เลือกหน้า

คุณภาพสูงในวันที่สูงวัย

ประเทศไทย เป็นประเทศที่เข้าสู่การเป็น “สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์” ไปอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อปี 2565 กล่าวคือมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มากถึง 20% ของจำนวนประชากรในประเทศ และประชากรไทยเองก็มีแนวโน้มที่จะมีการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุในระดับสุดยอดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อพูดถึงผู้สูงอายุในสังคมไทยนั้น จะพบว่ายังมีประเด็นอีกมากที่จะต้องมีการตระเตรียมกลไก การสร้างความรู้ความเข้าใจต่าง ๆ ให้กับคนในสังคม ชุมชน ครอบครัว หรือกระทั่งตัวผู้สูงอายุเอง เพื่อที่จะทำให้สังคมผู้สูงอายุและตัวผู้สูงอายุได้สามารถอยู่อย่างมีพลังทั้งกายและใจและยังเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้อีกในระยะยาว ในระดับครอบครัวและตัวผู้สูงอายุเองนั้น มีการค้นพบว่ายังขาดความรู้ความเข้าใจต่อกันและกันในครอบครัวอยู่ไม่น้อย ไม่สามารถปรับตัวอยู่ร่วมกันได้ มีความขัดแย้ง หรือในตัวผู้สูงอายุเองก็มีการพบว่ายังขาดความรู้ความเข้าใจที่สำคัญ ในการที่จะใช้ความรู้ความเข้าใจนั้นนำมาดูแลตัวเองให้อยู่ได้ดีมีคุณภาพและคุณค่าทั้งกายทั้งใจที่เป็นประโยชน์ต่อครอบครัว ชุมชน และสังคม

ด้วยปัญหาในระดับปัจเจกบุคคลและเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น ด้วยปัญหาในระดับครอบครัวของผู้สูงอายุที่เพิ่มสัดส่วนมากขึ้นเช่นเดียวกัน และปัญหาทั้งสองระดับนั้นมักจะเกิดจากความไม่รู้ ที่เกิดจากความไม่มีข้อมูล ไม่มีทัศนคติที่ถูกต้อง “คุณพอใจ พูนนารถ” ซึ่งมีคลุกคลีกับประเด็นผู้สูงอายุมาหลายปี มีประสบการณ์ของการเป็นนักสื่อสารมวลชนมาอย่างยาวนาน และเมื่อคิดว่ามีช่องว่างบางอย่างเกี่ยวกับการสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อการสร้างสรรค์ให้เกิดสังคมผู้สูงอายุที่มีคุณภาพได้นั้น คุณพอใจจึงได้ดำเนินการ “โครงการ แจ่มใจสูงวัยว้าว ๆ” โดยการสนับสนุนของ “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” และได้ทำการสื่อสารผ่านละครทั้ง 18 ตอน ความยาวตอนละประมาณ 20 นาที ซึ่งนักแสดงในละครนั้น คุณพอใจเล่าว่า เป็นคนต่างในช่วงวัยนั้น ๆ จริง ๆ เช่น คุณแม่ที่สูงอายุ ลูกสาวที่อยู่ในช่วงวัย 40 ซึ่งเป็นตัวละครที่แสดงถึง ช่องว่างระหว่างวัย และ ความไม่เข้าใจต่อผู้สูงอายุ และแสดงไปถึงการเตรียมสู่ความเป็นผู้สูงอายุอีกด้วย
.
คุณพอใจเล่าว่า ละครเรื่องแจ่มใจสูงวัยว้าว ๆ เริ่มต้นจากแนวคิดที่อยากให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุนั้นจะได้ใช้ความรู้ความเข้าใจนั้นพัฒนาตนเองจนเป็นผู้สูงอายุที่มีพลังกาย พลังใจ มีประโยชน์กับสังคม มีความมั่นคงพึ่งพาตัวเองได้ หรือในศัพท์ภาษาอังกฤษที่เรียกว่า “Active Aging” ซึ่งละครทั้ง 18 ตอนนั้น คุณพอใจบอกว่า ทุกตอนคละเคล้าไปด้วยเรื่องราว 3 ส่วนหลัก ๆ นั้นคือส่วนที่ต้องรู้ ควรรู้ และอยากให้รู้ ในละครหลายตอนมีการพูดถึงเรื่องของโรคเรื่องของสุขภาพที่จะต้องหมั่นสังเกต ดูแลรักษาอย่างไรเมื่อเป็นโรคนั้น ๆ แล้ว ในบางตอนก็พูดถึงเรื่องการเอาใจเขามาใส่ใจเราการปรับตัวอยู่ร่วมกันในครอบครัว ในบางตอนก็พูดไปถึงการปรับตัวในโลกเทคโนโลยี ปรับตัวอย่างไรให้เป็นประโยชน์กับผู้สูงวัย ปรับตัวเรียนรู้อย่างไรไม่ให้เทคโนโลยีนั้นกลับมาเป็นโทษเป็นปัญหาให้กับชีวิตของผู้สูงวัย และเพื่อสร้างให้เกิดสังคมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

