ 12), การยุบพรรคก้าวไกล (อันดับที่ 13), การตั้งคำถามถึงความโปร่งใสและอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ (อันดับที่16), การลงทะเบียนรับเงินดิจิทัลผ่านแอปทางรัฐ (อันดับที่ 18) และกรณีเครื่องบินตกที่ฉะเชิงเทรา (อันดับที่ 20)  เป็นต้น 

ข้อมูลข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าความสนใจในโลกออนไลน์ที่ติด 10 อันดับแรก มักเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสื่อ สิ่งบันเทิง กีฬา เทศกาล หรืออื่น ๆ ที่ไม่ซับซ้อน ขณะที่ประเด็นเชิงสาธารณะ ที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือข่าวใหญ่ที่มีลักษณะซับซ้อน ส่งผลกระทบต่อสังคม มักได้รับ Engagement น้อยกว่า ซึ่งเป็นลักษณะเทรนด์ที่สังเกตได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ซึ่งมีความแตกต่างจากปี 2566 ที่กลุ่มเนื้อหาทางการเมืองมีสัดส่วน Engagement มากกว่ากลุ่มเนื้อหาอื่น ๆ แต่ก็เริ่มมองเห็นเค้าลางความสนใจสื่อสารเรื่องการเมืองที่เพิ่มมากขึ้นในโลกออนไลน์ ทั้งนี้ จากสถานการณ์ความพลิกผันทางการเมืองที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2567 ที่อาจส่งผลให้ประเด็นทางการเมืองกลับมาติดอันดับมากขึ้นในช่วงปลายปี ควบคู่กับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งเริ่มจากเหตุการณ์น้ำท่วมทางภาคเหนือของประเทศไทย ในขณะที่กลุ่มผู้สื่อสารที่สำคัญในโลกออนไลน์ ยังคงเป็น 3 กลุ่มแรก ได้แก่ ผู้ใช้งานทั่วไป กลุ่มผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงสื่อ สำนักข่าว โดยมีแพลตฟอร์ม TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่โดดเด่นในการสร้างการมีส่วนร่วมได้ดี ในเกือบทุกกลุ่มเนื้อหา 

หรือ “สำนักข่าว” จะไม่จำเป็นอีกต่อไป? เมื่อ “อินฟลูเอนเซอร์” เสียงดังกว่า

“สำนักข่าว” ยังจำเป็นอยู่ไหม ต่อการเผยแพร่ข่าวสารบนโลกออนไลน์ เมื่อข้อมูลปรากฎว่า ในระยะหลังเหล่า
“อินฟลูเอนเซอร์” กลับสร้าง impact ในการสื่อสารได้มากก

เคยสังเกตกันไหมว่า ข่าวดัง ข่าวใหญ่ ข่าวที่กลายเป็นไวรัลระดับ Talk of the Town ในช่วงหลายปีหลัง มาจากแหล่งข้อมูลไหนมากกว่ากัน ระหว่างองค์กรสื่อมวลชนอาชีพที่เรียกตัวเองว่า “สำนักข่าว” หรือผู้มีชื่อเสียง มีอิทธิพล มีตัวตนบนโลกออนไลน์ ที่มักถูกเรียกแบบเหมารวมว่าเหล่า “อินฟลูเอนเซอร์” นี่เป็นคำถามตัวโต ๆ ในวงการสื่อฯ ไทยเหมือนกันว่า สิ่งที่เรียกว่าบทบาทหรืออิทธิพลในการ set agenda หรือการกำหนดหัวข้อสนทนาในสังคมของสำนักข่าว -โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์- มีลดน้อยถอยลงไปหรือไม่ และหากสถานการณ์เป็นไปดังคำถามข้างต้นจริง องค์กรที่มีอาชีพในการผลิตข้อมูลข่าวสารถ่ายทอดให้สาธารณชน ..อย่างสำนักข่าว จะดำรงอยู่ต่อไปอย่างไร ทั้งในด้านความสำคัญเชิงวิชาชีพและในด้านการอยู่รอดทางธุรกิจ

สื่อฯ มีอิทธิพลน้อยกว่าอินฟลูฯ จริงไหม

อิทธิพลของสำนักข่าวมีน้อยลงจริงหรือไม่? ก่อนจะไปสู่บทวิเคราะห์ถึงสาเหตุและทางรอด เราควรมาหาคำตอบในเรื่องนี้กันก่อน

SpringNews ได้รับข้อมูลงานการศึกษาการสื่อสารทางสื่อสังคมออนไลน์ของสังคมไทย โดย Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ Wisesight ผู้ให้บริการรวบรวมข้อมูลบนโซเชียลมีเดีย ที่สำรวจ engagement (การมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาของโพสต์นั้น ๆ เช่น ไลก์ คอมเมนต์ แชร์ ฯลฯ) ต่อประเด็นข่าวต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ที่เป็น top 10 ในแต่ละเดือน บนแพลตฟอร์มหลัก ทั้งเฟซบุ๊ก ยูทูบ ทวิตเตอร์(เอ็กซ์) อินสตาแกรม และติ๊กต๊อก ตั้งแต่ปี 2565 – ปัจจุบัน แล้วพบข้อมูลที่น่าสนใจ เพราะข้อมูลที่ได้มาให้ภาพค่อนข้างชัดว่า โดยทั่วไป คอนเทนต์ต่างๆ ที่มาจากอินฟลูฯ จะ “เสียงดัง” กว่าสำนักข่าว เช่น ในปี 2566 จาก 13 ประเด็นคอนเทนต์ข่าวที่ผู้คนสนใจซึ่ง Wisesight สำรวจมา มีถึง 7 ประเด็นที่ engagement จากสำนักข่าวมีน้อยกว่าอินฟลูฯ
ส่วนในปี 2567 ผลสำรวจก็ไปในทางทิศทางเดียวกัน เฉพาะครึ่งปีแรก ผลออกมาดังนี้

  •  ในเดือน ม.ค.- เม.ย. 2567 หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 สำนักข่าวมีอิทธิพลลดลง โดยสร้าง engagement บนโลกออนไลน์ได้เพียง 10.2% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ได้ 12.2% (อันดับสาม) น้อยกว่าอินฟลูฯ
    ที่ได้เพิ่มเป็น
    32.9% จากปีก่อนที่ได้ 12.8% (อันดับสอง) ขณะที่ผู้ใช้งานทั่วไป อยู่ที่ 55.8% จากปีก่อนที่ได้ 71.3% (อันดับหนึ่ง)
  • ในเดือน พ.ค. 2567 สำนักข่าวสร้าง engagement บนโลกออนไลน์ได้แค่ 2.5% น้อยกว่าอินฟลูฯ 67.1% (อันดับหนึ่ง) และผู้ใช้งานทั่วไป 30.5 % (อันดับสอง)
  • ในเดือน มิ.ย. 2567 สำนักข่าวสร้าง engagement บนโลกออนไลน์ได้แค่ 4.5% น้อยกว่าอินฟลูฯ 29.3% (อันดับสอง) และผู้ใช้งานทั่วไป 65.9% (อันดับหนึ่ง)

 กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดย Media Alert และ Wisesight เคยตั้งข้อสังเกตถึงปรากฎการณ์เหล่านี้ไว้ในรายงานการศึกษาการสื่อสารออนไลน์ของสังคมไทยในปี 2565 ที่แม้ครั้งนั้นจะไม่ได้แยก engagement ว่ามาจาก “ผู้ส่งสาร” ใด (สำนักข่าว อินฟลูฯ หรือบุคคลทั่วไป) แต่ก็ตั้งข้อสังเกตนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อเปรียบเทียบกับแบบจำลองการสื่อสารเดิม ที่สารจะถูกส่งต่อผ่านทางช่องทางการสื่อสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารทางเดียวแบบเส้นตรง จะเห็นว่ากลไกการสื่อสารในยุคนี้ ทุกตัวแปรถูกเชื่อมเข้าถึงกันทุกส่วน

“สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือสื่อหลัก (mass media), ผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ (KOL & Influencer) และบุคคลทั่วไป ต่างเป็นได้ทั้งผู้รับสารและส่งสารในคนเดียวกัน และ algorithm มีส่วนสำคัญในการกำหนดวาระข่าวสารของสังคม”

เหตุผลที่ทำให้สำนักข่าวมาถึง “จุดนี้”

ผศ.ดร.สกุลศรี ศรีสารคาม จากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า เหตุผลที่คอนเทนต์จากอินฟลูฯ สามารถสร้าง engagement มากกว่าสำนักข่าว ไม่ใช่แค่วิธีเล่าเรื่องที่แตกต่างเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความลึกในบางเรื่องจนไม่ต่างจาก expert ทำให้ผู้บริโภคได้ข้อมูลอะไรที่อยากรู้จริง ๆ จึงหันไปตามข่าวจากเหล่าอินฟลูฯ มากกว่าสำนักข่าว

 ขณะที่นายสมคิด พุทธศรี บรรณาธิการบริหาร The101.world มองว่า ความเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์มเองก็มีส่วน อย่างเช่นช่วง 7-8 ปีก่อน ที่เกิดสำนักข่าวออนไลน์ใหม่ ๆ (ที่วงการสื่อฯ ไทยมักเรียกกันรวม ๆ ว่า สื่อตระกูล the) เฟซบุ๊กซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักในการนำเสนอข่าวสารทางโลกออนไลน์ก็ยังไม่ mass เช่นปัจจุบัน ทำให้สามารถนำเสนอคอนเทนต์ที่ตอบสนองความต้องการข้อมูลข่าวสารของคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ แต่ในปัจจุบัน เมื่อเฟซบุ๊ก mass ขึ้น สำนักข่าวออนไลน์จึงมีพื้นที่น้อยลง แตกต่างจากเหล่าอินฟลูฯ ที่ทำคอนเทนต์เข้าถึงคนได้ mass กว่า ข้อเสียของการที่สำนักข่าวมีอิทธิพลน้อยกว่าอินฟลูฯ มีอะไรบ้าง ผศ.ดร.สกุลศรีมองว่า จะทำให้สังคมไทยเต็มไปด้วยความเห็น (opinion) มากกว่าข้อเท็จจริง (fact) ในขณะที่ข้อดีของสำนักข่าวที่ยังมีมากกว่าอินฟลูฯ คือความรอบด้าน

 “การมีอยู่ของสำนักข่าว เป้าหมายสำคัญมาก ๆ คือทำให้คน make sense (มีเหตุมีผล) กับสิ่งรอบตัวอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งการจะมีเหตุมีผลได้ เราจะต้องได้หลายชุดข้อมูล เพื่อมาประติดประต่อเรื่องราวจากหลากหลายมุม สํานักข่าวจึงมีความจําเป็นยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีก” ผศ.ดร.สกุลศรีกล่าว

 อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า อินฟลูฯ จะมีอิทธิพลมากกว่าสำนักข่าวใน “ทุกประเภทคอนเทนต์” เพราะจากการสำรวจของ Wisesight เอง มีบางประเด็นที่สำนักข่าวยังทำได้ดี สร้าง engagement ได้มากกว่าอินฟลูฯ หรือบุคคลทั่วไป เช่น คอนเทนต์เกี่ยวกับอาชญากรรม, สัตว์เลี้ยง, คมนาคม, ศาสนา ความเชื่อ ไปจนถึงคอนเทนต์เกี่ยวกับการเมือง ในบางช่วงเวลา สอดคล้องกับความเห็นของนายสมคิดที่ว่า ในบางประเด็น เช่น การเมืองหรือภัยพิบัติต่าง ๆ สำนักข่าวออนไลน์ก็ยังพอมีพื้นที่อยู่ แต่ถ้าเป็นประเด็นเชิงสังคมหรือดราม่าต่าง ๆ สำนักข่าวก็อาจจะไม่ได้มีบทบาทเท่ากับอินฟลูฯ ธรรมชาติมันก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว” บรรณาธิการบริหาร The101.world  รายนี้ระบุ

ทางรอดของสำนักข่าว

หนึ่งในคำพูดหลักที่สำนักข่าวคิดกันว่าจะเป็นทางรอดในยุคปัจจุบัน ก็คือการสร้าง community หรือหาแฟนคลับที่เหนียวแน่น เป็น loyalty fan ที่จะสามารถแปรเป็นรายได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งการจะสร้างสิ่งนั้นได้ นอกจากจะต้องลงทุนกับผู้อ่านแล้ว ตัวสำนักข่าวเองยังจะต้องมีความพิเศษ เป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” (speciallist) ในบางเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแนวคอนเทนต์, วิธีนำเสนอ ไปจนถึงน้ำเสียงหรือแง่มุมในการนำเสนอ

ผศ.ดร.สกุลศรีมองว่า สำนักข่าวที่อยากได้ audience ก้อนใหญ่เมื่อสมัยก่อนคงจะเป็นไปได้ยากแล้ว แต่เราสามารถสร้าง audience ที่ภักดีกับเราให้มีก้อนใหญ่พอ

การเน้น specialist จะมีโอกาสในระยะยาว โอเค มันอาจจะไม่เกิดใน 2-3 ปีข้างหน้า แต่มันเห็นผลแน่ถ้าจะอยู่ได้อย่างยั่งยืน เพราะถ้าจะเล่นแต่เรื่องเทรนด์ มันก็จะไปแข่งสนามเดียวกับเหล่า content creator

สำนักข่าวยุคนี้ อยู่กลางๆ ไม่รอด มันจะต้องเด่นไปสักด้าน” ผศ.ดร.สกุลศรี ระบุ

อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ รายนี้ ยังให้ข้อแนะนำอีกเรื่องว่า สิ่งที่สำนักข่าวควรทำคือกลับไปปรับปรุงช่องทาง official ของตัวเองอย่าง “เว็บไซต์” ให้ดี เพราะทุกวันนี้ สำนักข่าวต่างรู้กันดีว่า algorithm ของแพลตฟอร์มมันโหด ทั้งลดการมองเห็นและทำให้หารายได้ยากขึ้น

ด้านนายสมคิด ในฐานะบรรณาธิการบริหาร The101.world สื่อออนไลน์ที่มีฐานะแฟนคลับเหนียวแน่นโดยเฉพาะแวดวงวิชาการ ก็ระบุว่า อย่าง The101.world ก็มีกลุ่มคนอ่านค่อนข้างเฉพาะ เราเรียกว่าเป็นกลุ่ม serious reader ก็เลยวางตัวเองไว้ว่า จะทำคอนเทนต์ให้คนที่เป็นอินฟลูฯ นำไปเล่าต่อ ทำงานต้นทางให้คนเอาไปใช้อ้างอิงต่อ คือเราไม่จำเป็นต้อง mass ด้วยตัวเอง โมเดลธุรกิจของ The101.world  ก็ไม่ได้วางตัวให้ mass มาตั้งแต่แรก แต่เราจะช่วยเชฟโจทย์ในการสื่อสารให้กับ partner ด้วยการ set agenda บางอย่าง ให้เกิดการถกเถียงในเชิงนโยบายว่าเราควรจะผลักดันต่อไปยังไง

“สิ่งที่จะบอกกับทีมเสมอในการทำงาน จะมี 3 อย่าง คือ first, best หรือ difference คือถ้าเราไม่ใช่คนแรก ก็ต้องดีที่สุด ถ้าไม่ดีที่สุดอีกก็ต้องแตกต่าง ซึ่งถ้าสื่อฯ ทำงานได้บนฐาน 3 อย่างนี้ ก็จะมีคุณค่าในตัวเอง” นายสมคิดกล่าว

ทั้ง 2 คนยังเสนอความเห็น ทางรอดที่จะวิน-วิน ทั้งอินฟลูฯ และสำนักข่าว

ผศ.ดร.สกุลศรี : ถ้าสังเกตดีๆ อินฟลูฯ บางส่วนก็นำคอนเทนต์จากสำนักข่าวไปใช้ฟรี น่าจะลองหาวิธี partnership ในการแบ่งรายได้ คุณใช้คอนเทนต์ที่มีลิขสิทธิ์ของเราได้แต่ให้นำรายได้มาแบ่งกัน อีกวิธีคือร่วมมือกัน set agenda บางอย่างร่วมกัน แบ่งบทกันเล่น ช่วยกันผลักดันบางประเด็น นี่คือทางรอดทั้งในเชิงบทบาทและความอยู่รอด เราเป็นคนที่เชื่อมั่นว่าสำนักข่าวยังจำเป็น และสามารถกำหนดวาระของสังคมได้” ผศ.ดร.สกุลศรีกล่าว

นายสมคิด : อ.ปกป้อง จันวิทย์ ผู้ก่อตั้ง The101.world เคยเขียนบทความเกี่ยวกับ The New York Times สำนักข่าวชื่อดังของสหรัฐอเมริกาซึ่งปรับตัวสำเร็จจนเป็นโมเดลให้กับหลายสื่อทั่วโลกนำไปศึกษาว่า วิธีที่สื่อฯ จะอยู่รอดจากการถูก disrupt ได้ คือ “สื่อฯ ต้องทำตัวให้เป็นสื่อฯ” เพราะเมื่อไรก็ตามไปเลือกหาเงินด้วยวิธีอื่นแล้ว คุณค่าของความเป็นสื่อฯ ก็จะหายไป

สื่อฯ ไม่มีทางหายไป เพราะยังไงก็ต้องมีคนทำข่าวมือแรก ให้อินฟลูฯ ไปเล่าต่อ เพียงแต่คนที่อยู่รอดจะเป็นสื่อฯ ไหนบ้าง ก็เป็นอีกเรื่องนะครับ” นายสมคิดทิ้งท้าย

คุณภาพข่าวการเมืองเรื่องนโยบายของรัฐ “คนแค่รู้ หรือ ตรวจสอบได้” สื่อนำเสนออย่างไร?

Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ นักวิชาการจากกลุ่ม Thai Media Lab
เปิดข้อเสนอต่อ “การรายงานข่าวการเมืองที่มีคุณภาพทางวิชาชีพสื่อและสร้างประโยชน์ต่อสังคม” จากการศึกษาวิเคราะห์การรายงานข่าวข้าว 10 ปี ของ 13 ช่องทีวีดิจิทัล และ 13 สำนักข่าวออนไลน์ จำนวน 1,576 ข่าว พบว่าสำนักข่าวกำหนดข่าวสาร เปิดพื้นที่ความคิดเห็น เพื่อจุดประเด็นตั้งคำถาม พยายามอธิบาย แต่ยังมีสัดส่วนหลักเป็นเพียงการรายงานตามสถานการณ์ที่แหล่งข่าวให้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติม แหล่งข่าวที่ใช้ในการรายงานข่าวมาจาก “รัฐบาล” เป็นหลัก และมีการเปิดพื้นที่ความเห็นต่างเพื่อตั้งข้อสงสัย ได้ดี แต่การอธิบาย-เจาะลึก-ตรวจสอบยังน้อย ทั้งนี้ในภาพรวมข่าวที่นำเสนอมีคุณภาพในมิติของประโยชน์ในการช่วยเกาะติดสถานการณ์มากที่สุด
รองลงมา คือ ได้ตรวจสอบการทำงานการเมือง ตามมาด้วยข่าวทำให้ผู้รับสารรับข้อมูลอย่างมีเหตุผลและเข้าใจเหตุการณ์ได้

ข่าวข้าว 10 ปี เป็นประเด็นข่าวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวประเด็นนี้พร้อมเชิญนักข่าวลงพื้นที่โกดังเก็บข้าวเพื่อพิสูจน์ว่าข้าวที่อยู่ในโครงการรับจำนำข้าวมีคุณภาพเพื่อการบริโภคได้ และพร้อมประมูลข้าวส่วนนี้ประมาณ 15,000 ตัน ให้กับเอกชน

ข่าวนี้จึงกลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ ทั้งในมิติคุณภาพของข้าว มิติความเชื่อมั่นในภาพลักษณ์การเป็นผู้นำของการส่งออกข้าวรายใหญ่ของไทย ตลอดจนมิติทางการเมืองต่างๆ ที่ผูกพันกัน  

ข่าวข้าว 10 ปี จึงเป็นประเด็นที่สื่อควรมีการตั้งคำถามและตรวจสอบอย่างรอบด้าน และนำเสนอข้อมูลที่ทำให้สังคมช่วยกันตรวจสอบและเข้าใจบริบทของสถานการณ์ข้าว 10 ปีในปัจจุบันเชื่อมโยงบริบทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ จึงมีความสำคัญต่อการวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อเห็นแนวทางการกำหนดวาระข่าวสารและรูปแบบการนำเสนอข่าวการเมืองจากรูปธรรมการนำเสนอข่าวข้าว 10 ปีของสื่อมวลชนที่เป็นหน่วยการศึกษา

ช่วงเวลาที่ศึกษา

เก็บหน่วยการศึกษาระหว่างวันที่ 6 พฤษภาคม 2567 – 20 มิถุนายน 2567 ครอบคลุมเหตุการณ์สำคัญ คือ

6 พฤษภาคม ที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ตรวจสอบ ข้าว สารในสต็อกของรัฐบาลตามโครงการรับจำนำ

17 มิถุนายน ยื่นซองเสนอราคา ซึ่งจะได้รับทราบรายละเอียดของผู้ที่ยื่นซองและประมูลชนะ

20 มิถุนายน 2567 ในกรณีที่มีเหตุการณ์ต่อเนื่อง และ การมีการพัฒนาประเด็นข่าวต่อยอดจากจุดของเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้อง

หน่วยการศึกษา

เก็บรวบรวมข่าวที่เกี่ยวข้องกับกรณีข้าว 10 ปี โดยใช้คำว่า “ข้าว 10 ปี” ในการสืบค้นบนสื่อออนไลน์และดึงข้อมูลข่าวทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับข้าว 10 ปีตามวันที่กำหนดในช่วงระยะเวลาที่ศึกษา จากแพลตฟอร์มของสื่อและสำนักข่าวที่เป็นหน่วยการศึกษา ได้แก่ เว็บไซต์ของสำนักข่าว และสื่อสังคมของสำนักข่าว ได้แก่ Facebook, Twitter, TikTok เพราะเป็นสื่อสังคม 3 ช่องทางหลักที่ผู้รับสารรับข้อมูลข่าวสารได้ข่าวที่เป็นหน่วยเพื่อการศึกษาวิเคราะห์จำนวน 1576 ชิ้น จาก

  • สื่อโทรทัศน์ (เก็บข่าวที่นำเสนอมาลงผ่านช่องทางออนไลน์) จำนวน 13 ช่อง โดยเลือกจากช่องทีวีดิจิทัลที่มีการนำเสนอข่าวนี้ โดยเลือกจากกลุ่มผู้ให้บริการทีวีสาธารณะ ได้แก่ สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก หรือ ช่อง 5 เอชดี (TV5HD) ไทยพีบีเอส (Thai PBS) กลุ่มผู้ให้บริการทีวีเชิงพาณิชย์ ช่อง 3 เอชดี ช่อง MCOT HD ช่องTNN ช่อง16 ช่อง Nation TV 22 ช่อง Workpoint TV ช่อง 8 ช่อง Mono 29 ช่องไทยรัฐทีวี ช่อง PPTVHD36 ช่อง AMARIN TV HD ช่อง 7HD
  • สำนักข่าวออนไลน์ คัดเลือกโดยการสุ่มแบบเจาะจงจากความแตกต่างของลักษณะเนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย และจุดยืนการนำเสนอเนื้อหาที่แตกต่างเพื่อวิเคราะห์จุดยืนและการนำเสนอที่เหมือนหรือแตกต่างกันในการนำเสนอข่าว ได้หน่วยการศึกษารวม 26 สำนักข่าว ได้แก่ ช่อง 5 เอชดี (TV5HD) ไทยพีบีเอส (Thai PBS) ช่อง 3 HD MCOT HD TNN16 Nation TV 22 Workpoint TV ช่อง 8 Mono 29 ไทยรัฐทีวี PPTVHD36 AMARIN TV HD ช่อง 7HD TODAY  ไทยรัฐ ออนไลน์ คมชัดลึก เดลินิวส์ ข่าวสด ฐานเศรษฐกิจ แนวหน้า กรุงเทพธุรกิจ The Standard The reporter สำนักข่าวอิศรา Spring News TopNews

 

กรอบประเด็นที่ใช้ในการศึกษาวิเคราะห์

1) ศึกษาการกำหนดวาระข่าวสารและรูปแบบการรายงานข่าว ได้แก่ การกำหนดวาระข่าวสาร และการพัฒนาการรายงานข่าว

2) การวิเคราะห์เพื่อประเมินคุณภาพตามมาตรฐานการรายงานข่าวการเมือง หลักสำคัญของข่าวการเมือง

3) การวิเคราะห์การให้ประโยชน์กับผู้รับสาร

หัวใจคุณภาพข่าวการเมืองประกอบด้วย

1) ทำให้เข้าใจการเมืองในมิติต่าง ๆ
2) ตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองและรัฐบาล
3) สังคมมีส่วนร่วมทางการเมือง
4) กำหนดวาระข่าวสารเปิดประเด็นที่คนควรต้องรู้ และ
5) ประสานสังคมไม่สร้างความขัดแย้ง

ด้วยเหตุผลของการเกี่ยวข้องกับประเด็นการเมืองในหลายมิติ และควรเป็นเรื่องของการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทำงานเชิงนโยบายของรัฐ การวิเคราะห์ข่าวข้าว 10 ปีจะเป็นต้นแบบในการวิเคราะห์ติดตามผลการรายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐในกรณีอื่น ๆ ต่อไปได้ด้วย

จากการวิเคราะห์ข่าวข้าว 10 ปี ถอดบทเรียนการทำข่าวการเมืองที่เกี่ยวข้องกับนโยบายของรัฐได้ 2 ลักษณะ ได้แก่

  • ลักษณะแรกเป็นการนำเสนอตามที่แหล่งข่าวให้ข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข่าวฝ่ายใดก็ตาม โดยเฉพาะถ้าเป็นเพียงการนำความเห็น ข้อมูลแหล่งข่าวมานำเสนอ โดยไม่ได้มีการอธิบาย เชื่อมโยง ขยายต่อจะทำให้ได้คุณภาพเพียงแค่ด้านการเกาะติดสถานการณ์ แต่ยังไม่ได้ระดับของความเข้าใจ มีเหตุผลและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของรัฐได้ในเชิงนโยบาย ซึ่งเป็นหัวใจหลักของคุณภาพข่าวการเมือง และข้อความระวังในการนำเสนอลักษณะนี้คือการเลือกชุดข้อมูลและคำพูดของแหล่งข่าว มีความเสี่ยงในการบกพร่องเรื่องความขัดแย้งและการสร้างดราม่าทางการเมืองได้ แนวทางนี้อาจเปิดพื้นที่ให้กับความเห็นที่หลากหลายได้แสดงออกและร่วมตรวจสอบ แต่ถ้าพัฒนาประเด็นไปตามแค่แหล่งข่าว คนกำหนดวาระข่าวสารจะเป็นแหล่งข่าวในเรื่องนั้น ๆ
  • ลักษณะที่ 2 สำนักข่าว “กำหนดวาระข่าวสาร” ซึ่งทำให้สังคมเข้าใจมิติทางการเมืองที่รอบด้านมากขึ้น และยังสามารถทำงานในขั้นตอนการรายงานข่าวที่เน้นความรวดเร็วได้ ซึ่งเป็นการให้ข้อมูล (Inform) ถ้าจะให้ข้อมูลให้มีคุณภาพก็ต้องมีความหลากหลายของประเด็น เพื่อให้คนติดตามได้อย่างรอบด้าน และพัฒนาข่าวประเภทให้บริบท/เชิงลึกประกอบไปด้วย เพื่อให้ตอบคุณภาพเรื่อง เข้าใจมุมที่แตกต่าง เข้าใจเรื่องราวที่ซับซ้อน มีเหตุผลต่อเหตุการณ์ ตรวจสอบการเมือง จะสามารถสร้างคุณภาพข่าวด้านการเกาะติดสถานการณ์ กำหนดวาระข่าวสารเพื่อความเข้าใจของสังคม ทำให้คนเข้าใจการเมืองอย่างมีเหตุผล และ ประสานสังคมหรือสร้างความขัดแย้ง และยังสามารถสร้างผลกระทบในการนำเสนอข่าวได้

Timeline ของข่าวข้าว 10 ปีที่เป็นหน่วยการศึกษา

การวิเคราะห์การรายงานข่าวการเมือง กรณีศึกษา ข่าวข้าว 10 ปี เก็บหน่วยการศึกษาจำนวน 1576 ชิ้นข่าวจาก 26 สำนักข่าว ด้วยการสืบค้นผ่านออนไลน์ด้วยคำสำคัญข่าว10ปี ดึงข้อมูลจาก 4 แพลตฟอร์มได้แก่ Website, Facebook, Twitter, TikTok โดยเก็บหน่วยการศึกษาวิเคราะห์ระหว่างวันที่ 6 พฤษภาคม – 19 มิถุนายน 2567 ในช่วงเวลานี้แบ่ง Timeline เหตุการณ์ออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่

ช่วงที่ 1 วันที่ 6-17 พฤษภาคม 2567 เหตุการณ์สำคัญคือการชิมข้าวและวิจารณ์ว่าข้าวกินได้หรือ?

ช่วงที่ 2 วันที่ 18-26 พฤษภาคม 2567 เหตุการณ์สำคัญคือผลตรวจสอบข้าวว่ากินได้

ช่วงที่ 3 วันที่ 27 พฤษภาคม – 19 มิถุนายน 2567 เหตุการณ์สำคัญคือเปิดประมูลข้าว 10 ปี

จากการวิเคราะห์พบว่า ข่าวข้าว 10 ปี สำนักข่าวกำหนดข่าวสาร “เปิดพื้นที่ความคิดเห็น เพื่อจุดประเด็นตั้งคำถาม พยายามอธิบาย แต่ยังมีสัดส่วนหลักเป็นเพียงการรายงานตามสถานการณ์ที่แหล่งข่าวให้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติม”

ทุกแพลตฟอร์มใช้ แหล่งข่าวที่มาจาก “รัฐบาล” เป็นหลัก แสดงให้เห็นว่า การดำเนินของการนำเสนอข่าวนี้กำหนดโดยแหล่งข่าวจากรัฐ รัฐมีกิจกรรม และการให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับข้าว 10 ปีและสื่อนำเสนอการอัพเดทสถานการณ์ตามแหล่งข่าวรัฐเป็นหลัก โดยพบว่า

ในช่วงที่ 1 “ชิมข้าววิจารณ์ข้าวกินได้หรือ?” มีการให้พื้นที่กับแหล่งข่าวที่หลากหลายที่สุด เพราะเป็นช่วงของการแสดงความเห็นต่อประเด็น รัฐบาลสัดส่วนสูง ส่วนกลุ่มวิจารณ์นำโดยแหล่งข่าวนักวิชาการ

ช่วงที่ 2 “ผลตรวจยันข้าวกินได้” ใช้แหล่งข่าวจากรัฐบาลและหน่วยงานราชการ การวิจารณ์ ตั้งข้อสงสัยจากอีกฝ่าย มีสัดส่วนน้อยลง

ช่วงที่ 3 “TOR ข้าวถึงการประมูล” ใช้แหล่งข่าวจากรัฐบาลและหน่วยงานราชการและแหล่งข้อมูลจากเอกสาร (ตรวจสอบ)

การอ้างอิงแหล่งข่าว

แหล่งข่าวแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกรัฐบาล (56%) และหน่วยงานของรัฐ (15.8%) ให้ข้อมูลเชิงบวกต่อนโยบายรัฐ ตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามที่ค้านหรือวิจารณ์แนวทางการทำงานของรัฐ และแสดงความเห็นต่อประเด็นในเชิงบวกต่อรัฐ กลุ่มที่สองคือ นักวิชาการ (14.4%) ฝ่ายค้าน (11.4%) เอกสาร (7.5%) ภาคพลเมือง (6.2%) และภาคธุรกิจ (4.7%) ประเด็นตั้งคำถามตรวจสอบ แสดงความเห็น มีการแสดงอารมณ์และความเห็นเชิงประชดประชันทาทางการเมือง และการตั้งข้อสังเกตเชื่อมโยงการเมืองในอดีต

ข่าวมีลักษณะอัพเดทสถานการณ์/ข้อมูลใช้แหล่งข่าวเดียวเป็นหลัก ข่าวที่ใช้ 2-3 แหล่งข่าวเป็นเนื้อสรุปประเด็น อธิบายที่มาบริบทเรื่องราว ข่าวตอบโต้ความคิดระหว่าง 2 ฝ่าย

มี 3 สำนักข่าวที่มีสัดส่วนของข้อมูลอ้างอิงด้านสนับสนุนเชิงบวก และ วิพากษ์วิจารณ์ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน คือ Nation TV / คมชัดลึก / แนวหน้า ส่วน ThaiPBS มีการกระจายใช้ข้อมูลจากแหล่งข่าวทุกประเภท

กรอบการนำเสนอข่าวข้าว 10 ปี … “เปิดพื้นที่ความเห็นต่างเพื่อตั้งข้อสงสัย” ได้ดี แต่อธิบาย-เจาะลึก-ตรวจสอบยังน้อย

ข่าวข้าว 10 ปีเป็นข่าวการเมืองที่มีมิติ 4 ด้านที่ควรเชื่อมโยงประเด็นการรายงานให้รอบด้าน  คือ

  • มิติที่ความเชื่อมโยงกับการเมือง ประกอบด้วย กรอบกิจกรรมเกี่ยวกับข้าว10 ปี กรอบอธิบายข้อมูลข้าว10ปี กรอบความเชื่อมั่น (ต่อข้าว10ปี และการจัดการของรัฐ ซึ่งมีทั้งด้านการพยายามสร้างความเชื่อมั่นและด้านของการตั้งข้อสังเกต สงสัย) กรอบข้อเสนอ (เป็นการเสนอแนะต่อการจัดการข้าว10 ปี) กรอบความขัดแย้งเชื่อมการเมือง (ความขัดแย้งทางการเมือง นักการเมืองที่เกี่ยวข้อง) กรอบบริบทการเมือง (ที่มาของข้าว10ปี โครงการรับจำนำข้าว การทำงานของรัฐบาลก่อนหน้า)
  • มิติเศรษฐกิจ ซึ่งเกี่ยวกับการค้า ความเชื่อมั่น ภาพลักษณะของข้าวไทยในตลาด ประกอบด้วย กรอบเศรษฐกิจการค้า กรอบความสัมพันธ์ต่างประเทศ กรอบภาพลักษณ์ข้าวไทย
  • มิติสุขภาพ กรอบความปลอดภัยต่อสุขภาพ เป็นการตรวจสอบข้อสงสัยว่าข้าว 10 ปีกินได้หรือไม่ และ ปลอดภัยต่อสุขภาพหรือไม่
  • มิติที่สังคมสนใจ ประกอบด้วย กรอบการบริโภคข้าว (วิธีการ รูปแบบ การรับประทานข้าว ความเห็นต่อการรับประทานข้าวเก่า) และกรอบการวิจารณ์ แสดงความเห็น (เน้นที่การวิจารณ์และแสดงความเห็นที่เป็นความคิดส่วนบุคคล)

จากการวิเคราะห์การายงานข่าวข้าว 10 ปีพบว่า “มิติที่สังคมสนใจ โดยกรอบการนำเสนอความคิดเห็น” มีสัดส่วนมากที่สุด ข่าวข้าว 10 ปีถูกกำหนดกรอบด้วยการ “นำเสนอตามความเห็น การวิจารณ์ การเปิดประเด็นต่อความไม่น่าเชื่อถือของการจัดการของรัฐบาลต่อข้าว 10 ปี”มิติการเมือง กรอบความเชื่อมั่นต่อข้าว 10 ปี โดยมีทั้งส่วนที่ รัฐพยายามให้ข้อมูลสร้างความเชื่อมั่น และ การตั้งคำถามและความไม่เชื่อมั่นต่อความปลอดภัยและการจัดการของรัฐจากฝ่ายค้าน นักการเมือง นักวิชาการ

มิติสุขภาพ ผลกระทบต่อสุขภาพ คำอธิบายเรื่องสารต่างๆการให้ข้อมูลลักษณะของข้าว การตรวจสอบคุณภาพข้าว

มิติเศรษฐกิจ จะขายข้าวในลักษณะใด ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ข้าวไทย โครงการจำนำข้าว และความเห็นจากตลาดต่างประเทศ

 4 กรอบประเด็นการนำเสนอ

เมื่อจำแนกแต่ละสำนักข่าวพบว่า

เน้นกรอบอธิบายข้อมูลข้าว 10 ปี ประกอบด้วยลักษณะทางกายภาพของข้าว 10 ปี โกดัง การจัดเก็บ สภาพปัจจุบันของข้าว ประกอบด้วยความเห็นต่อสภาพทางกายภาพนั้น ได้แก่ ไทยรัฐทีวี MCOT HD ไทยพีบีเอส ช่อง 3HD

เน้นกรอบความเชื่อมั่น(ทั้งบวก/ลบ) ได้แก่ AMARIN TV HD ช่อง 7HD คมชัดลึก เดลินิวส์ โดยเป็นเรื่องของการให้ข้อมูลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในข้าว 10 ปีจากฝั่งรัฐบาล และประเด็นแย้ง

เน้นกรอบความปลอดภัยต่อสุขภาพ ได้แก่ TNN ช่อง 16 PPTV HD36 กรุงเทพธุรกิจ The Standard The Reporter สำนักข่าวอิศรา Spring News

เน้นกรอบการวิจารณ์ แสดงความเห็น ได้แก่ Nation TV22 Workpoint TV ช่อง 8 Mono 29 TODAY ไทยรัฐ ข่าวสด แนวหน้า Top News

กรอบการนำเสนอตาม Timeline ของเหตุการณ์

ช่วงที่ 1 “ชิมข้าว-วิจารณ์ข้าวกินได้หรือ?” การกำหนดวาระข่าวสารในประเด็นข่าวข้าว 10 ปี สื่อนำเสนอข่าวตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยกรอบการนำเสนอจะสอดคล้องกับสถานการณ์ การออกมาให้ข้อมูลของแหล่งข่าวแต่ละกลุ่ม รัฐบาลกำหนดวาระสร้างความเชื่อมั่นให้ข้าว สื่อนำเสนอทั้งเกาะติดเหตุการณ์ กรอบความเชื่อมั่น(ทั้งบวก/ลบ) กรอบสุขภาพ และ “เปิดประเด็นเพื่อตรวจสอบ ตั้งคำถาม”

ช่วงที่ 2 “ผลตรวจยันข้าวกินได้” กรอบความเห็นที่ผูกกับกรอบความเชื่อมั่นการเปิดพื้นที่แสดงความเห็นยังมี แต่แหล่งข่าวกลุ่มนี้ออกมาแสงดวามเห็นลดลง สื่อไม่ได้อธิบาย ขยายความประเด็นในมิติอื่นต่อ

ช่วงที่ 3 “TOR ข้าวถึงการประมูล” กรอบของเศรษฐกิจตามมาเมื่อมีการประกาศ TOR ซึ่งก็ยังควบคู่กับความเห็นในการวิจารณ์ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของข้าว พบข่าวที่ให้ข้อมูล อธิบาย และ มีการตรวจสอบเอกสาร TOR  เดือนมิถุนายน กรอบเศรษฐกิจ ข้อมูลเกี่ยวกับข้าว 10 ปี ความเห็น และกรอบความเชื่อมั่นต่อข่าวและการทำงานของรัฐ (โดยรัฐพยายามสร้างความเชื่อมั่น แต่ก็ยังมีข่าวที่ให้ข้อมูลอีกด้านด้วย)

 แนวทางการนำเสนอข่าว

แนวทางการนำเสนอข่าว เป็นรูปแบบของการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้เกิดผลใน 4 ลักษณะคือ การบอกให้รู้เกี่ยวกับประเด็นและเหตุการณ์ (Inform) การสร้างความเข้าใจในบริบทต่าง ๆ ที่มีความลึกรอบด้านด้วยการอธิบาย (Explain) การรวบรวมทางออก วิธีการแก้ปัญหาเพื่อสะท้อนให้กับสังคม (Solution) และ การตรวจสอบ ตั้งข้อสงสัย สืบสวน เจาะลึกหาข้อเท็จจริง (Investigative)

สัดส่วนของแนวทางการนำเสนอแต่ละสำนักข่าวก็มีสัดส่วนของการให้ข้อมูล (Inform) มากที่สุด เป็นการให้ข้อมูลอัพเดทสถานการณ์ตามเหตุการณ์ที่พัฒนาต่อเนื่องกัน และนำเสนอข่าวตามประเด็นที่มีการแสดงความเห็นหรือให้ข้อมูลของแหล่งข่าวในแต่ละช่วงเป็นหลัก

