เลือกหน้า

กลิ่นชีวิต กลิ่นผู้คน กลิ่นป่าเขา

“หอม” อาจจะเป็นเรื่องของกลิ่น แต่ความหอมของสารคดีชุดในชื่อ “หอมกลิ่นดอย” ที่จัดทำโดยโครงการ
หอมกลิ่นดอยนั้น ได้พัดพาความหอมหลากกลิ่นบนพื้นที่สูงของภาคเหนือในประเทศไทย มาแตะจมูกและนำไปสู่ภาพธรรมชาติของดอยสูง วิถีชีวิตของผู้คน วัฒนธรรมประเพณี ภาษา การทำมาหากิน อาหาร ฯลฯ และทุกเรื่องทุกตอนในสารคดีนั้นมีกลิ่นรวมที่เรียกว่า กลิ่นดอยที่หอมฟุ้ง ระหว่างดูนั้นมีอยู่จริง คุณ “อริสรา กำธรเจริญ” หัวหน้าโครงการหอมกลิ่นดอย บอกเล่าถึงสาเหตุของที่มาของสารคดีชุดนี้ไว้ว่า เนื่องจากความคิดที่อยากจะทำหน้าที่บอกเล่ารวมถึงการเก็บบันทึกวิถีชีวิตของผู้คน คนเล็กคนน้อย ที่มีความพิเศษ มีอัตลักษณ์ ความสวยงามของธรรมชาติแวดล้อม การปกปักรักษา การอยู่ร่วมกันของคนกับป่ากับธรรมชาติ ในวิถีคนดอยสูง เธอจึงคิดอ่านจัดทำสารคดีชุดนี้ขึ้น จากการสนับสนุนของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์

ความหอมครั้งนี้ ไม่ใช่สารคดีที่นำเราไปสู่ความหอมเป็นครั้งแรก แต่คุณ “อริสรา กำธรเจริญ” เคยได้พาคนดูไปร่วมรับกลิ่นหอมของทะเลในภาคใต้ของไทยมาแล้วครั้งหนึ่ง จากการสนับสนุนของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เช่นเดียวกัน และความหอมในครั้งนั้นมีชื่อว่า “หอมกลิ่นเล” ครั้งนั้นสารคดีพาผู้ชมไปพบกับทะเลภาคใต้ เกาะแก่งสำคัญ พื้นที่ทางธรรมขาติที่สำคัญ วิถีประมงพื้นบ้าน การดูรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ความหอมครั้งนั้นจึงเป็นแรงบันดาลใจในครั้งนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้คุณอริสรา เลือกที่จะพาผู้ชมผู้ฟัง ไปเห็นภาพที่ประกอบกลิ่นหอมอีกครั้ง ในพื้นที่ภาคเหนือบนดอยสูงของประเทศไทย และเล่าถึงความยากลำบากของการถ่ายทำซึ่งมีไม่น้อย ตั้งแต่ฝน เส้นทางยากลำบาก หรือเรื่องภาษาที่ต้องทำความเข้าใจกันและกัน ในบางฉากบางบทที่ยังไม่สวยและไม่สื่อได้ครบถ้วนดังใจ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นไปถ่ายใหม่ ซึ่งนับเป็นอุปสรรคหนึ่งระหว่างถ่ายทำสารคดีหอมกลิ่นดอยนี้

อุปสรรคและความเหนื่อยล้าก็ถูกผ่อนคลายไปไม่น้อย เมื่อพบธรรมชาติตรงหน้า เมฆหมอกสลับขุนเขาความเขียว น้ำมิตรไมตรีของชาวบ้าน อาหารที่อร่อยล้ำ ยังไม่ได้นับรวมงานสารคดีที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ทั้งภาพและเรื่องเล่า คุณอริสรา เล่าว่าเจอสิ่งเหล่านี้ระหว่างการทำงาน ทีมงานก็ได้รับการชาร์จแบตไปด้วยในตัวแล้วเช่นกัน ในสารคดีผู้ชมคนดูจะได้พบกับวิถีชีวิตของคนบนพื้นที่สูง ในฐานะของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อย่าง ปกาเกอะญอ ลีซู อาข่า เป็นวิถีชีวิตที่สารคดีชุดนี้ไม่ต้องสรุปให้เห็น แต่เมื่อดูก็รู้ได้ทันทีว่านี้คือวิถีชีวิตที่สอดคล้องลงตัวในแง่ของการใช้ชีวิตร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติอย่างปกปักรักษา ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นคุณค่าที่เธออยากบอกกับคนในสังคมผ่านเรื่องราวหอมๆนี้ อยากเห็นสิ่งเหล่านี้ถูกนำขยายผล ในฐานะของซอฟต์เพาเวอร์ อย่างข้าวปลาอาหารบนดอย หรือแม้แต่ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ที่มีทั้งเอกลักษณ์และสามารถสร้างสรรค์ออกแบบให้ขยายสู่วงกว้างได้มากขึ้นไปอีก ซึ่งทางทีมงานได้จัดงานตลาดย่อมๆในเมืองขึ้นมา และนำข้าวปลาอาหาร ผลิตภัณฑ์จากคนบนดอยมาให้คนในเมืองได้ลิ้มรสชาติ ได้พบเห็น ปรากฎว่า ข้าวของบ่งชี้ทางวัฒนธรรมเหล่านี้ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และแน่นอนจึงเป็นที่มาของความมั่นใจได้ว่า นี่คือซอฟต์เพาเวอร์อีกหนึ่งอย่างที่ประเทศไทยนี้มีอยู่