และที่สำคัญอย่างมากอีกสองเรื่องที่ละครได้นำเสนอเพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้สูงอายุที่ได้ดู เช่น เรื่องการจัดการการเงิน อย่างการออมและการจัดการตัวเองในวัยเกษียณ ความรู้ทางกฎหมายต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ อย่างเช่น การจัดการมรดกและพินัยกรรม ในละครยังพยายามบอกอยู่ตลอดทุกตอนว่า การที่ผู้สูงอายุจะมีสุขภาพที่ดีทั้งกายใจ มีความเป็นผู้สูงอายุที่แอคทีฟ มีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และตัวเอง สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้จาก ความร่วมมือของ ครอบครัว ชุมชน สังคม และส่วนสุดท้าย นั้นคือตัวผู้สูงอายุเอง

รับชมรายการย้อนหลัง ได้ที่เพจ แจ่มใจสูงวัยว้าวๆ

สอนคุณธรรมแบบรสหวาน

คุณธรรม เป็นสิ่งที่ผู้คนในสังคมรู้กันว่า ควรปลูกฝังให้เกิดขึ้นตั้งแต่เด็ก แต่การสอนสั่งคุณธรรม การให้ความรู้ความเข้าใจว่าอะไรคือคุณธรรม หลักปฏิบัติคืออะไร ยิ่งจับเอาหลักทางพุทธศาสนาเข้ามาเป็นแก่นแกนในการสอนสั่งอบรม สิ่งนี้มักเป็นยาขม เป็นเหมือนอาหารที่ทานยากสำหรับเด็ก ๆ หรือก็เป็นความน่าเบื่อ เป็นเรื่องเชย ไม่สามารถทนดูทนฟังทนเรียนรู้ต่อเนื่องได้ ดังนั้นจึงมีความพยายามที่จะสร้างการเรียนรู้ สร้างการปลูกฝังคุณธรรม ในหลักแบบพุทธศาสนา ที่จะไม่สร้างความกล้ำกลืนฝืนทน แต่เป็นการทำให้การเรียนรู้นั้น เต็มไปด้วยความสนุกไม่น่าเบื่อ อยากจะดูอยากจะรู้ต่อ อยากติดตามตอนต่อไป ด้วยความอยากจะตอบโจทย์นี้ให้ได้ ทางคุณธนันต์ วัลลีนุกุล จึงได้จัดทำโครงการ “คาร์นิมอลเวิลด์ 4 ล้อ ไล่ล่าทะลุฝัน” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” เป็นโครงการที่จะทำการสื่อสารปลูกฝังคุณธรรมผ่านการสื่อสารในรูปแบบแอนิเมชันขึ้นมา ให้ดูสนุก น่าติดตาม และเรียนรู้ง่ายเคี้ยวง่ายสำหรับกลุ่มเด็ก กลุ่มเป้าหมายที่ผู้ใหญ่คิดว่าการปลูกฝังคุณธรรมให้เขาตั้งแต่ในวัยเด็กเป็นสิ่งที่เหมาะสม

ในแอนิเมชัน มีทั้งหมด 26 ตอน ตอนละ 10 นาที คุณธนนันต์เล่าว่า แอนิเมชันเรื่องนี้เหมาะกับกลุ่มเด็กเล็กที่สุด เนื้อหาทุกตอนถูกสอดแทรกไปด้วยพื้นฐานความรู้ที่จะเป็นเครื่องมือสร้างการปลูกฝังคุณธรรมให้กับเด็กอย่างกลมกล่อมลงตัว เช่น ในชื่อเรื่องของแอนิเมชันเรื่องนี้ “คาร์” ซึ่งในชื่อภาษาอังกฤษนั้นคือ “CAR” ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า “KMA” หรือที่เรารู้จักกันในคำว่า “กรรม” หรือคุณธรรมสำคัญตามหลักพุทธศาสนา อย่าง พละ 5 ที่มีศรัทธาคือความเชื่ออันแน่วแน่ วริยะหรือความเพียร สติคือความระลึกได้ สมาธิคือความตั้งใจมั่น ปัญญาคือความรอบรู้ หรือการสอดแทรกในเรื่องของกรรมและผลของกรรม มงคล 38 ประการ อิทธิบาท 4 ที่ประกอบด้วย ฉันทะ ที่หมายถึง ความรัก พอใจในสิ่งที่มีอยู่หรือสิ่งที่ทำ วิริยะ ที่หมายถึง ความพากเพียร จิตตะ ที่หมายถึง ความเอาใจใส่ มุ่งมั่น วิมังสา หมายถึง ความตระหนักไตร่ตรองถึงเหตุและผลด้วยปัญญา ซึ่งเป็นหลักของการประสบความสำเร็จ หรือพรหมวิหาร 4 ที่จะเป็นหลักในการร่วมอยู่กับผู้อื่นอย่างเกื้อกูลมีน้ำใจ และ โยนิโสมนสิการ ที่ถือเป็นการคิดไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล ซึ่งทั้งหมดอาจเป็นยาขม หรือ อาหารที่มีรสชาติเฝื่อนทำให้กินได้ยากลำบาก การนำเอาหลักธรรมตามพุทธศาสนามาดัดแปลงสื่อสารในรูปแบบการ์ตูนสนุก สั้นแต่เร้าใจ จึงเป็นการทำยาขมให้เป็นยาน้ำเชื่อม และ อาหารรสเฝื่อนเป็นอาหารที่มีรสหวานเคี้ยวกลืนได้ง่ายมากขึ้น