ช่วงที่ 1 “ชิมข้าววิจารณ์ข้าวกินได้หรือ?” การอธิบายมากกว่าช่วงอื่น ๆ เพราะเป็นการอธิบายเรื่องของข้าว ลักษณะของข้าว เหตุการณ์ ผลกระทบ

ช่วงที่ 2 “ผลตรวจยันข้าวกินได้” มีอธิบายบริบทบ้างแต่ลดน้อยลงกว่าช่วงแรก

ช่วงที่ 3 “TOR ข้าวถึงการประมูล” ตรวจสอบและตั้งข้อสงสัย โดยตรวจสอบเอกสาร TOR และ รายละเอียดของบรืษัท แต่ไม่ได้ขยายผล หรือ มีประเด็นต่อเนื่อง

PPTV HD36 มีจำนวนชิ้นข่าวที่นำเสนอแบบอธิบายมากที่สุด (25 ชิ้น) รองลงมาคือฐานเศรษฐกิจ (23 ชิ้น) แนวหน้า (20 ชิ้น) ไทยพีบีเอส (20 ชิ้น) และข่าวสด (17 ชิ้น) ส่วนแนวทางตรวจสอบ โดดเด่นคือ ฐานเศรษฐกิจ และ ไทยพีบีเอส

แนวทางการนำเสนอข่าวให้ทางออก โดยภาพรวมมีน้อยด้วยเพราะลักษณะของข่าวยังไม่ได้มีปัญหาและการแก้ปัญหาที่เป็นกรณีศึกษาได้ชัดเจน ข่าวที่พบเป็นลักษณะของข้อเสนอแนะในการจัดการกับข้าวหรือแก้ปัญหาข้อสงสัยต่อความน่าเชื่อถือต่อข้าว 10 ปี พบที่ไทยพีบีเอสมากที่สุด (4 ชิ้น) รองลงมาคือไทยรัฐ (3 ชิ้น) และ PPTV HD36 (2 ชิ้น) 

แนวทางการนำเสนอข่าวแบบสืบสวน ตรวจสอบ เป็นการตั้งข้อสงสัย ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบตั้งข้อสงสัยเรื่องข้าว 10 ปี การเก็บรักษา และสารพิษที่อาจมีอันตรายต่อร่างกาย และการตรวจสอบเอกสาร TOR และรายละเอียดบริษัทที่ประมูลข้าว สำนักข่าวที่มีการใช้แนวทางการสืบสวน ตรวจสอบมากที่สุดคือ ฐานเศรษฐกิจ (13 ชิ้น) และ ThaiPBS (10 ชิ้น)

การประเมินคุณภาพข่าวการเมือง

ใช้กรอบตัวชี้วัดประเมินลักษณะของข่าวการเมืองที่มีคุณภาพ เกณฑ์ในการประเมิน โดยตัวชี้วัดมีกลุ่มที่เป็นบทบาทอันพึงประสงค์หากปรากฏในข่าวจะได้ 1 คะแนน กลุ่มที่เป็นบทบาทอันไม่พึงประสงค์ซึ่งมีผลต่อคุณภาพข่าวการเมือง จะได้ -1 คะแนน คะแนนของแต่ละด้าน มีสัดส่วนของคะแนนที่ได้คุณภาพพึงประสงค์เท่าไร และ มีส่วนที่เป็นข้อบกพร่องต่อคุณภาพที่ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขเท่าไร เพื่อสะท้อนคุณภาพของการรายงานข่าวข้าว 10 ปี และ ข้อบกพร่องที่ควรพัฒนาปรับปรุง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในลิงค์ช่วงท้าย)

5 มาตรฐานคุณภาพที่สื่อทำได้ดี

  • ข่าวเน้นนำเสนอข้อมูลและเหตุผล สำนักข่าวที่โดดเด่น ฐานเศรษฐกิจ, TNN (84%) ข่าวสด (72%) The Reporter, Amarin TV (67%), ไทยพีบีเอส, ช่อง 3 (66%)
  • ข่าวเปิดประเด็นเรื่องนโยบาย การทำงานของรัฐ สำนักข่าวที่โดดเด่น TNN (89%) ฐานเศรษฐกิจ (80%) สำนักข่าวอิศรา (76%) ไทยรัฐทีวี (75%) ข่าวสด (71%)
  • ข่าวเชื่อมโยงมุมมอง ประเด็นที่หลากหลาย ไทยรัฐทีวี (39%) ไทยพีบีเอส, ช่อง 5 (33%) MoNoNews (25%) กรุงเทพธุรกิจ (24%)
  • ข่าวเปิดประเด็น ตั้งคำถาม ให้เหตุผล ไทยพีบีเอส (30%) ช่อง 5, คมชัดลึก (29%)
  • ข่าวอธิบายที่มาของเหตุการณ์ สำนักข่าวอิศรา พบทุกข่าว (100%) เดลินิวส์ (86%) ฐานเศรษฐกิจ, TNN (84%) ข่าวสด (79%) ช่อง 7 (78%)

อย่างไรก็ตาม รูปแบบการนำเสนอที่ลดคุณภาพข่าว คือ ข่าวมีโทนทำให้เกิดความขัดแย้ง ผ่านการดึงประเด็นความขัดแย้งที่เป็น “ความรุู้สึก” ใช้อารมณ์กับเหตุการณ์ ข่าวการเมืองสร้างดราม่าเร้าอารมณ์ ผ่านการใช้คำโปรย headline เร้าอารมณ์โกรธ ไม่พอใจ เสียดสี ข่าวตามกระแส หยิบออนไลน์มานำเสนอ หยิบแต่โพสต์ของบุคคลมานำเสนอ ไม่ต่อยอด ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้

– ข่าวมีโทนของการนำเสนอที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง พบใน แนวหน้า (60%) ช่อง 8 (58%) Amarin TV (55%) ไทยรัฐ (54%) Nation TV (51%)

– ข่าวชูประเด็นความขัดแย้งระหว่างฝ่าย พบมากใน แนวหน้า (52%) The Standard (48%) สำนักข่าวอิศรา (47%) กรุงเทพธุรกิจ (46%) ไทยรัฐ (45%)

ส่วนข้อบกพร่องด้านอื่น ๆ ก็พบเพียงประปรายในแต่ละสำนักข่าวซึ่งมาจากการเลือกแหล่งข่าว นำเสนอข้อมูลคำพูด การใช้คำในการนำเสนอข่าว 

คุณภาพด้านประโยชน์ที่ผู้รับสารได้รับ (News Impact)

การวัดคุณภาพข่าวการเมืองในมิติของประโยชน์ที่ผู้รับสารได้รับ โดยมีประโยชน์ด้านต่าง ๆ ดังนี้

  • ข่าวทำให้ได้ตรวจสอบการทำงานการเมือง มีประโยชน์ต่อการตรวจสอบการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ พิจารณาจากข้อมูลที่ข่าวนำเสนอมีกาตั้งคำถามต่อการทำงานของรัฐ นักการเมือง การตรวจสอบ และให้ข้อมูลที่อธิบายให้ผู้รับสารได้เข้าใจการทำงาน บทบาทต่าง ๆ ของรัฐบาล และนักการเมือง และผลกระทบที่มีต่อประชาชน
  • ข่าวทำให้ผู้รับสารรับข้อมูลอย่างมีเหตุผลและเข้าใจเหตุการณ์ได้ พิจารณาจากการให้ข้อมูลในข่าวทำให้เข้าใจสถานการณ์ เหตุการณ์ ประเด็นข่าวการเมืองโดยการมีข้อมูลอ้างอิงอย่างมีเหตุผล มีข้อมูลประกอบ สามารถคิด เข้าใจ อธิบายเหตุการณ์นั้นได้อย่างเข้าใจ
  • ข่าวทำให้เข้าใจที่มาของเรื่องราว เห็นความซับซ้อน และมีสติรับข้อมูลหลายด้าน พิจารณาจากความหลากหลายของประเด็น แหล่งข่าว ที่ให้มุมมองที่อธิบายที่มาของเรื่องราว เชื่อมโยงประเด็นในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เห็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของบุคคลและประเด็นการเมืองจากอดีตถึงปัจจุบัน ทำให้ไม่หลงกลกับรูปแบบของการกำหนดวาระของนักการเมือง หรือการสร้างภาพลักษณ์ทางการเมือง
  • ข่าวทำให้เข้าใจมุมมองที่แตกต่างจากความคิดของตัวเอง พิจารณาจากการนำเสนอข้อมูลที่มากกว่าด้านเดียว ไม่ทำให้ผู้รับสารตัดสินต่อประเด็นทางการเมืองด้วยอารมณ์ ความรู้สึก เพียงข้อมูลด้านเดียว ลดอคติ เห็นมุมมองที่แตกต่างและยอมรับในการเข้าใจข้อมูลที่ต่างจากความเชื่อ/จุดยืนทางการเมืองของตัวเอง
  • ข่าวมีมุมมองความคิดเห็นและเสียงของประชาชน หรือให้ข้อมูล รูปแบบ การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มีเหตุผล พิจารณาจากข่าวมีข้อมูลที่ให้พื้นที่การแสดงความเห็น หรือมุมมองที่เกี่ยวข้องกับประชาชน หรือการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อประเด็นการเมือง                    
  • ข่าวช่วยเกาะติดสถานการณ์ พิจารณาจากการให้ข้อมูลการพัฒนาของเหตุการณ์ อัพเดทสถานการณ์ ทันต่อเหตุการณ์

ผลจากการวิเคราะห์ข่าวที่เป็นหน่วยการศึกษาพบว่า ในภาพรวมข่าวที่นำเสนอมีคุณภาพในมิติการช่วยเกาะติดสถานการณ์มากที่สุด (68.1%) รองลงมา คือ ได้ตรวจสอบการทำงานการเมือง (56.8%) ตามมาด้วยข่าวทำให้ผู้รับสารรับข้อมูลอย่างมีเหตุผลและเข้าใจเหตุการณ์ได้ (32.1%)

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าสำนักข่าวเน้นการนำเสนอข่าวเพื่อการให้ข้อมูล หรือรายงานความคืบหน้าของเหตุการณ์เป็นสำคัญเพื่อให้ผู้รับสารได้ข้อมูลที่รวดเร็วซึ่งเป็นการให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมา คือ การที่สำนักข่าวได้ตรวจสอบการทำงานการเมืองของทั้งฝั่งรัฐบาลที่บริหารประเทศ และให้พื้นที่ฝ่ายการเมืองกลุ่มต่าง ๆ ได้มีพื้นที่ในการให้ข้อมูล หรือ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้ด้วย

เมื่อจำแนกสัดส่วนตามสำนักข่าวพบว่า

– ข่าวช่วยเกาะติดสถานการณ์ เป็นประโยชน์ที่คนประเมินให้คะแนนกับชิ้นข่าวข้าว 10 ปีที่ทำการศึกษามากที่สุด โดยสำนักข่าวที่โดดเด่นในสัดส่วนของชิ้นข่าวที่ได้คะแนนด้านนี้คือ ข่าวสด (92%) AMARIN TV (86%) ไทยรัฐ (84%) คมชัดลึก, ข่าวสด (83%)

สำนักข่าวที่มีสัดส่วนข่าวที่ให้ประโยชน์ในการทำให้ผู้อ่าน/ผู้ชมได้ตรวจสอบการทำงานการเมือง คือฐานเศรษฐกิจ (80%) เดลินิวส์ (85%) คมชัดลึก (80%) ช่อง 7HD (81%) AMARIN TV (78%) 

ข่าวทำให้ผู้รับสารรับข้อมูลอย่างมีเหตุผลและเข้าใจเหตุการณ์ได้ สำนักข่าวที่มีสัดส่วนข่าวที่ให้ประโยชน์เรื่องนี้คือ สำนักข่าวอิศรา (76%) กรุงเทพธุรกิจ (70%) Workpoint News (69%) Spring News (64%) The Reporter (54%)

ข่าวทำให้เข้าใจที่มาของเรื่องราว เห็นความซับซ้อน และมีสติรับข้อมูลหลายด้าน มีสำนักข่าวอิศราที่แม้จะทำข่าวจำนวนไม่มากแต่สัดส่วนของข่าวที่ให้ประโยชน์ด้านนี้มีสูงที่สุด

ข่าวทำให้เข้าใจมุมมองที่แตกต่างจากความคิดของตัวเอง ได้แก่ The Standard, The Reporter (38%) ช่อง 8 (35%) ไทยพีบีเอส (32%)

ข่าวมีมุมมองความคิดเห็นและเสียงของประชาชน พบสัดส่วนที่มากในข่าวของ ไทยรัฐทีวี (54%) และ สำนักข่าวอิศรา (41%)

เมื่อเปรียบเทียบข่าวของสำนักข่าวออนไลน์และทีวีดิจิทัล พบว่าสำนักข่าวออนไลน์ แสดงถึงความสามารถในการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อผู้รับสารในด้านการตรวจสอบการทำงานการเมืองและการให้ข้อมูลที่มีเหตุผลมากกว่า ทีวีดิจิทัล อย่างชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้รับสารที่ต้องการข้อมูลที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ

ทีวีดิจิทัล ยังคงมีความสำคัญในด้านการให้ข้อมูลที่หลากหลายมุมมองและการทำให้ผู้รับสารเข้าใจเรื่องราวที่ซับซ้อนได้ดี ทั้งนี้ การพัฒนาการรายงานข่าวในด้านการตรวจสอบการทำงานการเมืองและการให้ข้อมูลที่มีเหตุผลจะช่วยเพิ่มคุณภาพของการรายงานข่าวการเมืองได้มากขึ้น

สรุปภาพรวมการศึกษาข่าวข้าว 10 ปี

การศึกษาวิเคราะห์ข่าวข้าว 10 ปีในบริบทของข่าวที่มีการเปิดประเด็นโดยรัฐที่ตามมาด้วยข้อถกเถียง ข้อสงสัยจากสังคมและฝ่ายต่าง ๆ สิ่งที่พบในการรายงานข่าวข้าว 10 ปี คือ  มีสื่อบางส่วนพยายามทำงานเชิงคุณภาพ แม้ว่าต้องแข่งกันที่ความเร็วซึ่งทำให้ลักษณะการรายงานข่าวส่วนมากเป็นการให้ข้อมูล (Inform) โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งข่าวมานำเสนอเพื่ออัพเดทสถานการณ์ แต่สำนักข่าวมีการทำข่าวอธิบาย (Explain) คู่ขนานไปด้วยในแต่ละช่วง ในลักษณะของการสรุปประเด็นและอธิบายบริบทที่เกี่ยวข้องเพื่อให้คนเข้าใจประเด็นที่นำเสนอ หรือข้อถกเถียงที่มีอยู่ได้มากขึ้น เมื่อประเมินคุณภาพจากการวิเคราะห์เนื้อหา พบว่า มีข่าวที่อัพเดทความเห็นจากแหล่งข่าวอย่างต่อเนื่อง ส่วนในมิติของประโยชน์ต่อผู้รับสาร ในภาพรวม การรายงานข่าวให้ประโยชน์ในการช่วยเกาะติดสถานการณ์ ประโยชน์ในการได้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและนักการเมือง การตั้งคำถาม เปิดประเด็น และให้พื้นที่ความคิดต่าง การวิจารณ์การทำงานของรัฐ ช่วยเปิดประเด็นการตรวจสอบ มีการเปิดพื้นที่แต่ยังมีสัดส่วนไม่มากซึ่งเป็นจุดที่สำนักข่าวสามารถพัฒนาต่อยอดเชิงคุณภาพได้

กล่าวโดยสรุป การรายงานข่าวที่เกี่ยวกับนโยบายและการตรวจสอบนโยบาย/การทำงานของรัฐ หากใช้โมเดลของการให้สัดส่วนที่สำนักข่าวกำหนดวาระข่าวสาร สู่ความรอบด้านและการอธิบาย จะมีโอกาสยกระดับคุณภาพของข่าวการเมืองได้มากยิ่งขึ้น

แฟนโปรเจกต์ : การสื่อสารของแฟนคลับ รักแค่ไหน? รักอย่างไร? จึงเหมาะสม

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินจากทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศิลปิน K-pop ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่แฟนเพลงชาวไทย ทำให้ประเทศไทยได้รับฉายาจากกลุ่มแฟนคลับด้วยกันเอง ว่าเป็น “ไทยแลนด์แดนคอนเสิร์ต” โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา มีการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินต่างประเทศในประเทศไทยมากถึง 200 คอนเสิร์ต โดยมีศิลปินเอเชียประกอบด้วย เกาหลี ญี่ปุ่น มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 46% เติบโตถึง 160%[1] ทำให้ในแต่ละเดือนเราจะพบกับศิลปิน มาจัดคอนเสิร์ต หรือแฟนมีตติ้ง ในบ้านเราอย่างไม่ขาดสาย

นอกจากจะมีคอนเสิร์ตบ่อยครั้งแล้ว ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีฐานแฟนคลับ K-pop ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จึงทำให้เกิดการรวมตัวของแฟนคลับ หรือที่เรียกกันว่า “แฟนด้อม”  ในประเทศไทยที่ทุ่มเทสนับสนุนศิลปินโปรดในแต่ละคอนเสิร์ต แฟนมีตติ้ง หรือกิจกรรมต่าง ๆ ของศิลปินผ่าน “แฟนโปรเจกต์” (Fan Project) เพื่อสร้างความประทับใจและความยิ่งใหญ่ ทั้งในมุมมองของศิลปินและคนดู

[1] คอนเสิร์ตระเบิดความมัน! ไทยจัด 900 งานในปีเดียว สร้างเงินสะพัดกว่า 2 หมื่นล้านบาท https://thestandard.co/thailand-900-concerts-in-one-year/

 

แฟนโปรเจกต์ (Fan Project) คืออะไร ทำไมทุกคอนเสิร์ตศิลปินเอเชียถึงมี ?