ติดตามรับชมรายการ หอมกลิ่นดอย ได้ที่
Facebook : The Discoverer

รักวัวให้ผูก รักลูกให้ดูเรียลลิตี้

การเลี้ยงลูกนับเป็นเรื่องสำคัญของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เพราะว่าสำคัญการหาวิธีการเลี้ยงเด็กจึงเป็นความต้องการของพ่อแม่อีกไม่น้อย และส่วนใหญ่ในบ้านเราจะเป็นการอธิบายในแบบทฤษฎี แต่ไม่มีแนวทางปฏิบัติที่เห็นเป็นรูปเป็นรอยได้ และถ้ามีก็จะเป็นการจัดฉากซะมากกว่า ครูอนุบาลคนหนึ่งที่มีความรู้ด้านจิตวิทยาเด็กอย่างเชี่ยวชาญ จึงลุกขึ้นมาทำรายการเรียลลิตี้เลี้ยงเด็กที่ผลิตโดย “โครงการพ่อแม่พลังบวก เดอะเรียลลิตี้” เพื่อตอบปัญหานี้ ถ้าเข้าไปดูในรายการ เราจะได้เจอกับนักแสดงจริงที่ไม่ใช่สแตนอินแต่อย่างใด เขามักเป็นเด็กตัวน้อยที่กำลังร้องงอแงเพราะอารมณ์โกรธ เอาแต่ใจ และก็มีผู้ใหญ่ที่กำลังวุ่นวายกับการจัดการอารมณ์ให้เด็กน้อยคนนั้นสงบลง

เราอยากให้พ่อแม่ได้มีแนวทางการดูแลลูกได้แบบเป็นขั้นเป็นตอนที่สุด สมจริงที่สุด ดังนั้นในคลิปจะไม่ใช่การแสดง แต่เป็นชีวิตจริงของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ต้องดูแลลูกในแต่ละสถานการณ์” คุณ ณัฐสุดา พันธ์ประสิทธิ์เวช หัวหน้าโครงการ ให้เหตุผลที่ว่าทำไมถึงทำคลิปให้เป็นเรียลลิตี้มากกว่าจะจัดฉากและใช้การแสดง ในแต่ละฉากแต่ละตอนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะดีลกับเด็กๆได้อย่างลงตัว ต้องใช้เวลาต้องใช้วิธีการไม่น้อยกว่าเด็กๆจะสงบลงและจบเรื่องในหนึ่งสถานการณ์จริง ถ้าถามถึงชื่อตอนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด “การรับมือเมื่อลูกงอแง” คือชื่อตอนของคลิปวีดีโอที่ยอดวิวมากที่สุดในคลิปเรียลลิตี้ทั้งหมดที่มีการเผยแพร่ไปแล้ว ด้วยเหตุผลที่เด็กร้องไห้งอแงเป็นปัญหาร่วมกันของพ่อแม่ทุกคน เป็นปัญหาพื้นฐานที่คนเป็นพ่อเป็นแม่อยากมีวิธีการแก้ไขที่มากกว่า1วิธี ก่อนที่จะเข้าจัดการปัญหาตรงหน้าที่เกิดขึ้น

แต่สิ่งที่ทางโครงการเน้นย้ำ หลักสำคัญที่สำคัญในการดูแลเด็กที่ทางโครงการพ่อแม่พลังบวก เดอะเรียลลิตี้อยากจะสื่อสารกับคุณพ่อแม่มากที่สุดคือการเลี้ยงลูกในเชิงบวก คุณณัฐสุดา เน้นย้ำว่า พ่อแม่ควรจะตั้งสติก่อนสิ่งอื่นใด การควบคุมอารมณ์ตัวเองจากสถานการณ์ที่ต้องดีลกับลูก เพราะมันจะเป็นหลักการเริ่มต้นในการดูแลลูกในสถานการณ์ต่างๆได้ทั้งหมด และข้อดีของมันก็คือการส่งผลต่อพัฒนาการของลูกอย่างสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ความคิด อารมณ์ หรือแม้แต่การยั้งคิดตั้งสติที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของพ่อแม่ที่กระทำเป็นตัวอย่างให้กับเขา และใน 25 คลิป ของทางโครงการพ่อแม่พลังบวก เดอะเรียลลิตี้ นั้น การตั้งสติ การควบคุมอารมณ์ของคนเป็นพ่อแม่ จึงเป็นเส้นเรื่องสำคัญในทุกตอนของคลิปวีดีโอทั้ง 25 ตอนนี้