ทางโครงการได้มีกิจกรรมสำคัญกิจกรรมหนึ่งที่พยายามเข้าไปให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย อย่างการมีกิจกรรมที่เรียกว่า School Visit โดยกิจกรรมนี้ทางโครงการจะไปทำกิจกรรมพบปะกับเด็ก ๆ ในโรงเรียนที่เป็นเด็กในระดับชั้นประถมศึกษา รวมทั้งสิ้น 10 โรงเรียนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ชวนให้เด็ก ๆ ได้ดูแอนิเมชันเรื่องนี้ และให้เด็ก ๆ ช่วยกันให้ความเห็นตั้งแต่เรื่องของความสนุกของแอนิเมชันเรื่องนี้ เนื้อเรื่องเนื้อหา ตัวละคร และยังให้เด็กบอกเล่าเมื่อดูแอนิเมชันเรื่องนี้เสร็จแล้วได้เห็นอะไรบ้าง ซึ่งเด็ก ๆ ได้สะท้อนมาว่า แอนิเมชันเรื่องนี้ดูสนุก ตัวละครแต่ละตัวมีเอกลักษณ์น่าติดตาม และเด็กส่วนใหญ่สามารถบอกเล่าได้ว่า แอนิเมชันเรื่องนี้พวกเขาได้ค้นพบเรื่องอะไรกันบ้าง เช่นเรื่องของการมีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจ ความมุ่งมั่นตั้งใจ ความมีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา โดยเด็ก ๆ ค้นพบจากเนื้อเรื่องและจากนัยยะที่แอนิเมชันเรื่องนี้ใส่เข้าไปไว้ทั้งในชื่อและบุคลิกของตัวละคร และ รวมถึงตัวละครเป็นแบบอย่างที่ควรนำเอามาเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตจริงของพวกเขาได้อีกด้วย ที่สำคัญมีหลายโรงเรียนได้ใช้แอนิเมชันเรื่องนี้เป็นเครื่องมือการเรียนการสอน

ติดตามและรับชมย้อนหลัง ได้ที่เพจ Karnimal World 4 ล้อไล่ล่าทะลุฝัน

นิมิตรเมืองเป็นมิตร

เมืองที่เป็นมิตร ต้องเป็นอย่างไร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง และเมืองที่ไม่เป็นมิตร จนถึงเมืองที่เป็นพิษเป็นอย่างไร นับเป็นคำถามในหัวก่อนที่จะได้ทำการสัมภาษณ์ “คุณสิงหนาท แสงสีหนาท” ผู้ที่คลุกคลีตีโมงอยู่กับประเด็นเรื่องของเมืองมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ทั้งในบทบาทของสถาปนิก ทั้งในบทบาทนักวิจัย นักวิชาการ ทั้งในบทบาทของนักกิจกรรมผู้ที่พยายามขับเคลื่อนเมืองให้ไปสู่ เมืองที่น่าอยู่ เมืองที่เป็นมิตร

จึงนำมาสู่การดำเนินงาน “โครงการมิตรเมือง 15 นาที” ซึ่งสนับสนุนโดย “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” แนวคิดเมือง 15 นาที คืออะไร คุณสิงหนาทได้ให้ข้อมูลว่ามีการเริ่มพูดถึงกันมากในช่วงสถานการณ์โควิด ซึ่งแนวคิดเมือง 15 นาที เริ่มต้นขึ้นจากประเทศแถบยุโรป ที่เป็นเมืองใหญ่ระดับมหานคร เช่น ฝรั่งเศส มีหลักการคือ การที่คนในเมืองสามารถเข้าถึงสิ่งที่เป็นความจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตที่มีคุณภาพได้ในช่วงเวลา 15 นาที เช่น การเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ภายในไม่เกินเวลา 15 นาที การเข้าถึงสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อย่างสวนสาธารณะ ในเวลาไม่เกิน 15 นาที เข้าถึงบริการขนส่งสาธารณะได้ไม่เกิน 15 นาที และความไม่เกิน 15 นาทีจากการเข้าถึงสิ่งที่เป็นความจำเป็นในชีวิตนั้น ทำให้คุณภาพชีวิตของคนในเมืองมีพัฒนาการที่ดีขึ้น