แฟนโปรเจกต์ (Fan Project) คือ กิจกรรมการสื่อสารของแฟนคลับที่จัดทำขึ้นให้แก่ศิลปินเพื่อสร้างความประทับใจและความทรงจำที่ดี เป็นประสบการณ์พิเศษระหว่างแฟนคลับกับศิลปินในโอกาศพิเศษต่าง ๆ อาทิ วันเกิดของศิลปิน คอนเสิร์ต หรือแฟนมีตติ้ง เป็นต้น[1] การทำโปรเจกต์ในช่วงแรกส่วนใหญ่ถูกยึดโยงเข้ากับการเรียกร้องสิทธิบางประการให้แก่ศิลปิน ผลงาน หรือสิ่งที่แฟนคลับสนับสนุนเห็นชอบ โดยโปรเจกต์ของแฟนคลับจะผ่านการรวมกันภายในกลุ่มแฟนคลับเพื่อทำบางสิ่งที่แสดงถึงอัตลักษณ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและแสดงออกถึงจุดยืนของกลุ่มแฟนคลับ[2] ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นกลุ่มแฟนคลับศิลปิน K-pop

ถึงแม้จะไม่มีกฎตายตัวหรือข้อบังคับในการจัดทำแฟนโปรเจกต์ในกิจกรรมของศิลปิน แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อมีการประกาศกิจกรรมต่าง ๆ ของศิลปิน ที่มาเยือนในประเทศไทย เราจะเห็นเหล่าแฟนด้อม[3] (มีที่มาจากการรวมคำระหว่าง Fanclub และ Kingdom หมายถึง อาณาจักรของแฟนคลับ หรืออธิบายให้เข้าใจง่าย คือ ชุมชนหรือที่รวมตัวของแฟนคลับ) ที่รวมตัวกันคิดทำแฟนโปรเจกต์ ที่จะทำร่วมกันในกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านบ้านเบส (บ้านเบสคือ แฟนคลับผู้ที่เป็นศูนย์กลาง หรือแฟนคลับที่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่คอยติดตามและเป็นผู้คอยอัพเดตผลงานที่เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ) ของศิลปินนั้น ๆ และประกาศแจ้งให้แฟนด้อมที่เข้าร่วมคอนเสิร์ตหรือกิจกรรมต่าง ๆ ทราบผ่านช่องทางโซเซียลมีเดีย ตัวอย่างที่ชาวไทยน่าจะคุ้นชินในการทำแฟนโปรเจกต์มากที่สุด เช่น การทำไฟป้ายขนาดใหญ่ การแปรอักษรกล่องไฟในคอนเสิร์ตโดยเลือกคำที่มีความหมายพิเศษให้แก่ศิลปิน หรือระยะหลังเราจะเห็น บ้านเบสต่าง ๆ มีการแจกสโลแกนกระดาษ (สโลแกนกระดาษ คือ ป้ายกระดาษที่ระบุข้อความพิเศษต่าง ๆ ที่จะสื่อสารให้กับศิลปิน เช่น ข้อความให้กำลังใจ ข้อความแสดงความยินดี) ให้แก่แฟนคลับก่อนเข้าคอนเสิร์ตให้กับแฟนคลับ เพื่อชูสโลแกนกระดาษในช่วงเพลงต่าง ๆ ที่มีความหมายพิเศษตรงกับคำสโลแกนที่เตรียมไว้ ซึ่งเราจะเห็นสโลแกนเหล่านี้ในช่วงที่ศิลปินถ่ายรูปกับแฟนคลับในคอนเสิร์ตเกือบทุกครั้ง

ฉะนั้นการทำแฟนโปรเจกต์ในทุกคอนเสิร์ตของศิลปินเอเชีย โดยเฉพาะศิลปิน K-pop จึงเป็นที่นิยมในการจัดทำในคอนเสิร์ต หรือแฟนมิตติ้ง เนื่องจากถือเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงการสนับสนุนและความรักที่แฟนคลับมีต่อศิลปิน โดยการทำแฟนโปรเจกต์นั้นมีการทำสืบทอดกันมาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของแฟนคลับ ทำให้วัฒนธรรมการสื่อสารในแฟนด้อมมีความซับซ้อนและหลากหลาย การจัดแฟนโปรเจกต์ กลายเป็นเรื่องที่คาดหวังหรือเป็นเรื่องปกติในสังคมแฟนด้อม ทำให้การมีส่วนร่วมในโปรเจกต์ต่าง ๆ กลายเป็นการสื่อสารถึงความจงรักภักดี (Loyalty) และความเป็นหนึ่งเดียวกับแฟนด้อม การสื่อสารความภักดีนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การทำโปรเจกต์ในงานคอนเสิร์ต แต่ยังรวมถึงการติดตามผลงาน การสนับสนุนสินค้าของศิลปิน การร่วมกิจกรรมออนไลน์ และการปกป้องศิลปินจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทำให้แฟนคลับรู้สึกว่าพวกเขามีบทบาทในการสนับสนุนและปกป้องศิลปินของตน

และการทำแฟนโปรเจกต์นั้นยังเป็นการสื่อสารทางวัฒนธรรมผ่านการแสดงอัตลักษณ์เพื่อช่วงชิงพื้นที่ทางสังคม เพราะแฟนคลับชาวไทยมักรู้สึกว่าตนเองโดนเอาเปรียบ ละเลย หรือไม่ได้รับความใส่ใจจากบริษัทต้นสังกัด หรือเอเจนซี่ผู้จัดงานอยู่เสมอ จนมีการเปรียบเปรยจากแฟนคลับชาวไทยกันเองว่าเป็นเหมือน “เมียน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับแฟนคลับชาติอื่นๆ โดยเฉพาะในเกาหลี และญี่ปุ่น ที่มักถูกเปรียบเปรยว่าเป็น เมียหลวง การทำแฟนโปรเจคของแฟนคลับชาวไทยจึงยิ่งเป็นเหมือนเครื่องมือสื่อสารสำคัญเพื่อให้ได้มาซึ่งความสนใจ หรือพื้นที่ทางสังคมบนสื่อออนไลน์  จึงทำให้ในบางครั้งที่มีการนำเสนอเชิงสติถิเกี่ยวกับการสนับสนุนศิลปินของแต่ละประเทศ ประเทศไทยมักจะเป็นประเทศที่อยู่อันดับ 1 หรืออันดับสูงอยู่บ่อยครั้ง ทำให้แฟนคลับชาวไทยมองว่าตนเองก็ให้การสนับสนุนศิลปินได้ไม่ต่างจากแฟนคลับประเทศอื่น ๆ นำไปสู่การแสดงความคิดเห็นและเรียกร้องความเท่าเทียมในการให้ความสำคัญแก่ตนเองต่อบริษัทต้นสังกัดของศิลปินอยู่เสมอ[4]   แม้ว่าการสื่อสารดังกล่าวอาจมิได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับระดับชั้นของแฟนคลับชาวไทยเมื่อเปรียบเทียบกับแฟนคลับชาติอื่น ๆ

[1] บุณยนุช นาคะ (2560) แฟนคลับเกาหลี อัตลักษณ์เชิงวัตถุและชุมชนแฟนคลับ
[2] ปภาดา ราญรอน (2562) แฟนคลับศิลปินเกาหลีกับการทำแฟนโปรเจกต์ : การเป็นเจ้าแม่แฟนโปรเจคของแฟนคลับชาวไทย
[3] ชวนรู้จัก “แฟนด้อม” คืออะไร? https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/968947
[4] บุณยนุช นาคะ (2560) แฟนคลับเกาหลี อัตลักษณ์เชิงวัตถุและชุมชนแฟนคลับ

ขั้นตอนไปสู่ความสำเร็จในการรวมพลังทำแฟนโปรเจกต์ของแฟนด้อม

          ก่อนจะเป็นหนึ่งแฟนโปรเจกต์ ของแต่ละคอนเสิร์ตนั้น มีหลายขั้นตอนที่เหล่าแฟนด้อมและบ้านเบสต้องทำ เรียกได้ว่าศิลปินหนึ่งวงหากมีการเล่นคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยหลายวัน จะมีแฟนโปรเจกต์ ไม่ซ้ำกันในแต่ละวันเลยทีเดียว โดยขั้นตอนการที่จะทำให้โปรเจกต์ ประสบความสำเร็จได้ ผู้เขียนขอแบ่งเป็น 2 ส่วนดังนี้  

1.บ้านเบสเป็นหัวเรือใหญ่ในการทำแฟนโปรเจกต์  บ้านเบสของศิลปินที่ปัจจุบันเป็นศูนย์รวมข่าวสารต่าง ๆ ของศิลปิน ผ่านทางแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เป็นที่นิยม เช่น Facebook และ X โดยหน้าที่หลัก ๆ ของบ้านเบสคือการแปลข่าวสารให้เหล่าแฟนด้อม อัพเดทกิจกรรมต่าง ๆ และรวมไปถึงการโปรโมตศิลปินหลาย ๆ ด้อมจึงใช้บ้านเบสในการรวมตัวของแฟนคลับในการช่วยกันคิดแฟนโปรเจกต์ ให้กับคอนเสิร์ตต่าง ๆ โดยการทำแฟนโปรเจกต์ หนึ่งงานจะประกอบด้วย 1) การคิดโปรเจกต์ 2) การโหวตโปรเจกต์จากเหล่าแฟนด้อมว่าจะทำอะไรบ้าง เช่น Food Support (การสนับสนุนศิลปินด้วยอาหารในโอกาสต่าง ๆ)  การแปรอักษร การชูสโลแกนกระดาษ หรือการแต่งตัวของผู้เข้าร่วมคอนเสิร์ตตามเดรสโค้ด (dress code) ที่กำหนด 3) นำเสนอโปรเจกต์ต่าง ๆ ให้กับค่ายต้นสังกัดของศิลปิน หรือเอเจนซี่ผู้จัดงานคอนเสิร์ตในประเทศไทย 4) รอการอนุมัติว่าโปรเจกต์ใดสามารถดำเนินการในคอนเสิร์ตได้บ้าง 5) เมื่อโปรเจกต์ผ่านการอนุมัติแล้วหน้าที่ที่สำคัญของบ้านเบสอีกอย่างคือ การร่วมระดมทุนเหล่าแฟนด้อมเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำโปรเจกต์ และผลิตออกมาเพื่อใช้ในงานคอนเสิร์ตหรือกิจกรรมต่าง ๆ

2.พลังเล็ก ๆ ของแฟนด้อมที่เข้าร่วมคอนเสิร์ต เมื่อโปรเจกต์ผ่านการอนุมัติแล้ว จะต่อด้วยการเตรียมพร้อมในคอนเสิร์ต สิ่งที่แฟนคลับให้ความสนใจ คือ การสร้างโปรเจกต์ให้ประสบความสำเร็จ เช่น แฟนคลับบางคนจะมีส่วนร่วมตั้งแต่การระดมทุนให้กับโปรเจกต์นั้น ๆ การเป็นอาสาสมัครในการช่วยจัดทำอุปกรณ์ การกระจายข่าวสาร การช่วยกันติดแฮชแท็กในโซเชียลมีเดียล เพื่อให้ชื่อคอนเสิร์ตอยู่ในเทรนด์โซเซียลมีเดีย รวมถึงในวันสำคัญที่มีการแสดงคอนเสิร์ต แฟนคลับผู้เข้าร่วมคอนเสิร์ตจะเป็นกำลังหลักให้โปรเจกต์ที่เตรียมไว้สำเร็จลุล่วง โดยให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามข้อกำหนดของบ้านเบสหรือต้นสังกัดของศิลปิน

เงิน-ความโปร่งใส-ความเชื่อใจ เรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบแฟนโปรเจกต์

          ทุก ๆ กิจกรรมที่ได้รับการอนุมัติจากต้นสังกัดให้สามารถทำโปรเจกต์ในคอนเสิร์ตได้ ล้วนสำเร็จได้จากการระดมทุน (Donate) ของเหล่าแฟนคลับ ที่มีการตั้งเป้าหมายของยอดเงินในการระดมทุนไว้ เพื่อที่จะให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่จะทำ ยิ่งด้อมใหญ่ยิ่งใช้เงินเยอะ ตัวอย่างเช่น คอนเสิร์ตของวง TREASURE ศิลปิน   K-POP ที่ได้จัดคอนเสิร์ตชื่อ 2024 TREASURE RELAY TOUR [ REBOOT ] IN BANGKOK ในประเทศไทย เป็นเวลา 4 วัน ระหว่างวันที่ 23 พฤษภาคม–26 พฤษภาคม 2567 ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ที่มีหนึ่งในแอดมินของบ้านเบสนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในการทำแฟนโปรเจกต์ ไปใช้โดยพลการเป็นการส่วนตัวและผิดวัตถุประสงค์ จึงทำให้เหล่าแฟนคลับหลายคนเกิดความไม่พอใจและนำไปสู่การนำเข้ากระบวนการทางกฎหมาย ถึงแม้นี่จะไม่ใช่กรณีแรกที่บ้านเบสมีการฉ้อโกง แต่ทำให้เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญของการบริหารจัดการของบ้านเบสที่รับหน้าที่ในการเป็นตัวกลางการประสานทั้งแฟนคลับและต้นสังกัด

เหตุการณ์ฉ้อโกงที่เกิดขึ้น ทำให้เหล่าแฟนคลับเริ่มคิดหนักในการระดมทุนแต่ละครั้ง ว่าบ้านเบสที่ระดมทุนไปนั้นนำไปใช้อย่างถูกวัตถุประสงค์หรือไม่ แต่นอกจากใช้ความเชื่อใจของเหล่าแฟนคลับต่อบ้านเบสแล้ว ประเทศไทยควรมีมาตรการที่มีส่วนช่วยให้เกิดไม่มีการฉ้อโกงในการทำแฟนโปรเจกต์ เช่น ต้นสังกัดของศิลปิน หรือเอเจนซี่ผู้จัดงานในประเทศไทยควรมีการจัดระบบการขึ้นทะเบียนบ้านเบส และประกาศข้อกำหนดที่ชัดเจน ประกอบด้วยขอบเขตแฟนโปรเจกต์ ไม่ให้มีการจัดโปรเจกต์ที่มากเกินไปในกิจกรรมหรือคอนเสิร์ตของศิลปิน และการกำกับการดูแลเรื่องความโปร่งใส

ภาระคนดู ? สิ่งที่หลายคนรู้สึกแต่พูดได้ไม่เต็มปาก

แม้ว่าแฟนโปรเจกต์จะมีเจตนาดี แต่ก็อาจกลายเป็นภาระสำหรับคนดูบางส่วนที่ไม่ได้มีความสนใจหรือไม่ได้เตรียมตัวเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้ บางครั้งแฟนโปรเจกต์ที่ต้องการการเข้าร่วมจากคนดูทุกคน อาจทำให้เกิดความกดดันหรือความไม่สะดวกในกลุ่มคนดูที่ไม่ได้มีส่วนร่วมอย่างเต็มใจ นอกจากนี้ การจัดแฟนโปรเจกต์ที่ซับซ้อนหรือมีค่าใช้จ่ายสูง อาจเป็นภาระที่หนักสำหรับแฟนคลับที่มีทรัพยากรจำกัด ความคาดหวังในการสนับสนุนโปรเจกต์อาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจหรือรู้สึกว่าตนเองถูกบังคับให้เข้าร่วม

เช่น คุณบีม แฟนคลับผู้เข้าร่วมคอนเสิร์ตศิลปิน K-pop ให้ความเห็นเรื่องการมีแฟนโปรเจกต์ว่า ไม่ได้กดดันในการมีแฟนโปรเจกต์ แต่เราจะไม่รู้จังหวะเค้าที่แบบว่าจะต้องทำอะไร ตอนไหน เราต้องคอยมองรอบข้างว่าตรงนี้ใช่ไหม ตรงนั้นใช่ไหม แบบเก้ ๆ กัง ๆ บ้าง พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้การดูคอนเสิร์ตเราเสียอรรถรส เราก็ไม่ได้โฟกัสศิลปินเราเต็มที่ ต้องมากังวล พะวงอีกว่าจะต้องถืออะไรขึ้นตอนไหนหรือคุณเจมส์ แฟนคลับผู้เข้าร่วมคอนเสิร์ตศิลปิน K-pop ให้ความเห็นว่า ที่ไม่เห็นด้วยคือบางทีบางโปรเจกต์มันส่งผลกระทบต่อผู้ชม เช่น บางทีเราตั้งใจไปดูศิลปินโดยตรง บางทีในโมเม้นต์นั้นเราอาจไม่ได้อยากทำโปรเจกต์ขนาดนั้น อาจจะอยากตั้งใจฟัง ตั้งใจดูศิลปินมากกว่า

แล้วแฟนโปรเจกต์ ควรมีต่อหรือพอแค่นี้ ?

          เป็นคำถามที่ท้าทายในการทำแฟนโปรเจกต์แต่ละครั้งที่มักมีเสียงแตกออกเป็นสองฝั่งเสมอ ระหว่างการทุ่มสุดตัวให้กับการทำแฟนโปรเจกต์ กับอีกหนึ่งคำถามว่าทำไมเราต้องทำอะไรมากมายกับการมาดูคอนเสิร์ตที่เราจ่ายเงินเพื่ออยากไปฮิลใจไม่ใช่ไปทำอะไรที่ยุ่งยากมากมาย ซึ่งในผู้ชมบางท่านไม่ได้คาดหวังการมีอยู่ของแฟนโปรเจกต์ คุณเจมส์ แฟนคลับผู้เข้าร่วมคอนเสิร์ตศิลปิน K-pop ให้ความเห็นว่า ไม่คาดหวังในฐานะที่ไปคอนมาคือจะไปดูศิลปิน ไม่ได้ตั้งใจจะไปทำอะไรให้ศิลปิน เรารู้สึกว่าเราไปเสพโมเม้นต์อะไรแบบนั้น มากกว่าที่ไปนั่งทำอะไรที่งุ้งงิ้งแบบนั้น ทำได้นะแต่โฟกัสที่เราไปคอนเสิร์ตอ่ะ เราอยากไปเจอศิลปิน ไปฟังเพลง ไปเสพบรรยากาศ

แต่ในแฟนคลับบางคนก็คาดหวังและสนับสนุนการมีแฟนโปรเจกต์ด้วย เช่น คุณอ้อม แฟนคลับผู้เข้าร่วมคอนเสิร์ตศิลปิน K-pop ให้ความเห็นว่า การมีแฟนโปรเจกต์ในคอนเสิร์ตมันเป็นการที่ให้ศิลปินประทับใจในตัวแฟนคลับที่เราพยายามทำบางสิ่งบางอย่างด้วยความรักให้เขาค่ะและ คุณโดนัท แฟนคลับผู้เข้าร่วมคอนเสิร์ตศิลปิน K-pop ให้ความเห็นว่า การทำแฟนโปรเจกต์เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารักดีนะ เพราะว่ามันเป็นความทรงจำของศิลปินด้วย แล้วก็เวลาเราทำศิลปินเขาแฮปปี้ เราก็รู้สึกแบบคอมพลีท

นอกจากจะสร้างความประทับใจให้ศิลปินแล้ว การทำแฟนโปรเจกต์ก็เป็นอีกใบเบิกทางหนึ่ง ที่สื่อให้เห็นว่าฐานแฟนคลับที่แข็งแรงนั้นนำมาด้วยมูลค่าทางเศรษฐกิจ และความนิยมของศิลปินที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทำให้ศิลปินที่เราชอบมาทำกิจกรรมในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

แม้จะเป็นความสมัครใจ ไม่มีการบังคับจากต้นสังกัดหรือบ้านเบสโดยตรง แต่การทำแฟนโปรเจกต์ ต้องไม่เป็นการกดดันผู้คนที่มาดูคอนเสิร์ตมากเกินไป โดยทั้งต้นสังกัด ศิลปิน หรือกระทั่งแฟนคลับควรมีส่วนร่วมในการสร้างข้อกำหนดหรือกฎระเบียบในการทำแฟนโปรเจกต์ ให้มีความโปร่งใส ผ่านการบริหารจัดการที่ดี และสามารถตรวจสอบได้ รวมไปถึงการคำนึงถึงความยินยอมในการการทำแฟนโปรเจกต์ของผู้เข้าร่วม เช่น การกรอกแบบฟอร์มความยินยอมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นการบังคับในทางอ้อมต่อผู้เข้าร่วม จะทำให้แฟนโปรเจกต์เป็นกิจกรรมการสื่อสารความรัก ที่สร้างความรู้สึกและความทรงจำที่ประทับใจระหว่างศิลปินและแฟนคลับ รวมถึงผู้เข้าร่วมกิจกรรมหรือคอนเสิร์ตนั้น ๆ ด้วย

ก.ค. 67 “Butterbear” ยังครองอันดับ 1“โอลิมปิก 2024” ติดอันดับ 2 ซีรีส์หญิงรักหญิง “ใจซ่อนรัก” มาแรงอันดับ 3สื่อฯ ดัน “ปลาหมอคางดำ” ติดอันดับ 9ขณะที่ TikTok ยังเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยม

การสำรวจประเด็นการสื่อสารในโลกออนไลน์ 5 แพลตฟอร์มในเดือนกรกฎาคม 2567 พบว่า น้องหมีเนย หรือ Butterbear ยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจสูงสุด เป็นอันดับที่ 1 ต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว ด้วยสัดส่วน Engagement มากถึง 18.73% ตามด้วยการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 เป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน Engagement ที่ 13.81% ขณะที่ปลาหมอคางดำแพร่ระบาด เป็นอันดับ 9 ด้วยสัดส่วน Engagement ที่ 6.37%

ทั้งนี้ เหตุที่ความนิยมมาสคอตร้าน Butterbear เป็นประเด็นที่คนในสื่อสังคมออนไลน์ให้ความสนใจและสร้าง Engagemant มากที่สุดต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงกรกฎาคม มาจากกิจกรรม Meet and Greet ที่ทางร้านจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกสัปดาห์ การร่วมมือ (Collab) กับศิลปิน เช่น ไอซ์ ศรัณยู, ภีม วสุพล ไปจนถึงห้องเสื้อแบรนด์ดังต่าง ๆ ทำให้สามารถสร้างกระแสความนิยมได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ได้รับ Engagement เป็นอันดับที่ 2 โดยในช่วงแรกเป็นประเด็นชุดพิธีการของนักกีฬาไทยและประเทศต่าง ๆ จากนั้นเป็นบรรยากาศพิธีเปิดโอลิมปิก 2024  ที่เชื่อมโยงกับการเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศส การทำ Vlog ของนักกีฬาไทยที่เข้าร่วมโอลิมปิก และการร่วมเชียร์การแข่งขันของผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์

สำหรับการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ซึ่งติดอันดับที่ 8 และปัญหาปลาหมอคางดำแพร่ระบาด ซึ่งติดอันดับที่ 9 เป็นอีก 2 ประเด็นที่ไม่ใช่เรื่องสื่อ สิ่งบันเทิง ซึ่งสามารถติด 10 อันดับแรก ในเดือนกรกฎาคม 2567 แต่ในภาพรวม พบว่า กลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง ยังได้รับความสนใจมากถึง 7 ใน 10 อันดับ ที่น่าสนใจ คือ ความนิยมของซีรีส์เรื่องใจซ่อนรัก ที่ออกอากาศทางช่อง 3 ซึ่งกระโดดจากอันดับที่ 14 ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่อันดับ 3 ในเดือนกรกฎาคม 2567 รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง ยูเรนัส 2324 ซึ่งติดอันดับที่ 10  โดยทั้งสองเรื่อง มีเนื้อหาเกี่ยวความสัมพันธ์รักระหว่างหญิง-หญิง  

ส่วนประเด็นเชิงสังคม และข่าวใหญ่อื่น ๆ เช่น พื้นที่ทับซ้อนของอุทยานแห่งชาติทับลาน และ การตั้งข้อสงสัยในวุฒิการศึกษาของแพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภา โดนัล ทรัมป์ ถูกลอบสังหารระหว่างปราศรัยหาเสียง และฆาตกรรมชาวเวียดนาม 6 ศพ ไม่ติด 10 อันดับแรก

10 ประเด็นที่ได้รับความสนใจ มีการสื่อสารและมีส่วนร่วมมากที่สุดในโลกออนไลน์ เดือนกรกฎาคม 2567

Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับ Wisesight ศึกษาการสื่อสารออนไลน์ของสังคมไทย โดยใช้เครื่องมือ ZocialEye สำรวจจาก 5 แพลตฟอร์ม ได้แก่ 1) Facebook 2) X 3) Instagram 4) YouTube และ 5) TikTok โดยเริ่มจากการค้นหาเทรนด์ หรือกระแสสังคมที่เป็นที่พูดถึงจากหลากหลายที่มา เช่น Wisesight Trend และเทรนด์ของแพลตฟอร์มทั้ง 5 แพลตฟอร์ม หลังจากนั้นใส่คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญที่พบจากการสำรวจในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เช่น Butterbear โอลิมปิก ใจซ่อนรัก เป็นต้น และนำข้อมูลที่ได้มาจัดเป็นประเด็น หมวดหมู่ ประเภทแพลตฟอร์ม กลุ่มผู้สื่อสาร กลุ่มเนื้อหา ตามเกณฑ์ที่ได้จัดทำขึ้น และเรียงลำดับตามจำนวน Engagement ได้ 10 อันดับ เมื่อนักวิเคราะห์ข้อมูลได้ทำการคัดกรองและจัดหมวดหมู่ข้อมูลแล้ว จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาโดยอ้างอิงจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (Empirical Data) ได้แก่ ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์ วันที่และเวลา จำนวนค่าปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเที่ยงตรง และเป็นการลดอคติของนักวิเคราะห์ข้อมูล โดยประเด็นที่โลกออนไลน์ให้ความสนใจในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 มีดังนี้

อันดับที่ 1 น้องหมีเนย มาสคอตร้าน Butterbear (44,187,828 Engagement)

          น้องหมีเนย มาสคอตจากร้าน Butterbear ยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องจากเดือนมิถุนายน โดยลักษณะของโพสต์ที่ได้รับ Engagement สูง ยังคงเป็นคลิปน้องหมีเนยเต้นเพลงที่ได้รับความนิยม เช่น เพลงยายแล่ม ของลำไย ไหทองคำ การร่วมเต้นหรือร่วมกิจกรรมกับศิลปิน (Collab) อื่น ๆ เช่น ไอซ์ ศรัณยู การแต่งกายเลียนแบบ  ลิซ่าในเพลง Rockstar รวมทั้งชุดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการแชร์ภาพ แชร์วิดีโอความน่ารักของน้องหมีเนยระหว่างทำกิจกรรมต่าง ๆ จากกลุ่มมัมหมี หรือ Fanclub มีการใช้ช่องทางสื่อสารอย่างเป็นทางการของร้าน Butterbear โดยผู้ใช้งานที่สร้าง Engagement มากที่สุด ได้แก่ ผู้ใช้งานทั่วไป โดยมีแพลตฟอร์ม TikTok สร้าง Engagement สูงสุด ที่ 61.65%

อันดับที่ 2 การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 (32,572,979 Engagement)

          โอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 33 จัดขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 11 สิงหาคม 2567 โดย Engagement มาจากการเปิดตัวชุดพิธีการของทีมชาติไทยและทีมชาติต่างๆในพิธีเปิดมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2024 เช่น มองโกเลีย ฝรั่งเศส เกาหลี รวมถึงดราม่ากระแสวิพากษ์วิจารณ์ชุดพิธีการของประเทศไทย จากการเปิดตัว โดย Presenter ปอป้อ ทรัพย์สิรี เกิดกระแสสังคมตำหนิว่าดูโบราณ ไม่เหมาะสมเมื่อเทียบกับหลายประเทศ รวมทั้งมีการตัดต่อภาพของผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ในเชิงล้อเลียนชุดประจำชาติในแพลตฟอร์มต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงบรรยากาศพิธีเปิดโอลิมปิกอย่างเป็นทางการ เช่น การจุดคบเพลิงที่แตกต่างจากโอลิมปิกครั้งก่อนอย่างการใช้บอลลูน อัศวินขี่ม้ากลางแม่น้ำแซน ตัวละครหน้ากากลึกลับที่ถือคบเพลิง การแสดงของวง Gojira ที่มีการนำเสนอเกี่ยวกับพระนางมารี อ็องตัวแน็ต ณ Conciergerie สถานที่คุมขังสุดท้ายก่อนถูกประหารด้วยกิโยติน รวมถึงรีวิวห้องพักนักกีฬาและและสิ่งของที่ได้รับจากผู้สนับสนุนหลักในการจัดงาน การเชียร์กีฬาประเภทต่าง ๆ ที่นักกีฬาไทยลงแข่ง โดยผู้ใช้งานที่สร้าง Engagement มากที่สุด ได้แก่ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีแพลตฟอร์ม TikTok สร้าง Engagement สูงสุด ที่ 35.60%

อันดับที่ 3 ซีรีส์ใจซ่อนรัก (24,669,345 Engagement)

          ใจซ่อนรัก (The Secret Of Us) เป็นซีรีส์แนวแซฟฟิค (Sapphic) หรือ หญิงรักหญิง นำแสดงโดยหลิงหลิง ศิริลักษณ์ และ ออม กรณ์นภัส ออกอากาศทางช่อง 3 เนื้อหาเล่าถึง แพทย์หญิงฟ้าลดา แพทย์ผิวหนังผู้มีปมในใจจากการถูก เอิน หญิงสาวที่เธอรักหักอกจนชีวิตแทบพัง เธอพยายามอยู่นานกว่าจะกลับมามีชีวิตปกติได้ แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกให้ทั้งคู่ต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง และครั้งนี้เอินต้องการจะพิสูจน์ว่ายังรักฟ้าลดาอยู่ และต้องการกลับมารักกัน แต่รักครั้งนี้กลับเป็นเรื่องยาก ท่ามกลางอุปสรรคความรักที่ประดังเข้ามา โดยมีผู้ใช้งานทั่วไป เป็นผู้สื่อสารที่สร้าง Engagement มากที่สุด จากการแบ่งปัน Highlight ละคร และคลิปเบื้องหลัง ซึ่งแพลตฟอร์ม X สร้าง Engagement สูงสุด ที่ 46.22%

อันดับที่ 4 เพลง ROCKSTAR ของลิซ่า ลลิษา (24,333,374 Engagement)

          หลังจาก ลิซ่า ลลิษา ปล่อยมิวสิควิดีโอเพลง Rockstar ในวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ส่งผลให้เป็นกระแสความนิยมไปทั่วโลก ต่อเนื่องจนถึงเดือนกรกฎาคม โดยในเดือนนี้เนื้อหาที่ได้รับ Engagement สูง เป็นการเต้น Cover การแต่งหน้าและแต่งกายเลียนแบบลิซ่า การกล่าวถึงมิวสิควิดีโอ Rockstar ที่มียอดผู้เข้าชมถึง 100 ล้านครั้ง รวมถึงติดอันดับเพลงมาแรงบนยูทูปไปทั้งหมด 71 ประเทศ โดยผู้ใช้งานที่สร้าง Engagement มากที่สุด ได้แก่ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์  โดยใช้แพลตฟอร์ม TikTok สร้าง Engagement สูงสุด ที่ 47.22%

อันดับที่ 5 นาย ณภัทร และใบเฟิร์น พิมพ์ชนกประกาศยุติความสัมพันธ์ (23,659,226 Engagement)

          นาย ณภัทร ประกาศยุติความสัมพันธ์ในฐานะคู่รักอย่างเป็นทางการกับใบเฟิร์น พิมพ์ชนก เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ส่งผลให้สื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งเป็นผู้สื่อสารหลักในประเด็นนี้ให้ความสนใจประเด็นสาเหตุของการเลิกกันของทั้งสองคน การให้สัมภาษณ์ของนาย ณภัทร และ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก รวมถึงการแสดงความเสียใจกับทั้งสองคน โดยแพลตฟอร์ม TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement สูงสุด ที่ 54.74%

อันดับที่ 6 ละครดุจอัปสร (22,894,210 Engagement)

          ดุจอัปสร เป็นหนึ่งในละครชุด ดวงใจเทวพรหม นำแสดงโดย กองทัพ พีค และ มิ้นท์ รัญชน์รวี ออกอากาศทางช่อง 3 โดยในเดือนกรกฎาคมจะเป็นช่วงท้ายของละคร ที่อวสานในวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ส่งผลให้มี Engagement จำนวนมาก ส่วนใหญ่มาจากการตัดฉากสำคัญภายในละครมาโพสต์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยเฉพาะ TikTok ของผู้ใช้งานทั่วไป ทำให้ได้รับ Engagement จำนวนมาก ที่ 48.96%

อันดับที่ 7 ซีรีส์เขียนรักด้วยยางลบ (18,042,539 Engagement)

          My Love Mix-Up! – เขียนรักด้วยยางลบ ซีรีส์วายจากช่อง GMM25 นำแสดงโดย เจมีไนน์ นรวิชญ์ และ โฟร์ท ณัฐวรรธน์ ซึ่งโด่งดังมาจากซีรีส์แฟนผมเป็นประธานนักเรียน ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น มีเนื้อหาเกี่ยวกับ อะตอม นักเรียนมัธยมปลายได้ยืมยางลบของ มัดหมี่ เพื่อนร่วมห้องสาวที่เค้าแอบรัก ทำให้ได้เห็นว่ามัดหมี่แอบเขียนชื่อของ กองทัพ หนุ่มนักบาสสุดหล่อลงในยางลบ อะตอมเผลอทำยางลบตก ทำให้กองทัพเห็นว่ายางลบก้อนนั้นมีชื่อของตัวเอง นำมาสู่ความเข้าใจผิดว่าอะตอมแอบชอบเขาอยู่ ส่วนใหญ่ Engagement ของซีรีส์ มาจากผู้ใช้งานทั่วไปซึ่งเป็นกลุ่มแฟนคลับของนักแสดงที่แชร์ภาพ วิดีโอ เบื้องหลังละคร และเพลงไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ที่ร้องโดย เจมีไนน์ นรวิชญ์ และ โฟร์ท ณัฐวรรธน์ โดยแพลตฟอร์ม Instagram สามารถสร้าง Engagement ได้สูงสุดที่ 37.10%

อันดับที่ 8 การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 (15,875,359 Engagement)

          การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปหรือยูโร 2024 จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี ในวันที่ 14 มิถุนายน – 14 กรกฎาคม 2567 โดยในเดือนกรกฎาคมเป็นการแข่งขันในรอบ 8 ทีมสุดท้าย Engagement ที่มากที่สุดมาจากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศระหว่างอังกฤษ และสเปน ในวันที่ 14 กรกฎาคม โดยผู้สื่อสารที่สร้าง Engagement สูงสุดเป็นผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ ส่วนใหญ่เป็นการรายงานผลการแข่งขัน และการแสดงความยินดีกับผู้ชนะ บนแพลตฟอร์ม Facebook จำนวน 37.53%

อันดับที่ 9 ปัญหาปลาหมอคางดำแพร่ระบาด (15,019,759 Engagement)

          จากการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในหลายพื้นที่ สร้างความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร ทั้งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำ เนื่องจากปลาหมอคางดำสามารถอาศัยได้ในทุกแหล่งน้ำ สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว อีกสาเหตุที่ประเด็นนี้เป็นกระแสดังในช่วงข้ามคืน เนื่องจากมีการปล่อยข้อมูลที่มีความเชื่อมโยงกับบริษัทอาหารยักษ์ใหญ่ของประเทศ ทำให้สื่อสังคมออนไลน์ให้ความสนใจ โดยผู้สื่อสารที่สร้าง Engagement มากที่สุดคือ สื่อ สำนักข่าว บนแพลตฟอร์ม Facebook จำนวน 52.87%

อันดับที่ 10 งานเปิดตัวภาพยนตร์ยูเรนัส2324 (14,679,970 Engagement)

          ภาพยนตร์ยูเรนัส2324 เป็นภาพยนตร์ไซไฟอวกาศเรื่องแรกของไทยที่ผสมเรื่องราวโรแมนติกดราม่าของนักบินอวกาศหญิงคนไทยคนแรก และหญิงสาวผู้มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักกีฬาดำน้ำ นำแสดงโดย ฟรีน สโรชา และ เบคกี้ รีเบคก้า ซึ่งโด่งดังมาจากซีรีส์ทฤษฎีสีชมพู และจะมีผลงานคู่กันอีกในซีรีส์เรื่องปิ่นภักดิ์ นอกจากนี้ยูเรนัส2324 ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ได้รับทุนสนับสนุนการสร้างเพื่อส่งเสริมซอฟพาวเวอร์ และยังสามารถขายลิขสิทธิ์การฉายไปมากกว่า 27 ประเทศ โดยผู้สื่อสารที่สร้าง Engagement มากที่สุด คือ ผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการนำภาพ วิดีโอในวันเปิดตัวภาพยนตร์ และภาพเบื้องหลังมาโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม X ที่สร้าง Engagement สูงสุด จำนวน 64.52%

โดยสรุป ทิศทางของการสื่อสารในโลกออนไลน์ของเดือนกรกฎาคม 2567 จาก 5 แพลตฟอร์มที่เป็นหน่วยการศึกษา คือ 1) Facebook 2) X 3) Instagram 4) YouTube และ 5) TikTok พบว่า ใน 10 ประเด็นที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เป็นกลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง 7 ประเด็นคิดเป็น 73.10% กลุ่มเนื้อหากีฬา 2 ประเด็น มีสัดส่วน 20.53% และกลุ่มเนื้อหาการเมือง 1 ประเด็นที่ 6.37%

ในขณะที่ประเด็นเชิงสังคม และข่าวใหญ่อื่น ๆ พบว่า ไม่ติด 1 ใน 10 อันดับแรก ตัวอย่างเช่น พื้นที่ทับซ้อนของอุทยานแห่งชาติทับลาน ที่ติดอันดับ 11 (14,273,993 Engagement ) ซึ่งช่วงแรกมาจากแคมเปญ #saveทับลาน ที่สะท้อนความห่วงใยและความหวงแหนพื้นที่ป่า จากนั้นจึงมีการนำเสนอข้อมูลอีกด้าน โดยเฉพาะจากฝั่งชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากประกาศเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน รวมทั้งจากสื่อและผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ที่อาจทำให้ความร้อนแรงของกระแส #saveทับลาน ลดลง

นอกจากนี้ ยังพบประเด็นการตั้งข้อสงสัยในวุฒิการศึกษาของแพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภาซึ่งได้รับคะแนนสูงสุด เป็นอันดับหนึ่ง ติดอันดับ 16 (5,071,706 Engagement) และเป็นประเด็นที่อยู่ในกระแสความสนใจของสังคมและสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง ข่าวโดนัล ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถูกลอบสังหารระหว่างปราศรัยหาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งอีกครั้ง ติดอันดับที่ 17 (3,858,954 Engagement) และข่าวฆาตกรรมชาวเวียดนาม 6 ศพ ในโรงแรมหรูกลางกรุงเทพฯ ติดอันดับที่ 18 (2,052,450 Engagement) เป็นต้น

10 ประเด็น 3 กลุ่มเนื้อหา

จาก 10 ประเด็นที่ได้รับความสนใจและมีการสื่อสารในสื่อสังคมออนไลน์มากที่สุด ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 สามารถจำแนกเนื้อหาออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง รวม 172,466,492 Engagement คิดเป็น 73.10% จาก 7 ประเด็น คือ น้องหมีเนยมาสคอตร้าน Butterbear (44,187,828 Engagement), ซีรีส์ใจซ่อนรัก (24,669,345 Engagement), เพลง ROCKSTAR ของลิซ่า ลลิษา (24,333,374 Engagement), นาย ณภัทรและใบเฟิร์น พิมพ์ชนกประกาศยุติความสัมพันธ์ (23,659,226 Engagement), ละครดุจอัปสร (22,894,210 Engagement), ซีรีส์เขียนรักด้วยยางลบ (18,042,539 Engagement), งานเปิดตัวภาพยนตร์ยูเรนัส2324 (14,679,970 Engagement)

กลุ่มเนื้อหากีฬา รวม 48,448,338 Engagement คิดเป็น 20.53% จาก 2 ประเด็น  คือ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 จำนวน 32,572,979 Engagement และการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 จำนวน 15,875,359 Engagement

กลุ่มเนื้อหาสิ่งแวดล้อม 1 ประเด็น จำนวน 15,019,759 Engagement คิดเป็น 6.37% คือ ปัญหาปลาหมอคางดำแพร่ระบาด จำนวน 15,019,759 Engagement คิดเป็น 6.36%  

กลุ่มเนื้อหาที่ได้รับความสนใจมากที่สุด จำแนกตามผู้สื่อสารและแพลตฟอร์ม

กลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง มีกลุ่มผู้สื่อสารที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วม หรือมี Engagement มากที่สุด คือ ผู้ใช้งานทั่วไป (61.34%) รองลงมาได้แก่ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (28.08%), สื่อ สำนักข่าว (10.26%) และ แบรนด์ (0.32%) โดยมี TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement มากที่สุดที่ 43.61% รองลงมาได้แก่ X (27.90%), Instagram (18.25%), Facebook (7.78%), YouTube (2.46%)

กลุ่มเนื้อหากีฬา มีกลุ่มผู้สื่อสารที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วม หรือมี Engagement มากที่สุด คือ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (44.62%) รองลงมาได้แก่ ผู้ใช้งานทั่วไป (42.20%), สื่อ สำนักข่าว (12.20%) และอื่น ๆ ได้แก่ แบรนด์ (0.96%) และพรรคการเมือง (0.02%) โดยมี Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement มากที่สุดที่ 35.77% รองลงมาได้แก่ TikTok (35.61%), X (15.63%), Instagram (10.23%), YouTube (2.76%)

กลุ่มเนื้อหาสิ่งแวดล้อม มีกลุ่มผู้สื่อสารที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วม หรือมี Engagement มากที่สุด คือสื่อ สำนักข่าว (48.52%) รองลงมาได้แก่ ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (27.29%), ผู้ใช้งานทั่วไป (22.22%) และ อื่น ๆ ได้แก่ พรรคการเมือง (1.82%) แบรนด์ (0.15%) โดยมี Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement มากที่สุดที่ 52.88% รองลงมาได้แก่ TikTok (29.92%), YouTube (7.76%), X (4.95%), Instagram (4.49%)

วิเคราะห์กลุ่มผู้สื่อสาร

          ในช่วงกรกฎาคม 2567 สามารถจำแนกผู้สื่อสารสร้าง Engagement ในสื่อออนไลน์ ในภาพรวมได้ 5 กลุ่ม คือ ผู้ใช้งานทั่วไป ในสัดส่วน 54.92% ตามด้วย ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (31.42%), สื่อ สำนักข่าว (13.10%), แบรนด์ (0.44%) และ พรรคการเมือง (0.12%)