เหมือนที่คุณสิงหนาทบอกว่า แนวคิดนั้นเริ่มพูดถึงกันมากในช่วงสถานการณ์โควิด ในประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน แนวคิดในเรื่องเมือง 15 นาทีก็ถูกพูดถึงอย่างมาก เนื่องจากในสถานการณ์โควิดที่ส่งผลให้ผู้คนต้องลดการเดินทาง จำกัดพื้นที่การเดินทาง ถ้าการเข้าถึงอะไรที่เป็นความจำเป็นในช่วงสถานการณ์โควิดได้ง่ายในช่วงเวลาไม่เกิน 15 นาที แน่นอนว่าในการเข้าถึงสิ่งที่เป็นความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตที่ดีได้นั้น ก็จะตอบโจทย์อย่างมากของคนเมือง เช่น เมื่อต้องการไปหาหมอ ก็สามารถไปถึงได้ในเวลาไม่เกิน 15 นาที เมื่อจะต้องซื้อยาตามที่หมอสั่งก็มีร้านขายยาในละแวกบ้านที่เดินทางไปซื้อในเวลาไม่เกิน 15 นาที แน่นอนในช่วงสถานการณ์โควิด การที่ไม่ต้องเดินทางไกล ไม่ออกนอกพื้นที่ชุมชน ลดเวลาเพื่อเข้าถึงความจำเป็นต่าง ๆ นั้นเท่ากับว่า ลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิดไปในวงกว้างได้อย่างมาก พอผ่านช่วงโควิดมา แนวคิดนี้ก็ยังไม่ได้ตกกระแสไปแต่อย่างใด แต่ยังเพิ่มความเข้มข้น และมีความพยายามผลักดันให้มีพัฒนาการของการเข้าถึงสิ่งจำเป็นในเมืองภายในเวลา 15 นาที ที่มากกว่าการตอบโจทย์การแพร่กระจายของโรค แต่หมายถึงการเข้าถึงเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในเมืองเอง

ในโครงการมิตรเมือง 15 นาทีนั้น จึงมีความพยายามที่จะสื่อสารและทดลองทำโมเดลต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อให้ได้เห็นว่า เมือง 15 นาทีคืออะไร และมันมีรูปแบบที่ใช้ได้จริงอย่างไรบ้าง ทางโครงการได้มีการดำเนินการสื่อสารในรูปแบบของการทำ OPEN DATA ขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนได้เข้าถึงข้อมูลที่สำคัญในประเด็นเมือง 15 นาที เช่น ในเวลา 15 นาทีนั้น คนเมืองควรเข้าถึงอะไรได้บ้าง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกันในสิ่งที่เป็นความจำเป็นสำหรับการมีคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่ออยู่อาศัยในเมือง หรือการเขียนบทความเพื่ออธิบายเชิงเปรียบเทียบว่า ในเมืองระดับมหานคร อย่างกรุงเทพฯ นั้น เวลาในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ นั้นใช้เวลาเท่าไหร่ เช่น บทความเรื่องกรุงเทพ 21 นาที อินโฟกราฟิกที่สร้างความเข้าใจในหลักการของเมือง 15 นาที เมื่อถามถึงสวน 15 นาที ที่เป็นนโยบายของทางกรุงเทพฯ นั้น เป็นเรื่องเดียวกับเมือง 15 นาที หรือไม่ ทางคุณสิงหนาทให้ความเห็นว่าเป็นเรื่องเดียวกัน และให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า สวน 15 นาทีของทางกรุงเทพฯนั้นเป็นส่วนหนึ่งของอีกหลายส่วนที่เป็นองค์ประกอบในคอนเซ็ปต์เมือง 15 นาที ซึ่งทางโครงการเองก็ได้มีการทำงานร่วมกับทางกรุงเทพมหานครเช่นกัน เพื่อทดลองว่าความเป็นเมือง 15 นาทีนั้นสามารถทำในรูปแบบไหนได้บ้าง การทดลองใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของศาลาว่าการกรุงเทพมหานครจึงเกิดขึ้น และผลตอบรับจากงานทดลองนั้นเป็นไปด้วยดีเกินคาดหมาย แต่ก็ได้พบเห็นข้อท้าทายในการทำให้เป็นจริงได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งต้องอาศัยภาคส่วนต่าง ๆ มาช่วยกันผลักดัน ให้เมืองได้เป็นมิตรและไม่เป็นพิษกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับเมืองใหญ่เมืองนี้