โดยผู้ใช้งานทั่วไปสามารถสร้าง Engagement ได้มากที่สุดในกลุ่มเนื้อหา สื่อ สิ่งบันเทิง ส่วนใหญ่มาจากการแชร์ภาพน้องหมีเนย, Highlight ซีรีส์ใจซ่อนรัก, Highlight ละครดุจอัปสร และ ข่าวนาย ณภัทรและใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ประกาศยุติความสัมพันธ์

ส่วนผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์สร้าง Engagement มากที่สุดในกลุ่ม เนื้อหา สื่อ สิ่งบันเทิง เช่นกัน จากการเต้น Cover การแต่งหน้าและแต่งกายเลียนแบบลิซ่าในเพลง ROCKSTAR และโพสต์ของช่องทางอย่างเป็นทางการของน้องหมีเนยมาสคอตร้าน Butterbear

จะเห็นได้ว่าในกลุ่มเนื้อหา สื่อ สิ่งบันเทิง ในเดือนกรกฎาคม 2567 ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถสร้าง Engagement สูงสุด โดยการสร้างคอนเทนต์ (User-Generated Content) ขึ้นมาเอง เช่น การแบ่งปันภาพ วิดีโอของน้องหมีเนย มาสคอตร้าน Butterbear ที่พบว่ามี Engagement จากผู้ใช้งานทั่วไปที่สัดส่วน 61.65% (ลดลงจากเดือนมิถุนายนที่มีสัดส่วนมากถึง 90.73%), ซีรีส์ใจซ่อนรักที่ผู้ใช้งานทั่วไปสร้าง Engagement ที่ 76.40% ยกตัวอย่าง เช่น การตัด Highlight ละครมาโพสต์ซ้ำ เบื้องหลังละคร เป็นต้น

กลุ่มเนื้อหากีฬา พบว่า Engagement ที่ได้มักมาจากผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ ในสัดส่วน 44.62% ตามด้วย ผู้ใช้งานทั่วไป (42.20%), สื่อ สำนักข่าว (12.20%) และแบรนด์ (0.96%) ส่วนใหญ่เป็นการแชร์คอนเทนต์เกี่ยวกับโอลิมปิกของนักกีฬา เช่น เฟรม ธนาคาร นักกีฬาจักรยาน แชร์วิดิโอห้องพักนักกีฬาและสิ่งของที่ได้รับจากผู้สนับสนุน และการวิเคราะห์ผลการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ของผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ชื่นชอบฟุตบอล เช่น นิกกี้ ณฉัตร วาทะ ลูกหนัง –Football Quotes- ตัวเทพฟุตบอล เป็นต้น

กลุ่มเนื้อหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องปลาหมอคางดำเพียงประเด็นเดียว พบว่า Engagement ที่ได้มักมาจากสื่อ สำนักข่าว (48.52%) ตามด้วย ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ (27.29%), ผู้ใช้งานทั่วไป (22.22%) และ อื่น ๆ ได้แก่ พรรคการเมือง 1.82% แบรนด์ 0.15% โดยสาเหตุที่สื่อสำนักข่าวมี Engagement เป็นอันดับหนึ่ง มาจากการนำเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับความพยายามในการกำจัดปลาหมอคางดำ และการหาสามารถของการแพร่ระบาด เช่น ข่าวการปล่อยสัตว์นักล่า อย่างปลากะพง ตัวนาก เพื่อกำจัดและลดจำนวนประชากรปลาหมอคางดำ ข่าวการพบปลาหมอคางดำในทะเล ข่าวความทนต่อสภาพแวดล้อมของปลาหมอคางดำ ตากแดดไม่ตาย และการเปิดไทม์ไลน์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ จากช่อง Thai PBS ส่วนสำนักข่าวอื่นจะเน้นไปในการอัพเดทสถานการณ์และแนวทางในการแก้ไขปัญหา  

วิเคราะห์แพลตฟอร์มการสื่อสาร

          จาก 10 อันดับที่โลกออนไลน์ให้ความสนใจมากที่สุดในช่วงกรกฎาคม 2567 สามารถจำแนกแพลตฟอร์มการสื่อสารที่สร้าง Engagement ตามลำดับ คือ TikTok ในสัดส่วน 41.09% ตามด้วย X (23.92%), Facebook (16.40%), Instagram (15.73%) และ YouTube (2.86%)

 เมื่อพิจารณาแพลตฟอร์มการสื่อสารในภาพรวมจากฐานประเด็นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 10 อันดับแรกพบว่า เดือนกรกฎาคม 2567 TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 แทนที่ X (ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมในเดือนก่อนหน้า) อาจเนื่องมาจากประเด็นที่ได้รับ Engagement สูง ในเดือนกรกฎาคม 2567  เป็นประเด็นที่มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์นิยมสร้างเนื้อหาในลักษณะวิดีโอมากกว่าการอัพเดทสถานการณ์หรือแชร์ภาพ เช่น คลิปน้องหมีเนยเต้น เพลงยายแล่ม ของลำไย ไหทองคำ การทำวิดีโอวิเคราะห์สาเหตุที่นาย ณภัทร และใบเฟิร์น พิมพ์ชนกประกาศการยุติความสัมพันธ์ การทำคลิปเต้น Cover และการแต่งหน้าและแต่งกายเลียนแบบลิซ่าในเพลง ROCKSTAR ซึ่งTikTok มักตอบโจทย์ในการสื่อสารและสร้าง Engagement จากคอนเทนต์ลักษณะนี้ได้มากกว่าแพลตฟอร์มอื่น กล่าวคือ หากประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นในลักษณะวิดีโอสั้น มีการใส่ความเห็น มุมมอง และการเล่าเรื่องผ่านภาพเคลื่อนไหวและเสียงที่สามารถดึงดูดผู้ชมได้ดีกว่า ทำให้ผู้ใช้งานสื่อออนไลน์สามารถเข้าถึงได้ง่าย ส่งผลให้ TikTok สร้าง ในการสื่อสารได้มากกว่า แต่ถ้าหากเป็นประเด็นที่เฉพาะเจาะจง เช่น ประเด็นมีความเกี่ยวข้องกับดารา นักแสดงวัยรุ่น คอนเสิร์ต หรือซีรีส์ที่เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ หรือรูปแบบคอนเทนต์ที่ต้องการความสดใหม่ เรียลไทม์ หรือการสื่อสารมีส่วนร่วมแบบทันที (React/Feedback) แพลตฟอร์ม X จะสามารถสร้าง Engagement ได้ดีกว่า

นอกจากนี้ในกลุ่มเนื้อหากีฬา พบว่า Facebook สร้าง Engagement ในการสื่อสารได้มากกว่า TikTok เพียงเล็กน้อยจากการแบ่งปันภาพ Hightlight กีฬา การวิเคราะห์ผลการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 การแบ่งปันภาพ วิดิโอที่เกี่ยวข้องกับโอลิมปิก 2024 สาเหตุที่ทำให้ Facebook รวมไปถึง TikTok สามารถสร้าง Engagment ได้สูงในกลุ่มเนื้อหานี้ อาจเนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้จำนวนมาก ทำให้มีผู้รับชมทุกเพศทุกวัย และอาจเป็นแพลตฟอร์มที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการสื่อสารในประเด็นที่อยู่ในกระแสความสนใจของประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งในไทยและต่างประเทศ

สำหรับกลุ่มเนื้อหาสิ่งแวดล้อม ในประเด็นปัญหาปลาหมอคางดำแพร่ระบาด พบว่าส่วนใหญ่แล้ว สื่อสำนักข่าว มีบทบาทในการนำเสนอประเด็นอย่างมาก ทั้งในภาพรวมการสื่อสาร และกาวิเคราะห์รายแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม Facebook และ YouTube ซึ่งสื่อ สำนักข่าวสามารถสร้าง Engagement ได้เป็นอันดับที่ 1 ในขณะที่ช่องทาง TikTok ซึ่งในภาพรวมพบว่าเป็นแพลตฟอร์มอันดับ 2 ที่มีการสื่อสารในประเด็นปลาหมอคางดำ แต่ผู้สื่อสารที่สามารถสร้าง Engagement ในเรื่องปลาหมอคางดำผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ได้มากที่สุด คือ กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป

ประเด็นและกลุ่มเนื้อหา

กล่าวโดยสรุป การสื่อสารออนไลน์ของเดือนกรกฎาคม 2567 ในภาพรวม 10 อันดับแรก พบว่า กลุ่มเนื้อหา สื่อ สิ่งบันเทิง ยังคงได้รับความสนใจสูงที่สุดเป็นจำนวน 7 ประเด็น คิดเป็นสัดส่วนที่ 73.10% โดยประเด็นที่ได้รับความสนใจสูงสุด คือ น้องหมีเนยมาสคอตร้าน Butterbear ด้วยสัดส่วน 18.73% ตามด้วยประเด็นในกลุ่มสื่อ สิ่งบันเทิงอื่น ๆ เช่น ซีรีส์ใจซ่อนรัก เพลง ROCKSTAR ของลิซ่า ลลิษา ละครดุจอัปสร นาย ณภัทรและใบเฟิร์น พิมพ์ชนกประกาศยุติความสัมพันธ์ เป็นต้น

สำหรับประเด็นที่ไม่ใช่กลุ่มสื่อ สิ่งบันเทิง ที่ติด 1 ใน 10 อันดับแรก คือ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ติดอันดับที่ 2 ด้วยสัดส่วน, การแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ติดอันดับที่ 8 และ ปัญหาปลาหมอคางดำแพร่ระบาด ติดอันดับที่ 9

ทั้งนี้ น้องหมีเนยมาสคอตร้าน Butterbear และเพลง Rockstar เป็นประเด็นที่ต่อเนื่องมาจากเดือนมิถุนายน ซึ่งรูปแบบในการสื่อสารมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ ความนิยมมาสคอตร้าน Butterbear มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับเดือนมิถุนายน ที่เป็นการแบ่งปันภาพ วิดีโอความน่ารักของน้องหมีเนยจากกลุ่มแฟนคลับที่เรียกตนเองว่ามัมหมี รวมถึงการพยายามเกาะกระแสเพลงที่ได้รับความนิยมในช่วงเวลานั้น เช่น เพลงยายแหล่ม ของลำไย ไหทองคำ เป็นต้น ส่วนกระแสเพลง ROCKSTAR ของลิซ่า กลับกลายเป็นโพสต์ของผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีการเต้น Cover หรือ การแต่งหน้าและแต่งกายเลียนแบบลิซ่าในเพลง ROCKSTAR ผ่านทางแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยเฉพาะ TikTok แทนการกล่าวถึงมิวสิควิดีโอเพลง

ที่น่าสนใจคือ ความนิยมของกระแสซีรีส์ใจซ่อนรัก และภาพยนตร์เรื่องยูเรนัส 2324 ซึ่งได้รับความนิยมสูง ในอันดับ 3 และ 10 ตามลำดับ จัดเป็นคอนเทนต์สื่อ สิ่งบันเทิง แนวหญิงรักหญิง หรือแซฟฟิก (Sapphic) ทั้ง 2 เรื่อง โดยจะเห็นว่า จากการจัดอันดับความสนใจตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา กระแสความนิยมของละครหรือคอนเทนต์แนวหญิงรักหญิง เริ่มติด 10 อันดับความสนใจครั้งแรก ในเดือนมิถุนายน 2567 จากกระแสละคร Club Friday the Series:  Love Bully รักให้ร้าย นำแสดงโดยอิงฟ้า-ชาร์ล็อต ซึ่งติดในอันดับ 5 และการเปิดตัวซีรีส์เรื่องปื่นภักดิ์ (ซึ่งใช้นักแสดงนำชุดเดียวกันกับภาพยนตร์เรื่องยูเรนัส 2324) ในอันดับ 7 ซึ่งสะท้อนให้เห็นเทรนด์  หรือแนวโน้มความสนใจ การสื่อสาร และการสร้างการมีส่วนร่วมของกลุ่มแฟนละคร ภาพยนตร์ และซีรีส์แนวหญิงรักหญิง ที่มีพลัง ตลอดจน โอกาส ของผู้ผลิตซีรีส์ไทย ที่เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่พบว่ามักมีละคร ซีรีส์ หรือคอนเทนต์วาย หรือแนวชายรักชาย ติดอันดับความสนใจเป็นหลัก รวมถึงอาจสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยต่อการโอบรับความหลากหลายทางเพศ ในทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน  

ส่วนอีก 3 ประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง แบ่งเป็นกลุ่มเนื้อหากีฬา จากประเด็นการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 และการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2024 ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน คือ Engagement จะมาจากผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งการวิเคราะห์ผลการแข่งขัน หรือการแบ่งปันวิดีโอที่บันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นของนักกีฬาโอลิมปิก อย่างการถ่ายภาพห้องพักนักกีฬา หรือการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับชุดพิธีการในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกของแต่ละประเทศ เป็นต้น ส่วนประเด็นปลาหมอคางดำแพร่ระบาด เป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่มีความซับซ้อน และมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนและการเมือง ส่งผลให้ สื่อ สำนักข่าว มีบทบาทมากกว่า ผู้สื่อสารอื่น ๆ เพื่อจุดประเด็นให้สามารถผลักดันให้เป็นกระแสสังคมได้

นอกจาก 10 อันดับแรกของความสนใจ จากการสำรวจยังพบว่ามีประเด็นเชิงสังคม และข่าวใหญ่อื่น ๆ ที่สื่อสังคมออนไลน์มีส่วนร่วมเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ประเด็นพื้นที่ทับซ้อนของอุทยานแห่งชาติทับลาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนโยบายสิ่งแวดล้อม การตั้งข้อสงสัยในวุฒิการศึกษาของแพทย์หญิง เกศกมล เปลี่ยนสมัย สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองและความโปร่งใสในกระบวนการสรรหา สว. ข่าวโดนัล ทรัมป์ ถูกลอบสังหารระหว่างปราศรัยหาเสียง ซึ่งถือเป็นข่าวใหญ่ระดับโลก รวมถึงคดีฆาตกรรมชาวเวียดนาม 6 ศพ คดีสะเทือนขวัญที่นานาชาติให้ความสนใจ และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของไทย เป็นต้น ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนว่า การสื่อสารและความสนใจในโลกออนไลน์ในลำดับต้น ๆ มักเป็นเรื่องสื่อ สิ่งบันเทิง ขณะที่ความสนใจ การสื่อสาร และการมีส่วนร่วม ในประเด็นเชิงสาธารณะอื่น ๆ ของสังคมในโลกออนไลน์มักได้รับ Engagement ไม่มากเท่า ซึ่งเป็นลักษณะเทรนด์ความสนใจที่พบจากการสำรวจมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 67

ผู้สื่อสาร

ในแง่ของผู้สื่อสารพบว่า มีความใกล้เคียงกับเดือนมิถุนายน 2567 กล่าวคือ สัดส่วนผู้สื่อสารที่มี Engagement มากสุดคือ ผู้ใช้งานทั่วไป ตามด้วย ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ สื่อ สำนักข่าว และผู้สื่อสารอื่น ๆ ได้แก่ แบรนด์ พรรคการเมือง และภาครัฐ ในขณะที่เดือนกรกฎาคม มีสัดส่วนผู้สื่อสาร Engagement มากสุด คือ ผู้ใช้งานทั่วไป ตามด้วย ผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ สื่อ สำนักข่าว และผู้สื่อสารอื่น ๆ ได้แก่ แบรนด์ และพรรคการเมือง

จากการวิเคราะห์กลุ่มผู้ใช้งานเทียบกับกลุ่มเนื้อหาพบว่า กลุ่มเนื้อหาสื่อ สิ่งบันเทิง มีผู้ใช้งานทั่วไปสร้าง Engagement มากที่สุด ยกตัวอย่าง เช่น กลุ่มแฟนคลับ หรือผู้ที่ติดตามละคร ดารา นักแสดง ส่วนกลุ่มเนื้อหา กีฬา มีผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์สร้าง Engagement มากที่สุด เช่น นักกีฬา หรือ เพจที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอล กีฬา เป็นต้น 

ในขณะที่กลุ่มเนื้อหาสิ่งแวดล้อม พบว่ามีสื่อ สำนักข่าว สร้าง Engagement มากที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นแนวโน้มว่า ประเด็นที่มีความสนุกสนาน หรือ ประเด็นที่สามารถเข้าใจได้ง่าย มักมีผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเข้าถึงและสร้าง Engagement ได้สูง เช่นเดียวกับผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ส่วนประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องกับมิติสาธารณะ หรือเป็นเรื่องหนักที่มีความซับซ้อนของเรื่องราว อาจมีความจำเป็นต้อง อาศัยพลังของสื่อ สำนักข่าวในการสื่อสารเพื่อจุดประเด็น จึงสามารถผลักดันให้เป็นกระแสสังคมได้ ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาปลาหมอคางดำแพร่ระบาดที่สร้าง Engagement ภายใต้โพสต์ของสื่อ สำนักข่าวได้มากกว่าการที่คนทั่วไปสร้างคอนเทนต์ขึ้นมาเอง

แพลตฟอร์ม

จากการศึกษาการสื่อสารออนไลน์ของสังคมไทยใน 5 แพลตฟอร์ม (Facebook, TikTok, YouTube, Instagram และ X) ในเดือนกรกฎาคม สะท้อนให้เห็นถึงการใช้แพลตฟอร์มในการสื่อสารตามคอนเทนต์ที่ต้องการนำเสนอ โดยในกลุ่ม สื่อ สิ่งบันเทิง พบว่า TikTok สามารถสร้าง Engagement มากเป็นอันดับที่ 1 เนื่องจากเป็นประเด็นที่มีความสนุกสนาน รวมถึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยการบันทึกวิดีโอ ดังนั้นผู้ใช้งานจึงเลือกใช้ TikTok ในการแชร์วิดิโอ Highlight เช่น การแสดงความเห็นกรณี นาย ณภัทร และใบเฟิร์น พิมพ์ชนกประกาศยุติความสัมพันธ์ การทำคลิปเต้น Cover สอนแต่งหน้า การแต่งหน้าและแต่งกายเลียนแบบลิซ่าในเพลง ROCKSTAR เป็นต้น

เป็นที่น่าสังเกตว่าในการศึกษาเดือนกรกฎาคม แม้โดยภาพรวม Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Engagement ได้เพียง 7.78% เมื่อเทียบกับทุกแพลตฟอร์มที่เป็นหน่วยการศึกษาตามเกณฑ์ที่กำหนด แต่สำหรับในกลุ่มเนื้อหาสิ่งแวดล้อมกลับพบว่า Facebook สร้าง Engagement ได้มากถึง 52.88% จากความสนใจและมีส่วนร่วมในประเด็นการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจาก Facebook เป็นเครือข่ายสังคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีกลุ่มของผู้ใช้งานที่กว้างและครอบคลุมในทุกช่วงอายุ ประกอบกับประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกับสังคมในวงกว้าง อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้สื่อ สำนักข่าวให้ความสนใจ และเลือกใช้แพลตฟอร์ม Facebook ในการสื่อสารเรื่องราวดังกล่าวมากกว่าแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยคาดหวังให้กลุ่มเป้าหมายสาธารณะได้ตระหนักถึงปัญหา  หรืออาจเป็นไปได้เช่นกันที่สื่อ สำนักข่าวพยายามสื่อสารเรื่องปลาหมอคางดำผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย แต่แพลตฟอร์ม Facebook กลับสามารถสร้าง Engagement ได้สูงสุด  โดยพบตัวอย่างการนำเสนอเรื่องปลาหมอคางดำจากสื่อ สำนักข่าว ที่น่าสนใจ เช่น ThaiPBS นำเสนอวิธีการกำจัดปลาหมอคางดำโดยใช้ปลากะพง รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3 นำเสนอเกี่ยวกับการพบปลาหมอคางดำบริเวณทะเล และอมรินทร์ทีวีนำเสนอข่าวปลาหมอคางดำแดดเผาไม่ตาย เป็นต้น  

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสื่อ สำนักข่าวตั้งใจเลือกสื่อสารเรื่องดังกล่าวผ่าน Facebook โดยเฉพาะ หรือเป็นเพราะ Facebook เหมาะกับการสื่อสารประเด็นในลักษณะนี้มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ  แต่ประเด็นเรื่องปลาหมอคางดำ เป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สัดส่วน Engagement ในภาพรวมของ Facebook ในเดือนนี้ อยู่ที่ 7.78%  เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน ที่มีสัดส่วน Engagement ประมาณ 5.72%