ติดตามโครงการมิตรเมือง 15 นาที ได้ที่ : https://urbanally.org

จาก Fack สู่ Fact ฟันที่ดี

เรื่องช่องปาก เรื่องทันตกรรม เรื่องฟัน เรื่องเหงือก นับเป็นเรื่องที่คนในสังคมมักมีความเข้าใจผิดอยู่ไม่น้อย ในความเข้าใจผิดนั้น ก็มีข้อมูลที่เสาะหาเพื่อสร้างเข้าใจที่ถูกต้องนั้นก็มีอยู่น้อยจนเกินไปและ ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ในข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องช่องปาก เรื่องฟันเรื่องเหงือก ที่ถูกนำเสนออย่างน่าดูน่าติดตามและที่สำคัญคือน่าเชื่อถือได้ ด้วยความเป็นทันตแพทย์ ด้วยความที่มีความรู้ความเข้าใจ และอยากเล่าอยากบอกความรู้ที่ถูกต้องนั้น “คุณรังสิมา สกุลณะมรรคา” จึงชวนเพื่อนที่เป็นทันตแพทย์ด้วยกันอีกหลายคน มาช่วยกันทำรายการ “FACT FOR FUN” จริง สนุก กับสุขภาพช่องปาก”

ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากทาง “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” ในการผลิตรายการนี้ คุณรังสิมา เล่าถึงก่อนที่จะมาเป็นรายการที่ดูสนุกและสาระแบบนี้ได้ ในตอนแรกก็คิดกันไว้ว่าจะเป็นรูปแบบรายการที่มีพิธีกรนั่งถามแล้วหมอฟันก็ตอบ แต่แบบนั้นมันก็คงจะน่าเบื่อมาก หรือถ้าจะให้ตัวเองและทีมงานซึ่งเป็นหมอฟันกันทั้งหมด ทำโปรดักส์ชั่น ทั้งเขียนบท ถ่ายทำ ตัดต่อด้วย ก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นเราคงจะต้องว่าจ้างมืออาชีพเข้ามาทำ ส่วนเราในฐานะทันตแพทย์ก็มาจัดการเรื่องข้อมูลที่จะเผยแพร่ออกไป และมีหน้าที่อธิบายความรู้ทางการแพทย์ที่ย่อยยากให้เป็นเรื่องง่ายให้ได้ และกว่าจะมาเป็น 20 ตอนในรายการ ทางทีมงานก็มีกระบวนการรวบรวมความไม่รู้หรือความรู้ที่ผิด ๆ เพื่อจะได้นำเสนอได้ถูกที่ถูกเรื่องกับประเด็นต่าง ๆ ที่มันเป็นปัญหาและถูกเข้าใจผิดอยู่

อย่างเช่นใน EP.1 ที่ว่าด้วยเรื่อง “ไม่อยากถอนฟันเพราะกลัวตาบอด” ใน EP. นี้นำเสนอที่ว่าด้วยเรื่องความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการถอนฟัน ซึ่งเป็นข้อคำถามที่ทันตแพทย์ถูกถามอยู่บ่อยครั้ง และนับเป็นความเข้าใจผิดลำดับต้น ๆ จากการรวบรวมข้อมูลของทางโครงการ ซึ่งความไม่เข้าใจนี้ เป็นความเข้าใจในข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนและกระจายไปตัวไปในสังคมไม่น้อย ในตอนนี้ทางโครงการจึงได้นำเสนอถึงข้อมูลที่พูดถึงว่าถอนฟันทำให้ตาบอดนั้นเป็นจริงหรือไม่ ออกมาอย่างครบถ้วน ตั้งแต่การเริ่มคำถามว่า ถอนฟันทำให้ตาบอดได้หรือไม่ โดยตอบคำถามนี้เริ่มจากการจะทำให้ตาบอดนั้นมีความเป็นไปได้ยากมาก ๆ ถ้าจะเป็นไปได้ที่ทำให้ลุกลามไปถึงประสาทตานั้น ก็จะต้องเกิดจากการอักเสบติดเชื้อในช่องปากและก็ลุกลามไปถึงระบบประสาทของตา แต่การที่คนทั่วไปมาทำการถอนฟันกับทันตแพทย์นั้น เป็นไปได้ยากมากที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงติดเชื้อจากการถอนฟันและลุกลามจนไปทำให้ตาบอด เนื่องจากในการถอนฟันของทันตแพทย์นั้นจะมีการควบคุมปัจจัยที่จะส่งผลต่อการติดเชื้ออย่างเป็นมาตรฐานอยู่ ดังนั้นการถอนฟันและส่งผลให้ตาบอดได้นั้น จึงไม่ใช่ความเป็นจริงแต่อย่างใด

หรือการสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นจากเฟคนิวส์ ในตอนที่ชื่อว่า “ใช่หรือมั่ว ไม่อยากฝันผุต้องไม่จูบ” ในตอนนี้ คุณหมอฟันได้อธิบายว่า การจูบกันนั้นสามารถส่งผลให้เกิดการติดเชื้อและนำไปสู่ฟันผุได้หรือไม่ คุณหมอฟันธงว่าเป็นไปได้เช่นกัน เพราะการจูบเป็นเรื่องของการสัมผัสกับน้ำลายของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งในน้ำลายก็อาจมีเชื้อโรคจุลินทรีย์ที่ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่นกันกับที่เชื้อจุลินทรีย์ที่ไปทำให้เกิดฟันผุก็สามารถติดต่อทางน้ำลายได้เช่นกัน แต่ฝันที่ผุก็ไม่ใช่จะเกิดจากเชื้อจุลินทรีย์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากปัจจัยอื่นๆอีกได้ ดังนั้นแม้จะจูบกันก็ตามและมีเชื้อจุลินทรีย์เข้ามา แต่ถ้าเราแปรงฟันรักษาฟันและช่องปากอย่างดีอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนมันก็จะลดปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดฟันผุได้อย่างแน่นอน

จากตัวอย่างทั้ง 2 ตอนใน 20 ตอนของรายการ FACT FOR FUN นับเป็นการตอบคำถามที่ครบถ้วน ลดความไม่รู้ ลดความเข้าใจผิด ที่เกี่ยวกับเรื่องฟันและช่องปากไปมากทีเดียว ซึ่งตรงกับเจตนาที่คุณรังสิมา อยากจะสร้างความรู้เรื่องเกี่ยวกับช่องปากและฟันที่ดูสนุก ให้ข้อมูลครบถ้วน และจะต้องเป็นการสร้างชุดข้อมูลความรู้ในเรื่องฟันและช่องปากที่มีน้อยมากในสังคมไทย รายการนี้ยังถูกนำไปเปิดตามที่ต่าง ๆ ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล คลินิกทำฟัน ซึ่งคุณรังสิมามองว่า รายการ “FACT FOR FUN” จริง สนุก กับสุขภาพช่องปาก” นั้นได้บรรลุเป้าหมายของการสื่อสารที่ได้ทั้งคุณภาพและประสิทธิภาพได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รับชมรายการย้อนหลัง ได้ที่เพจ Faculty of Dentistry Chulalongkorn University

หลายหลาก รวมกัน อยู่ได้ดี

ในความหลากหลายของสังคม ทั้งทางวัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา วิถีชีวิต เพศสภาพ และที่สำคัญชาติพันธุ์ ในความหลากหลายที่ว่า หลายครั้งมักก่อปัญหาเป็นความขัดแย้ง แต่ก็มีหลายครั้งที่ความหลากหลายสร้างความสวยงามและความกลมกล่อมของการอยู่ร่วมกัน ในบางที่บางแห่งความหลากหลายยังสร้างประโยชน์ให้ตกอยู่กับผู้คนทุกกลุ่มที่มีความหลากหลายนั้นเองได้อีกด้วย ด้วยความสนใจต่อเรื่องพหุวัฒนธรรมและความหลากหลายในมิติต่าง ๆ ด้วยความอยากที่จะนำเสนอแง่มุมการปรับตัวการอยู่ร่วมและสร้างสรรค์ และด้วยของความเป็นมืออาชีพในการผลิตสารคดีทางโทรทัศน์อยู่แล้ว “คุณอักษรา จันทร์ศรี” จึงต้องการใช้ทักษะทางวิชาชีพสื่อเพื่อผลิตสารคดีและนำเสนอตัวอย่างความหลากหลายที่สร้างสรรค์ลงตัวขึ้นมา ในชื่อโครงการและสารคดีในชื่อชุดเดียวกันนั้นคือ “รวมกันเราอยู่” ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนจากทาง “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์”

สารคดีชุดนี้มีทั้งสิ้น 12 ตอน มีความหลากหลายของประเด็นอยู่อย่างมาก แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ ธีมหลักของเรื่องนี้คือความหลากหลายกลมกลืนนั้นต้องลบหายไป ใน EP.1 ที่ชื่อตอนว่า “บ้านน้ำเชี่ยว เพราะเราคือหนึ่งเดียว” บ้านน้ำเชี่ยวคือหมู่บ้านในจังหวัดตราด เป็นหมู่บ้านติดแม่น้ำและสามารถออกไปทะเลอ่าวไทยได้เช่นกัน ดังนั้นผู้คนที่บ้านน้ำเชี่ยวจึงมีอาชีพหลักคือการประมง ความน่าสนใจของหมู่บ้านน้ำเชี่ยว คือความหลากหลายตามคอนเซ็ปท์ของสารคดีรวมกันเราอยู่อย่างมากทีเดียว การอยู่ร่วมกันระหว่าง คนพุทธ คนอิสลาม อย่างกลมกลืน อย่างไม่แบ่งเขาแบ่งเรา อยู่ร่วมกันที่ใช่ว่าจะแยกกันอยู่เป็นชุมชนใครชุมชนมัน แต่เป็นการอยู่ด้วยกันในพื้นที่ละแวกบ้านเดียวกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน และสิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับความหลากหลายในหมู่บ้านน้ำเชี่ยวนั้น พวกเขาใช้สิ่งที่นับว่าเป็นจุดแข็งของพวกเขา นั้นคือความหลากหลายทางด้านศาสนา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกล่อม เป็นจุดขายให้กับสังคมภายนอกได้เข้ามาสัมผัสชุมชนในเชิงการท่องเที่ยว

หรือในชื่อตอนว่า “สังคมสุขภาพไร้พรมแดน” ซึ่งเป็นการนำเสนอภาพความหลากหลายของกลุ่มคนพื้นที่หนึ่งที่โรงพยาบาลที่ให้บริการด้านสาธารณสุขที่ไม่ได้จำกัดขอบเขตแค่คนไทย แต่โรงพยาบาลยังโอบรับผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลายในพื้นที่โรงพยาบาลแม่สอด เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แม่สอดเองหรือในประเทศพม่า แรงงานข้ามชาติ เป็นต้น การที่โรงพยาบาลแม่สอดซึ่งเป็นโรงพยาบาลของประเทศไทย แต่มีการให้บริการทางสาธารณสุขกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่คนไทยได้นั้น เหตุผลแรกของเรื่องนี้คือการยอมรับถึงความแตกต่างหลากหลายในพื้นที่ ยอมรับว่าในพื้นที่แม่สอดมีกลุ่มคนหลากหลาย ในความหลากหลายของผู้คนนั้น ทุกคนมีความต้องการที่จะมีสุขภาพที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญอยู่แล้ว ทุกคนเมื่อป่วยก็ต้องการได้รับการดูแลรักษาที่ดีจากหมอจากพยาบาล จากโรงพยาบาลที่มีคุณภาพ แม้จะหลายหลายแต่ความต้องการสุขภาพที่ดีคือความเป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่แค่ยอมรับความหลากหลายเพียงอย่างเดียว แต่การจัดบริการทางสาธารณสุขให้กับทุกกลุ่มที่หลากหลายแต่อยู่ร่วมเป็นสังคมเดียวกันในพื้นที่แม่สอดนั้น เท่ากับเป็นการป้องกันโรคที่จะส่งผลเป็นอันตรายให้กับสังคมโดยรวมได้

เมื่อถามกับคุณอักษรา ว่าชอบตอนไหนมากที่สุดในรายการรวมกันเราอยู่ คุณอักษราเองก็ตอบไม่ถูกว่าชอบตอนไหนที่สุด เพราะทุกตอนถูกคัดสรรมาแล้วว่า ได้สะท้อนถึงสังคมและชุมชนหนึ่ง ๆ มีความหลากหลายอยู่เป็นเจ้าเรือนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว การเกื้อกูล การคิดถึงกัน การช่วยเหลือกัน ไม่ทิ้งกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในสังคม ชุมชน ไว้ข้างหลัง นั้นก็เท่ากับว่า ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่สร้างสรรค์และมีแต่ดีขึ้นไป ไม่ต่างจากชื่อรายการอย่างแน่นอน

รับชมรายการย้อนหลัง ได้ที่เพจ รวมกันเราอยู่

สติทุกสเปซ

“สติ” เป็นคำสั้น ๆ แต่ก็ถูกนำมาเป็นหลักและเป้าหมายของการดำเนินการ “โครงการสื่อธรรมสร้างสรรค์สังคม สติ สเปช” ที่มี “คุณกรุณพล พานิช” เป็นหัวหน้าโครงการ โดยการสนับสนุนของ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โครงการนี้ถ้าพูดอย่างรวบรัดที่สุดก็คือการสร้างให้พื้นที่บางพื้นที่ ได้สามารถส่งการสื่อสารให้ผู้คนที่ใช้สอยพื้นที่นั้นได้ถูกเตือนให้ได้เกิดสติด้วยเครื่องมือและรูปแบบการสื่อสารที่น่าสนใจ และมีเครื่องมือที่พัฒนาการสร้างสติขึ้นไปอีก พื้นที่ที่ทางโครงการได้ดำเนินการทดลอง เป็นพื้นที่ที่ก่อนทำโครงการมีการสำรวจปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นพื้นที่ที่ต้องการสติเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมาก เป็นพื้นที่ที่ประกอบด้วยคนจอแจไปมา เร่งรีบและที่สำคัญความเครียดที่ดูเหมือนว่าจะไปอยู่ในทุกผู้ตัวคนที่ใช้สอยพื้นที่นั่น พื้นที่สติ พื้นที่แรกคือ “สามย่านมิตรทาวน์” พื้นที่ที่สองที่ทางโครงการหมายมั่นจะสร้างสรรค์ให้เป็นพื้นที่สติ นั้นคือ SCB พาร์ค พื้นที่ทั้งสองแห่ง สามย่านมิตรทาวน์ และ SCB พาร์ค นั้นคล้ายกัน คือ ประกอบไปด้วยความจอแจ ความหลากหลายหนาแน่นของผู้คน เป็นพื้นที่ที่ผู้คนประสบพบกับความเครียดได้อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญคือ ในชั่วโมงที่พื้นที่ทั้งสองมีการเคลื่อนไหว สตินับเป็นสิ่งที่จำเป็นของผู้คนทั้งสองพื้นที่อย่างแท้จริง