ความท้าทายของซีรีส์วาย ในยุคที่ไทยมี พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม

ชัดเจนอยู่แล้วว่าซีรีส์วายไทยมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมและเพิ่มความเข้าใจในประเด็น LGBTQ+ ของสังคมไทยตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยซีรีส์วายไทยที่ได้รับความนิยมสูง มักจะมีองค์ประกอบ 2 ส่วน คือ การนำเสนอความสัมพันธ์และความจิ้น รวมถึงการสอดแทรกประเด็นทางสังคมและการต่อสู้เพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ ตัวอย่าง เช่น ประเด็นความยากลำบากในการยอมรับตนเอง การได้รับการยอมรับจากครอบครัวและสังคม

 ข้อสงสัยที่น่าสนใจ คือ เนื้อหาของซีรีส์เหล่านี้ อาจไม่ได้เน้นสะท้อนการต่อสู้เพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ อย่างจริงจัง อาจเลือกที่จะนำเสนอฉากจิ้นฟินจิกหมอนเพื่อเอาใจแฟนซีรีส์เป็นหลัก Media Alert กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จึงสนใจศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาซีรีส์วายไทย เพื่อหาคำตอบว่า ซีรีส์วายไทยนำเสนอเนื้อหาหรือสอดแทรกแง่มุมใดที่น่าสนใจ โดยเลือกศึกษาซีรีส์วายไทย 6 เรื่อง ที่มีจำนวนยอดการสืบค้นใน Google Search สูงสุด จาก 2 แพลตฟอร์ม OTT ได้แก่ iQIYI และ VIU ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีซีรีส์แนวเอเชียเป็นหลัก หน่วยการศึกษา 6 เรื่องนี้ ได้แก่ (1) ความรักเขียนด้วยความรัก (2) รักไม่รู้ภาษา และ (3) อย่าเล่นกับอนล จากแพลตฟอร์ม iQIYI  กับ  (4) Cherry Magic 30 ยังซิง (5) ชอกะเชร์คู่กันต์ A Boss and a Babe และ (6) เลิฟ @ นาย Oh! My Sunshine Night จากแพลตฟอร์ม VIU

ผลการศึกษา พบว่า ซีรีส์แต่ละเรื่องให้เวลากับบทและฉากที่ส่งเสริมเรื่องสิทธิและความเท่าเทียมของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศด้วยความสั้นยาวมากน้อยแตกต่างกันไป โดยบางเรื่องเท่านั้นที่ “ปรากฏ” หรือมีฉากที่ให้ความรู้เรื่องสุขภาวะทางเพศ หรือเกร็ดความรู้เรื่องอาชีพของตัวละครหลัก รวมถึงการยอมรับเกี่ยวกับรสนิยม/ความชมชอบทางเพศ (Sexual Orientation) จากพ่อแม่ของตัวละครหลัก

รศ.ดร.นัทธนัย ประสานนาม อาจารย์ประจำภาควิชาวรรณคดี คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิทยาการขั้นสูงด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ประยุกต์ สถาบันวิทยาการขั้นสูงแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมวาย ให้ความเห็นทางวิชาการต่องานการศึกษาครั้งนี้ เริ่มจากความเห็นต่อหน่วยการศึกษา

“ซีรีส์วายในงานศึกษานี้ เก็บข้อมูลจาก 2 แพลตฟอร์ม และคัดเลือกจากเรื่องที่มีการค้นหามากที่สุด แต่ไม่ได้เก็บบนแพลตฟอร์มที่คนเข้าถึงได้มากอย่างยูทูบ ซึ่งเป็นแหล่งรวมซีรีส์หลายเรื่อง กรณีการดูซีรีส์แบบเต็มเรื่องในแพลตฟอร์มเหล่านี้ จะเป็นการสมัครสมาชิก ดังนั้นผู้สมัครเพื่อดูซีรีส์ตั้งแต่ต้นจนจบ จะมีเพียงผู้ชมกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกจำนวนมากที่ดูบนยูทูบและแพลตฟอร์มอื่น ผมจึงไม่ค่อยแน่ใจว่าข้อมูลที่ได้มาจากการเลือก 6 เรื่อง จะเป็นตัวแทนความคิดที่เกิดในช่วงเวลานี้ได้ทั้งหมด”

รศ.ดร.นัทธนัย ตั้งข้อสังเกตอีกว่าซีรีส์วาย 6 เรื่องที่ศึกษา บางเรื่องไม่ปรากฏชัดในบทสนทนาของกลุ่มแฟนหรือผู้ติดตามซีรีส์วาย เช่น เรื่องความรักเขียนด้วยความรัก นอกจากนี้ โหมดการดูซีรีส์วายนั้นไม่ได้ทำผ่านสื่อแขนงอย่างเดียว แต่จะทำผ่านการเล่าเรื่องข้ามสื่อ หรือ “transmedia storytellingซึ่งในแง่ออกแบบเนื้อหา จะต้องใช้หลากหลายแพลตฟอร์มประกอบกัน จึงจะสามารถวัดเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) ซึ่งทวีความสำคัญมากกว่าระบบเรตติ้ง (Rating) แบบดั้งเดิม

“ซีรีส์วายจะมีเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) อื่นที่เกิดทั้งระหว่างและหลังจากซีรีส์  เช่น กลุ่มแฟนนำเนื้อหาไปทำมีม (Meme) หรือทำคลิปรีแอ็ก ซึ่งอยู่ในโลกดิจิทัล พวกนี้มีส่วนในการสร้างและวัดเอ็นเกจเมนต์ รวมทั้งการวัดเอ็นเกจเมนต์ผ่านแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องในทวิตเตอร์ก่อนและหลังซีรีส์ออกอากาศ เอ็นเกจเมนต์จะมีประโยชน์ในเชิงการตลาดมากกว่าเรตติ้ง”

รศ.ดร.นัทธนัย ยังให้ความเห็นว่า ข้อค้นพบของงานศึกษายังไม่ถือว่านำเสนอประเด็นใหม่เท่าใดนัก นอกจากนั้นยังไม่ได้สนทนากับงานวิชาการที่มีมาก่อน รวมทั้งมุมมองที่ว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของซีรีส์วายที่คลี่คลายตามช่วงเวลา นั้บตั้งแต่ พ.ศ.2557 ที่เริ่มมีกระแสวายบูมในสังคมไทย โดยมีซีรีส์ Love Sick เป็นจุดเริ่มต้น

“ยกตัวอย่างเช่น ประเด็นข้อค้นพบในรายงานที่ลูกบอกพ่อแม่ถึงตัวตนที่เป็นเกย์ พล็อตเรื่องแบบนี้มีมาก่อนแล้ว เช่นในซีรีส์เรื่อง บังเอิญรัก (พ.ศ.2561) ก่อนจะเกิดการถกเถียงเรื่องการสมรสเท่าเทียมแล้ว แต่การศึกษานี้ไม่ได้พูดถึง” รศ.ดร.นัทธนัย กล่าว “ซีรีส์เรื่องบังเอิญรัก ที่เคยจะได้ฉายทางช่อง 9 MCOT HD แต่ต้องไปฉายในช่อง GMM25 และ LineTV แทน ดังนั้น การที่เราจะบอกว่าเนื้อหาไม่ก้าวหน้านั้น ต้องดูแพลตฟอร์มด้วย เราจะวิจารณ์ว่าซีรีส์วายไม่ก้าวหน้า หรือเป็นที่โครงสร้างสื่อในช่วงเวลาที่ผ่านมากันแน่ที่ยังไม่ก้าวหน้า”

รศ.ดร.นัทธนัย ชี้ว่า การปรากฏของเนื้อหาซีรีส์วายเรื่องสิทธินั้น เกิดจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาแล้วในปี 2563  ซึ่งเป็นช่วงที่มีแฟลชม็อบ (Flash Mob) และมีกระแสเรียกร้องทางการเมืองมาก เวลานั้นประเด็นสิทธิเรื่องเพศ ผู้หญิง และเรื่องสมรสเท่าเทียมเป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย เนื้อหาของซีรีส์วายจึงเริ่มเปลี่ยนและหลากหลายมากขึ้นตั้งแต่ช่วงเวลานั้น โดยหลังจากนั้นเป็นต้นมา ซีรีส์วายก็ไม่ได้สร้างจากนวนิยายเท่านั้น แต่มีบางเรื่องที่เริ่มมีการพัฒนาบทสำหรับซีรีส์ขึ้นเอง หรือดัดแปลงเนื้อหาของนวนิยายต้นฉบับให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยเฉพาะประเด็น LGBTQ+ มากขึ้น

อีกปัจจัยเสริมที่ รศ.ดร.นัทธนัย มองเห็น คือ การขยายตัวของวัฒนธรรมดิจิทัล (Digital Culture) ซึ่งทำให้กิจกรรมที่ทำผ่านพื้นที่ดิจิทัลถูกทำให้เข้มข้นมากขึ้น เพราะทุกคนถูกขังไว้ด้วยการระบาดของโควิด หนึ่งในนั้นคือการเล่าเรื่องข้ามสื่อของซีรีส์วายที่เริ่มมีการทำกิจกรรมที่สร้างเอ็นเกจเมนต์ เช่น กิจกรรมการล้อมวงกินข้าวกับดาราซีรีส์วายแบบออนไลน์ หรือแม้แต่กิจกรรมแฟนมีตแบบออนไลน์ ที่นำไปสู่การขยายตัวของการบริโภคซีรีส์วายไทยโดยแฟนนานาชาติ เป็นต้น

จิ้นในซีรีส์วาย

รศ.ดร.นัทธนัย อธิบายว่า “จิ้น” นั้นเป็นคำย่อของคำว่า “Imagine” หรือการจินตนาการ  ดังนั้น

จิ้นจึงเป็นการสร้างจินตนาการเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบโรแมนติกระหว่างนักแสดง ยังมีคำอื่นที่นิยมใช้แทนการจิ้นด้วย เป็นต้นว่า “ชิป” ที่มาจาก “relationshipก่อนหน้านี้ จิ้น เคยเป็นกระบวนการรับสาร แต่ตอนนี้จิ้นขยายมาครอบคลุมภาคปฏิบัติจากฝั่งนักแสดงด้วย นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าแฟนเซอร์วิส (Fan Service) หรือการสร้างโมเมนต์ โดยคนดูหรือแฟนจะสามารถถอดรหัสได้ การจิ้นในซีรีส์วายยังเป็นเรื่องที่ “ต้องมี” เพราะเป็นส่วนที่ผู้ชมให้ความสำคัญมาตั้งแต่แรกเริ่ม นับตั้งแต่การกำเนิดของผลงานประเภทนี้ในประเทศญี่ปุ่น

“ถ้าดูซีรีส์วายแล้วไม่จิ้น จะเข้าใจแค่เนื้อหา แต่ไม่เข้าถึงประสบการณ์ เพราะตั้งแต่ทศวรรษ 1970-1980 ก็มีความนิยมนำตัวละครในสื่อดังมาจิ้น การจิ้นจะเป็นส่วนหนึ่งในคอนเทนต์ของซีรีส์ และต้องทำต่อในพื้นที่อื่นด้วย เนื่องจากผู้ชมซีรีส์วายไม่ได้ดูเนื้อเรื่องเท่านั้น แต่จะดูคู่แสดงหลักที่ไปปรากฏในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น ในงานอิเวนต์  ที่นักแสดงหรือคู่วายไปปรากฏตัว หรือในงานแฟนมีต จะมีการจิ้นตลอดเวลา และเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนักแสดงกับแฟนๆ เพราะนี่คือไวยากรณ์ของมัน”

รศ.ดร.นัทธนัย ยังมองว่า การศึกษาเรื่องซีรีส์วายจะต้องประเมินศักยภาพของเนื้อหาอย่างรอบด้าน โดยยกแนวคิดเรื่อง “Politics of Visibility” หรือการเมืองของการทำให้เรื่องที่ต้องการขับเคลื่อนเป็นที่ประจักษ์ชัดผ่านเนื้อเรื่องภายในซีรีส์วาย เช่น การมองเห็นความเป็นไปได้ของความรักความสัมพันธ์ของคนรักเพศเดียวกัน หรือความหลากหลายทางเพศรูปแบบอื่นๆ หรือแม้แต่ประเด็นเรื่องการเมืองวัฒนธรรมของกลุ่ม LGBTQ+ การทำให้ประจักษ์ชัดเป็นการเมืองในแง่ที่ว่า ประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดบาปอับอาย ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรือเซ็นเซอร์อีกต่อไป แต่นำเสนอเพื่อสร้างบทสนทนาในกลุ่มผู้ชมได้

“กลุ่มคนดูซีรีส์วายมักจะมีเรื่องเล่ากันว่า การได้ดูซีรีส์วายกับแม่ จะพบว่าคุณแม่มีความเข้าใจมากขึ้น เปิดใจมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้กำกับซีรีส์จำนวนหนึ่งก็เคยเล่ากันว่า ทุกวันนี้เมื่อกลุ่มพ่อแม่เห็นผู้ชายจับมือกัน หลายคนเริ่มรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกและเห็นว่าน่ารักดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Politics of Visibility ที่ทำให้เรื่องนี้พบเห็นได้ทั่วไป ไม่ต้องหลบซ่อน”

แม้การจิ้นจะเป็นหัวใจของซีรีส์วาย แต่ฉากรักที่โจ่งแจ้งอาจเป็นความท้าทายของซีรีส์วาย เพราะมีกลุ่มคนที่วิพากษ์ว่าซีรีส์วายบางเรื่องยัดเยียดฉากโป๊หรือฉากร่วมรักมากเกินไป จุดนี้ รศ.ดร.นัทธนัยเชื่อว่าทางออกของปัญหา คือ การสร้างสมดุลระหว่างการใส่ฉากจิ้นซึ่งเป็นไวยากรณ์สำคัญกับสุนทรียภาพโดยรวมของซีรีส์ ต้องออกแบบฉากรักให้สื่อความหมายได้ดี มีความจำเป็นหรือสร้างผลกระทบต่อการดำเนินเรื่อง อย่างไรก็ตาม สำหรับ รศ.ดร.นัทธนัย แล้ว แม้ในกระแสความเคลื่อนไหวทางสังคมซีรีส์วายยังคงต้องเน้นความนักโรแมนติก หากไม่มีความรักและความสัมพันธ์ตัวละครเป็นแกนหลักที่ขับเคลื่อนโครงเรื่อง เนื้อหาของซีรีส์อาจเป็นเพียงสารคดีที่มีการรณรงค์ความเท่าเทียมทางเพศ

ความแยบยลในซีรีส์วายไทย

รศ.ดร.นัทธนัย มองว่า ปัจจุบันการสร้างซีรีส์วายไทยมีความระมัดระวังมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการหาทางไกล่เกลี่ยระหว่างประเด็นที่ต้องการขับเคลื่อนในเชิงอุดมการณ์ กับการนำเสนอเนื้อหาความรักโรแมนติก คาดว่าซีรีส์ที่มุ่งขายโรเมนติกโดยไม่คำนึงถึงประเด็นทางสังคมเลยจะลดจำนวนลงเรื่อยๆ เนื่องจากมีกระแสเรียกร้องจากกลุ่มผู้ชมและกระแสสังคม

 “อย่างน้อยต้องมีการขับเคลื่อนเชิงอุดมการณ์ให้เห็นบ้าง นี่อาจจะเป็นการสร้างไวยากรณ์ใหม่ของ

ซีรีส์วายไทย ที่จะต้องไปแตะอุดมการณ์หรือประเด็นทางสังคม อาจจะมีตัวละครที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเพศวิถีของตัวเอง เช่น  ในซีรีส์เรื่องวันดีวิทยา  จะมีตัวละครชื่อปลาเก๋า เป็นเพื่อนของนายเอก ที่ทำงานในโรงพยาบาล ปลาเก๋าชอบนำเสนอคอสตูมที่ช่วยสร้างแฟนตาซีทางเพศ แต่ตัวเขาเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึกสนใจใครเชิงพิศวาสหรือเกิดความปรารถนาทางเพศ ปลาเก๋าอาจอยู่ในสเปกตรัมที่เรียกว่า Asexual ซึ่งเป็นตัวอักษร A ใน LGBTQIA+ ตัวละครแบบ Asexual ปรากฏแล้วในสื่อ LGBTQ+ ในบริบทอื่น นับเป็นอีกเฉดของความหลากหลายทางเพศที่นำเสนอได้อย่างแยบยล ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนเชิงอุดมการณ์นอกจากประเด็นสมรสเท่าเทียม”

ในผลการศึกษาของ Media Alert ที่ชี้ว่าซีรีส์วายไทยมีการนำเสนอตัวละครผ่านอาชีพที่หลากหลาย ซึ่งทำให้เนื้อหาในซีรีส์มีความเหมือนชีวิตจริงมากขึ้น รศ.ดร.นัทธนัย  มองว่า ซีรีส์วายทุกวันนี้เสนอว่าความสัมพันธ์แบบรักโรแมนติกระหว่างผู้ชายนั้นสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่ต้องเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเหมือนในซีรีส์วายยุคก่อน หากพิจารณาภาพรวมตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซีรีส์วายไทยยังนำเสนอประเด็นทางสังคมอื่นๆ เช่น ตัวละครที่มีอายุมากกว่าวัยรุ่นทั่วไป ตัวละครที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ตัวละครที่มีปัญหาสุขภาพจิต หรือบาดแผลฝังจำ (PTSD) โดยเชื่อมประเด็นเหล่านี้เข้ากับความรักโรแมนติก

ด้านการรณรงค์เรื่องสุขภาวะทางเพศ รศ.ดร.นัทธนัย มั่นใจว่า ซีรีส์วายไทยมีบทบาทในส่วนนี้มากกว่า เมื่อเทียบกับซีรีส์วายจากวัฒนธรรมอื่น เช่น ญี่ปุ่นหรือเกาหลี ซีรีส์วายไทยมีฉากจูงมือกันไปตรวจเลือด ฉากฉีกซองและสวมถุงยางอนามัย หรือแม้แต่ฉากขอความยินยอมและแสดงความยินยอมในการมีเพศสัมพันธ์ หรือ consent ซีรีส์วายในวัฒนธรรมอื่นที่ยังสามารถนำเรื่องสิทธิของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมาถกเถียงอย่างกว้างขวางได้จึงยังไม่สามารถไปสัมผัสประเด็นดังกล่าวได้

สมรสเท่าเทียม ในซีรีส์วาย และกฎหมายไทย

กฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยนั้นประกาศหลังจากที่ประเด็นการแต่งงานระหว่างผู้ชายเผยแพร่มาก่อนแล้วในซีรีส์วาย โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ตั้งแต่ช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 เราจะเห็นฉากขอแต่งงาน การสวมแหวน หรือแม้แต่การฉลองมงคลสมรส

“ในซีรีส์วาย ความหวังของตัวละครเอกได้จากการสมรักสมรส อันเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโรมานซ์ เป็นสัญลักษณ์ว่าความรักนี้เป็นไปได้ ถือเป็น Agenda หรือวาระสำคัญของซีรีส์วายยุคใหม่ที่เล่าพัฒนาการความสัมพันธ์ การครองคู่ ปัญหาที่ตัวละครต้องแก้ไขในชีวิตคู่ งานวายเองก็ไม่ได้สร้างโดยผู้หญิงเพื่อผู้หญิงเท่านั้นแล้ว ผู้กำกับในวงการซีรีส์วายไทยจำนวนมากเป็น LGBTQ+  ส่วนชุมชนแฟนเองก็มีการผลักดันผ่านแพลตฟอร์ม X ต่อไปผู้ชมก็น่าจะจับตาดูว่าซีรีส์วายจะเล่าประเด็นนี้ให้แหลมคมยิ่งขึ้นได้อย่างไร เพราะแฟนซีรีส์วายจำนวนมากเป็นกลุ่มคนที่ร่วมเคลื่อนไหวทางสังคมผ่านพื้นที่ดิจิทัลด้วย”

แต่ในภาพรวม รศ.ดร.นัทธนัย ย้ำว่า เรายังไม่เห็นผลกระทบโดยตรงจาก พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมในการก่อร่างแนวทางใหม่ของเนื้อหาซีรีส์วายไทยในอนาคต