โครงการนี้คุณกรุณพลเริ่มต้นดำเนินการโดยทางสวนโมกข์กรุงเทพ เมื่อพูดถึงสวนโมกข์ก็ต้องรำลึกถึงท่านพุทธทาส ซึ่งเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและเป็นพระผู้เทศนาให้ความสำคัญของการใช้ชีวิตและการปฏิบัติสมาธิภาวนามาอย่างยาวนาน โครงการดังกล่าวจึงเป็นโครงการที่ต้องการให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความสำคัญของสติ และจะสร้างสติให้แข็งแรงแข็งแกร่ง เป็นเครื่องมือและอุปกรณ์ในการช่วยให้ชีวิตอยู่รอดปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจได้อย่างไร โครงการสื่อธรรมสร้างสรรค์สังคม สติ สเปช กลุ่มเป้าหมายที่ทางโครงการเลือกก็คือกลุ่มพนักงานของทั้งสองพื้นที่ พวกเขาคือกลุ่มที่มีปัญหาเรื่องความเครียดสะสมทั้งจากการทำงานและบริบทสภาพแวดล้อม ดังนั้นการทำให้พื้นที่ที่โดยปกติไม่ได้มีความหมายอะไร เกิดเป็นพื้นที่ที่ปลุกปลอบใจตักเตือนใจและให้ระลึกรักษาสติผ่านคลิปวีดีโอผ่านจอทีวี หรือแม้แต่สติ๊กเกอร์เตือนสติและวิธีการตั้งสติเพื่อลดความตึงเครียดในการงานที่เกิดขึ้น และไม่ใช่เพียงแต่เรื่องของการสื่อสารผ่านรูปภาพ ผ่านวีดีโอคลิป ผ่านประโยคคำต่างๆแล้ว ทางโครงการยังได้ทำกิจกรรมเพื่อเพิ่มทักษะในการสร้างสติให้แข็งแรงเพิ่มมากขึ้น ทางโครงการได้มีการจัดคอร์สอบรมการทำสมาธิให้กับผู้สนใจถึง 24ครั้งด้วยกัน และในแต่ละครั้งมีจำนวนพนักงานออฟฟิศของแต่ละพื้นที่เข้าร่วมมากถึง 90 คน ต่อครั้ง

ในส่วนสุดท้ายของกิจกรรมโครงการ คุณกรุณพลเล่าว่า ทางโครงการได้จัดทำนิ่งที่เรียกว่า “กล่องคลายใจ” ขึ้นมา กล่องคลายใจทำหน้าที่คล้ายกล่องแสดงความคิดเห็น และ พื้นที่แนะนำแลกเปลี่ยนความรู้สึกและความรู้ให้แก่กัน กล่องนี้จะใช้ QR Code เพื่อเป็นตัวเบิกทางไปสู่การให้พนักงานได้แสดงความคิดเห็น สิ่งที่พนักงานของทั้งสองพื้นที่แสดงความคิดเห็นมากที่สุด คือ เรื่องของการระบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการทำงานและที่ทำงาน และนี่ถือว่าเป็นการลดความเครียดอย่างหนึ่งได้เช่นเดียวกัน ส่วนพนักงานอีกกลุ่มขอให้ทางโครงการช่วยแนะนำคอร์สในการฝึกสติประคองอารมณ์ไม่ให้ตัวเองและเพื่อนร่วมงานต้องอยู่กับความเครียดที่หาทางจัดการมันไม่ได้ ในส่วนกลุ่มสุดท้ายนั้น ความต้องการของพวกเขาคือ หน่วยงานและบริษัทที่เขาทำงานอยู่นั้น ควรมีนักจิตวิทยาประจำ เพื่อคอยให้คำปรึกษารับฟังและวิธีการในการจัดการปัญหาทางจิตใจที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน จาก 3 ความต้องการของพนักงานที่ส่งให้กับกล่องคลายใจนั้น จึงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าความเครียดของคนทำงานนั้นกลายเป็นเรื่องหลัก พวกเขาทั้งต้องการระบายเพื่อที่จะไม่ได้ให้ความเครียดมันคั่งค้างอัดแน่นและสร้างปัญหาให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ในภายหลัง พวกเขาต้องการฝึกทักษะ วิธีการในการจัดการปัญหาความเครียดโดยผ่านการทำเวิร์คชอปเพื่อจัดการปัญหาให้คลี่คลาย ซึ่งนี่คือจุดมุ่งหมายของการสร้าง “สติ สเปช” ของทางโครงการอย่างแท้จริง