“ตอนนี้กฎหมายเพิ่งผ่าน เราจึงทำได้แค่พยากรณ์เท่านั้น สำหรับผม ในเมื่อซีรีส์วายเล่าเรื่องการแต่งงานอยู่แล้ว หรือปัญหาที่เกิดจากการไม่มีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว สิ่งที่จะปรากฏในเนื้อหาในอนาคต คือโจทย์ที่ท้าทายกว่า หรือวิธีการที่จะขยายวงแนวร่วมในการขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ ผ่านซีรีส์วาย รวมทั้งความท้าทายอื่นที่จะเกิดขึ้นในเวลาที่คนอยู่ในความสัมพันธ์” รศ.ดร.นัทธนัยกล่าว

รศ.ดร.นัทธนัยย้ำอีกว่า การที่กฎหมายผ่านนั้นต่างกับการที่สังคมยอมรับโดยทั่วกัน ดังนั้นจึงไม่อาจสรุปว่าพ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมคือจุดที่จะเปลี่ยนทัศนคติของสังคมทั้งสังคมได้ในทันที ตัวอย่างเช่น ไต้หวัน ชื่อทางการว่าสาธารณรัฐจีน ที่แม้จะผ่านร่างกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2562 แต่ล่าสุดปี 2565 ซีรีส์เรื่อง My Tooth Your Love ที่มีพระเอกเป็นหมอฟันและนายเอกเป็นเจ้าของร้านอาหารในไทเป ยังเล่าเรื่องพระเอกถูกพ่อทำร้ายร่างกายเมื่อขอให้พ่อยอมรับนายเอกก่อนจะพาไปพบกัน พระเอกถูกทำร้ายหลายครั้งและใช้เวลานานกว่าที่พ่อจะยอมรับได้ หรือในภาพยนตร์เรื่อง Marry My Dead Body ที่เผยแพร่ในปี 2566 พระเอกแต่งงานกับนายเอกที่เสียชีวิตและกลายเป็นวิญญาณ ในชีวิตก่อนความตาย นายเอกและย่าของเขาร่วมในขบวนการเคลื่อนไหว แสดงให้เห็นว่าแม้กฎหมายผ่านแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าการต่อสู้หรือการเคลื่อนไหวทางสังคมจะสิ้นสุดลง

ปัจจุบัน รศ.ดร.นัทธนัย มองว่า สังคมไทยโอบรับการรักเพศเดียวกัน แต่ไม่สามารถตอบได้ว่าช่องว่างระหว่างการที่ พ.ร.บ. ผ่านและการโอบรับของสังคมไทยนั้นกว้างหรือแคบขนาดไหน เพราะยังมีความเห็นในทำนองว่ากฎหมายนี้จะไปกดให้ชายหญิงต่ำลง เบื้องต้นเชื่อว่าเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์แต่ละบุคคล ทั้งนี้การโอบรับของสังคมนั้นไม่ได้มีนัยเพียงแค่กฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่ยังต้องขยายผลไปยังการเลือกปฏิบัติในรูปแบบอื่นๆ ด้วย ทั้งเรื่องกีดกันการรับเข้าทำงาน หรือการประทุษร้ายกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย ในบางประเทศมีกฎหมายแล้ว แต่ก็ยังมีอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังที่มุ่งเป้ากลุ่ม LGBTQ+  ดังนั้น ประเทศที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมกับประเทศที่ปลอดภัยสำหรับ LGBTQ+ อาจไม่ใช่ประเทศเดียวกันในทุกกรณี

“สมรสเท่าเทียมเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก็จะเป็นอีกขั้นที่ยังมีความท้าทายอื่นรออยู่ การได้มาซึ่งกฎหมายนี้ ไม่ได้แปลว่าจะไปเปลี่ยนมุมมองของคนในสังคมได้แบบสิ้นเชิง” รศ.ดร.นัทธนัย กล่าว

รศ.ดร.นัทธนัย ยกตัวอย่างประเด็นอื่นที่อ่อนไหวทางสังคม เช่น การเหยียดในรูปแบบต่างๆ ซีรีส์ที่มีเนื้อหา LGBTQ+ ในหลายวัฒนธรรมพยายามไกลเกลี่ยกับการเหยียดด้วยการเสนอกลุ่มคนที่หลากหลายทั้งในเชิงลักษณะร่างกาย ชนชั้น และชาติพันธุ์ ความน่าสนใจคือ ในการผลิตซีรีส์วายไทยที่ต้องคำนึงถึงธุรกิจ ผู้ผลิตจะไกล่เกลี่ยต่อรองกับประเด็นนี้อย่างไร เพราะยังคงมีเสียงวิพากษ์ว่า นักแสดงในซีรีส์วายมักมีหน้าตารูปร่างคล้ายกัน หรือแม้แต่การสร้างร่างกายให้กำยำเหมือนๆ กัน แต่อันที่จริง หากพิจารณาที่เนื้อหาที่ไหลวนในภูมิทัศน์สื่อ เราจะพบว่ากลุ่มคนดังหรืออินฟลูเอนเซอร์ในอินเทอร์เน็ตที่เป็น LGBTQ+ ก็เลือกนำเสนอตัวเองในลักษณะที่ไม่ตายตัว เป็นต้นว่า มีจริตหญิงแต่ไว้หนวด หรือเป็นผู้หญิงข้ามเพศที่ยืนกรานว่ายังคงแสวงหาความสุขทางเพศได้จากอวัยวะเพศชายของตน

จากงานวิจัยที่ รศ.ดร.นัทธนัย เพิ่งทำเสร็จไปพบว่า เนื้อหาในภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนไปสัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาซีรีส์วายที่อาจจะนับว่าก้าวหน้า หรือก้าวทันภูมิทัศน์สื่อ LGBTQ+ ในระดับนานาชาติ ยกตัวอย่างเช่นประเด็นเรื่อง “ความสาว” ของชายรักชาย แต่เดิมความสาวถูกเบียดขับผลักไสจากวัฒนธรรมเกย์ แต่หลังปี 2563 เป็นต้นมา ความสาวได้รับการเฉลิมฉลองมากขึ้นในนามของความหลากหลาย ปรากฏการณ์นี้พบได้ในการสร้างดาราวาย ตัวละครในซีรีส์ รวมทั้งตัวละครในนวนิยายวายอันเป็นแหล่งเนื้อหาหลักของซีรีส์วาย ในภาพรวมเนื้อหาซีรีส์วายไทยก็ยังอาจนับได้ว่าก้าวหน้ากว่าซีรีส์วายญี่ปุ่น หรือซีรีส์วายเกาหลี

“ช่วงการเรียกร้องเรื่องสมรสเท่าเทียม ก็มีการเรียกร้องให้นักแสดงซีรีส์วายออกมาร่วมแสดงจุดยืน  ส่วนที่ญี่ปุ่น  การสมรสเท่าเทียมเป็นบทสนทนาของบางกลุ่มก็จริง แต่ยังไม่โยงเข้ากับอุตสาหกรรมวาย เนื้อหาของซีรีส์วายญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดมาจากมังงะ กรณีที่น่าสนใจคือเรื่อง Cherry Magic ของญี่ปุ่น เวอร์ชันภาพยนตร์ที่ต่อขยายจากซีรีส์ มีฉากแต่งงานก็จริง แต่เล่าผ่านความคิดของตัวละครเอกที่กำลังอ่านเทพนิยาย ทำให้สงสัยว่าการแต่งงานเกิดขึ้นในความจริงหรือเป็นเพียงจินตนาการ เมื่อเราดัดแปลง Cherry Magic เป็นฉบับไทย กรอบของเทพนิยายถูกยกออกไป ฉากฉลองพิธีแต่งงานมีทั้งช่วงกลางวันกลางคืน เพื่อนและครอบครัวมาร่วมฉลองพร้อมหน้า มีแม้แต่ฉากเต้นรำในงานแต่งงานด้วย ซึ่งเข้ากันกับกระแสสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยพอดี”

.

เปิดรับความหลากหลาย (Inclusivity) คือ ซอฟต์พาวเวอร์และจุดขายของซีรีส์วายไทย

“ถ้าจะต้องพูดเรื่องซอฟต์พาวเวอร์กันอีกครั้ง ขออธิบายสั้นๆ ว่า ซอฟต์พาวเวอร์กับสินค้าวัฒนธรรมไม่ใช่อย่างเดียวกันในทุกกรณี  ซอฟต์พาวเวอร์คือความคิด คุณค่า หรือ values และการสร้างการรับรู้ ยกตัวอย่างเช่น  เวลาดูซีรีส์เกาหลี แล้วหลงใหลใฝ่ฝันถึงโอปป้าผู้อ่อนโยน” รศ.ดร.นัทธนัย กล่าว “ตัวนักแสดงโอปป้าอาจไม่ใช่ซอฟต์พาวเวอร์เสียทีเดียว แต่ความเชื่อว่าสังคมเกาหลีน่าหลงใหลเพราะเต็มไปด้วยโอปป้าผู้อ่อนโยน นั่นต่างหากที่คืออำนาจโน้มนำหรือซอฟต์พาวเวอร์  เกาหลีผลิตซ้ำคุณค่าความเป็นชายที่นุ่มนวล  จะเห็นได้ในซีรีส์เกาหลีตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000 เป็นต้นมา แม้แต่ในเรื่องอิงประวัติศาสตร์อย่างแดจังกึมก็มี ตัวซีรีส์ในฐานะสินค้าวัฒนธรรมเป็นแหล่งหนึ่งของซอฟต์พาวเวอร์ แต่ไม่ใช่ซอฟต์พาวเวอร์

เพราะคุณค่าความเป็นชายที่นุ่มนวลยังเห็นได้จากบอยแบนด์ การโฆษณา และอื่นๆ การปรากฏซ้ำเรื่อยๆ ทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่านั่นคือตัวแทนของผู้ชายเกาหลี  ทั้งที่จริงแล้วปัญหาเรื่องความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดจากผู้ชายในสังคมเกาหลียังมีอยู่มาก นักวิชาการบางกลุ่มแปลซอฟต์พาวเวอร์ว่าอำนาจโน้มนำ เพราะมันคือการทำให้เชื่อหรือรู้สึกคล้อยตาม มีความรู้สึกที่ดีกับประเทศเกาหลีสังคมเกาหลี ทำให้บริโภคซีรีส์ต่อ และซีรีส์ก็จะผลิตความเชื่อนั้นต่อไปเรื่อยๆ”

สำหรับรศ.ดร.นัทธนัย  ซอฟต์พาวเวอร์ที่หลายคนพูดถึงอยู่นั้นยังคงมีเงาของโอท็อปหรือความคิดแบบสินค้าวัฒนธรรมพาดทับอยู่ ทั้งแนวคิดการเอาผ้าขาวม้า กระติ๊บข้าวเหนียว หรือกางเกงช้างมาทำให้ “แมส” มีเรื่องการขาย เรื่องเอกลักษณ์ไทย แต่ไม่มีประเด็นเรื่องความคิด คุณค่าหรือการสร้างการรับรู้อยู่ในบทสนทนามากนัก หากกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างซอฟต์พาวเวอร์กับซีรีส์วาย สิ่งที่ซีรีส์วายสามารถทำได้ คือนำเสนอระบบคุณค่าว่าสังคมไทยนั้นเปิดกว้างหรือโอบรับความแตกต่าง แต่ถ้ากล่าวอย่างเคร่งครัดที่สุด ความคิดหรือคุณค่าแบบใดที่จะนับเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้ รัฐต้องชูให้เห็นจริง และเลือกใช้แหล่งหรือเครื่องมือหลายๆ อย่างที่ช่วยผลิตซ้ำความคิดหรือคุณค่านั้นให้เกิดความต่อเนื่องและมีเอกภาพ

“ซอฟต์พาวเวอร์ควรขายไอเดียและความคิด ทำให้คนเชื่อว่าประเทศไทยน่าหลงใหลและดี” รศ.ดร.นัทธนัย กล่าว “ปัญหาของประเทศไทยเราถูกตั้งคำถามเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง ทั้งยังมีภาพลักษณ์ในสังคมโลกว่าคนไทยถูกจำกัดสิทธิการแสดงออก กลายเป็นภาพที่ขัดแย้งถ้าเราจะเลือกความคิดที่เป็นจุดขายว่าประเทศไทยโอบรับความต่างเต็มที่  เพราะฉะนั้น เราไม่น่าจะไปตั้งต้นที่สินค้า แต่จะต้องตีโจทย์ก่อนว่าอะไรคือความคิดหรือคุณค่าที่ต้องการผลิตซ้ำ”

ในอีกด้าน รศ.ดร.นัทธนัย ไม่เห็นด้วยที่จะสรุปว่าซีรีส์วายจะต้องขายความเป็นไทยในฐานะซอฟต์พาวเวอร์ เพราะอาจตั้งเริ่มตั้งแต่การพินิจพิจารณาก่อนว่าความเป็นไทยคืออะไร หรืออันที่จริงแล้ว ความเป็นไทยไม่ได้มีภาพเดียว และไม่น่าแทนด้วยสินค้าวัฒนธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีผ้าขาวม้าไปปรากฏในซีรีส์วายแล้วบอกว่าเป็นซอฟต์พาวเวอร์ มองแบบนั้นก็อาจง่ายเกินไป

“ผมยังเชื่อว่าอำนาจโน้มนำเป็นเรื่องของความคิด เช่น ประเทศจีนทำซอฟต์พาวเวอร์ด้วยการสร้างสถาบันขงจื๊อทั่วโลก และส่งเสริมการเรียนการสอนภาษาจีนให้ทุกคนที่สนใจ ทำให้เห็นว่าภาษาจีนเป็นประตูไปสู่ความเข้าใจวัฒนธรรมและเพิ่มโอกาสให้ชีวิตอย่างไร ซอฟต์พาวเวอร์ต้องขายความหวังและพลังบวก อีกกรณีคืออินเดีย ที่เสนอซอฟต์พาวเวอร์ผ่านวัฒนธรรมร่วม กรณีประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีวัฒนธรรมอินเดียไปปรากฏอยู่ทุกที่ เช่น ศาสนา การขับเน้นการมีวัฒนธรรมร่วมกันเช่นนี้สุดท้ายก็ย้อนกลับมายืนยันให้คนรู้สึกดีกับอินเดียในฐานะอู่อารยธรรม”

รศ.ดร.นัทธนัย ยังชวนให้ลองนำเอาประเทศไทยมาวางเทียบกับประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยยกตัวอย่างข้อสังเกตจากการบรรยายสาธารณะ ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2567 โดย ดร.โธมัส บอดิแน็ต (Thomas Baudinette) นักวิชาการออสเตรเลียผู้สนใจศึกษาอุตสาหกรรมวาย ดร.โธมัส อธิบายกรณีสังคมฟิลิปปินส์ในปัจจุบันว่า ด้วยความทรงพลังของศาสนาคริสต์นิยายโรมันคาทอลิก การหย่าร้างระหว่างคู่สมรสชายหญิงในฟิลิปินส์ยังไม่ถูกกฎหมาย จึงเป็นการยากที่จะถกกันเรื่องสมรสเท่าเทียมในปัจจุบัน

รศ.ดร.นัทธนัย ยกตัวอย่างเสริมจากประเทศอื่นนอกจากฟิลิปปินส์ เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย ความสัมพันธ์ระหว่างคนเพศเดียวกันยังไม่สามารถแสดงออกอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะได้ เพราะอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย หรือกรณีบรูไน ที่เคยปรากฏว่าคนรักเพศเดียวกันอาจเสี่ยงที่จะได้รับโทษประหาร ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยจึงถือว่าเปิดกว้างมากกว่าประเทศอื่น

รศ.ดร.นัทธนัย อธิบาย “ขอยกตัวอย่างเว็บซีรีส์ของสิงคโปร์ชื่อ Getaway ที่เผยแพร่ทาง YouTube ตั้งแต่ พ.ศ.2565 ผู้สร้างซีรีส์เรื่องนี้เป็นนักเคลื่อนไหวที่ต้องการผลักดันสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ ในสิงคโปร์ร่วมกับผู้กำกับชาวไทย เนื้อเรื่องคือลูกชายเดินไปบอกพ่อว่าเป็นเกย์  เป็นเหตุให้ลูกต้องออกจากบ้าน  ปรากฏว่าลูกชายมาเมืองไทย เมื่อมาแล้วก็ได้พบรัก มีประสบการณ์ทางเพศ ได้ตามหาญาติที่เป็นเกย์เหมือนกันและมาตั้งรกรากในไทย แม้จะเป็นเนื้อหาที่เล่ามุมบวกด้านเดียว แต่สำหรับผมถือเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า อย่างน้อยสำหรับเกย์สิงคโปร์ ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งความหวัง เป็นที่ลี้ภัย ที่พักพิงทางอารมณ์ ความรักที่เป็นไปไม่ได้ในบ้านเกิด เป็นไปได้แน่นอนในประเทศไทย”

แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศปลอดอาชญากรรม แต่การเป็น LGBTQ+ อาจไม่ใช่เงื่อนไขที่จะทำให้ถูกขับออกจากสังคมไทย ไม่ถูกปฏิเสธการให้บริการ หรือในมิติการทำงาน ปัจจุบันก็มีนโยบายควบคุมการแบ่งแยกกีดกันรูปแบบต่างๆ นอกจากนั้นยังมีการจัดสถานที่ทำงานให้รองรับความหลากหลายทางเพศด้วย คุณค่าว่าด้วยการโอบรับความแตกต่างหลากหลายนี้เองที่น่าจะมีศักยภาพเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทย โดยเฉพาะถ้ามองว่าซีรีส์วายจะเป็นแหล่งหนึ่งในการผลิตซ้ำอำนาจดังกล่าวได้

          “ตอนนี้เริ่มมีการขยายตัวของซีรีส์หญิงรักหญิงหรือ Girls Love หรือซัฟฟิกด้วย ตัวอย่างเช่นเรื่อง ใจซ่อนรัก ของช่อง 3 เป็นซีรีส์หรือละครที่ทำให้ตัวละครหญิงเปล่งประกายได้มากกว่าตอนที่เธอแสดงเป็นตัวรองในละครเรื่องก่อนหน้า ผู้กำกับเป็นเลสเบียน สำหรับผม ถ้าเป็นการโอบรับความหลากหลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ จะพบว่าเราไม่ได้ทิ้ง L หรือเลสเบียน และเราไม่ได้แค่โอบรับเฉพาะ G หรือเกย์อีกต่อไปแล้ว”

ที่สุดแล้ว เมื่อไทยมีคุณค่าที่การเป็นสังคมเปิดกว้าง ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจก็จะเกิดขึ้นได้ เช่นภาคท่องเที่ยวที่เราได้เห็นแล้วจากกรณีเทศกาลต่างๆ ที่มีนักท่องเที่ยวผู้มีความหลากหลายทางเพศหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก รวมถึงการดึง LGBTQ+ ระดับหัวกะทิจากนานาชาติให้สามารถอยู่เมืองไทยได้ในระยะยาว  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ล่าช้ามากหากยังยึดมั่นกับการทำโปรเจ็กต์ซอฟต์พาวเวอร์ด้วยการหาสินค้ามาจำหน่าย เนื่องจากสินค้าที่จำหน่ายอาจเสื่อมความนิยมได้เร็ว เช่นเดียวกับซุ้มโอท็อปทิ้งร้างตามต่างจังหวัด  ต่างกับการเสนอความคิดหรือคุณค่า ที่แม้จะไม่อาจเห็นผลได้ในเวลาอันสั้น แต่น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าหากมองให้ไกล  

“ถ้ารัฐแน่ใจในความเปิดกว้างได้เมื่อไหร่ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นภาคส่วนไหน ไทยเสนอเลยว่าประเทศเราเป็นที่ที่มีความหวังให้ โดยไม่ต้องเริ่มที่การขายสินค้าใดๆ ถ้าคุณถูกกีดกันในสังคมเดิมเพียงเพราะเป็น LGBTQ และมีความพร้อม มาพบชีวิตใหม่ที่ประเทศเราได้” รศ.ดร.นัทธนัย กล่าวทิ้งท้าย

ดังนั้น ซีรีส์วายในยุคที่ไทยมี พ... สมรสเท่าเทียมจึงไม่ได้มีแค่ความท้าทาย  แต่ยังมีโอกาสอีกมากที่รออยู่