ถ้าจะบอกว่าการสาธิตให้ดูอย่างเป็นจริงที่สุดของเรียลลิตี้ชุดนี้เป็นความต้องการมากน้อยขนาดไหนของพ่อแม่ในยุคปัจจุบัน คำตอบนั้นทางหัวหน้าโครงการ เล่าว่าหลังจากที่เราทำการเผยแพร่ไปครบ 25 ตอนแล้ว ช่วงหลัง ๆ มานี้ก็ยังมีพ่อแม่หลายคนขอคำปรึกษาเข้ามาหลังไมค์ไม่น้อยเลย อย่างดูคลิปไปแล้ว ลองทำตามแบบที่คลิปแนะนำ แต่ก็ยังไม่ช่วยอะไรเขาได้มาก เขาก็มาขอคำปรึกษาเพิ่มเติม หรือก็มีคนเรียกร้องมาว่าอยากให้ช่วยผลิตคลิปวีดีโอในสถานการณ์ปัญหาอื่นๆอย่างเช่น เด็กถูกบูลี่จะทำอย่างไงดีพ่อแม่จะช่วยเขาอย่างไงได้บ้าง หรือ ลูกไม่กล้าแสดงออกเลยพ่อแม่จะต้องทำอย่างไงดี ฯลฯ เพราะการเลี้ยงลูกให้ดีนั้นเป็นเรื่องสำคัญของคนเป็นพ่อแม่ การมีใครสักคนมาช่วยแนะนำ ชี้ช่องทาง และยิ่งมีตัวอย่างวิธีการที่เรียลลิตี้จาก โครงการพ่อแม่พลังบวก เดอะเรียลลิตี้ นั้นยิ่งเหมาะสมถูกใจคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างมากที่สุด

สามารถรับชมรายการ พ่อเเม่พลังบวก เดอะเรียลลิตี้ ได้ที่

https://www.youtube.com/@PositiveParentingTH

คิดบวก

เมนต์บวก” เป็นประโยคสั้นๆที่ทาง “โครงการรณรงค์สร้างพฤติกรรมร่วมเชิงบวกในการใช้สื่อสังคมออนไลน์” ใช้เป็นประโยคหลักในการรณรงค์ให้คนในโลกออนไลน์มีพฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นไปในเชิงสร้างสรรค์มากกว่าในเชิงทำร้าย ทำลาย กลั่นแกล้งกัน “เมนต์บวก” ที่ไม่ได้เท่ากับว่าเป็นการชมการอย่างเดียว แต่เมนต์บวกนั้นจะเป็นคำติก็ได้ เป็นการติเพื่อก่อ เป็นการติด้วยเหตุผลและประโยคที่ที่สุภาพ ผ่านการไตร่ตรองฉุกคิดมาแล้ว “เมนต์บวก” จึงเท่ากับการสร้างความฉุกคิด ให้นึกถึงคำนี้ก่อนที่จะเข้าไปแสดงความคิดเห็นอะไรในโลกออนไลน์ คำรณรงค์สั้นๆแต่มีประสิทธิภาพนี้เกิดขึ้นจากที่ “คุณรัฐพล ศักดิ์ดามพ์นุสนธิ์” หัวหน้าโครงการรณรงค์สร้างพฤติกรรมร่วมเชิงบวกในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ มีข้อสังเกตกับโลกออนไลน์ในปัจจุบันว่า “มีแต่ความคิดจะบวก แต่ขาดความคิดบวกอย่างมาก” ซึ่งคิดจะบวกเป็นความรุนแรงแบบหนึ่งที่พบกันได้เสมอในโลกออนไลน์ เป็นพฤติกรรมการตอบโต้ไปมาระหว่าง “ผู้เมนต์” กับ “ผู้ถูกเมนต์” จนบางครั้งผู้ถูกเมนต์
ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ถูกเรียกว่า “ทัวร์ลง” กันทีเดียว

คำหยาบ คำเสียดสี คำล้อเลียน หรือกระทั่งคำขู่ นับเป็นพฤติกรรมการสื่อสารของคนกลุ่มใหญ่ไม่น้อยในโลกออนไลน์ การเป็นเป้าความรุนแรงจากคอมเมนต์พร้อมบวกที่โดนกับตัวเองในฐานะคนผลิตคอนเทนท์ออนไลน์หลายช่องของทางคุณรัฐพล ก็เป็นส่วนหนึ่งในการคิดอ่านทำโครงการรณรงค์นี้ขึ้นมา “อินฟลูเอนเซอร์” หลายคนในรายการที่มักเป็นเป้านิ่งจากคอมเมนท์เชิงลบกระหน่ำเข้าใส่ อินฟลูเอนเซอร์หลายคนถึงกับท้อแท้จิตตกกันไปหลายวัน เมื่อพวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรมการสื่อสารเชิงลบด้วย พวกเขาจึงยินดีให้ความร่วมมือต่อการรณรงค์ในครั้งนี้อย่างเต็มที่ ในบางรายการที่ได้เอาอินฟลูเอนเซอร์มารวมกันหลายคน และให้แต่ละคนหยิบสลากที่มีข้อความเชิงลบ จากนั้นให้อ่านและช่วยกันแสดงความรู้สึกจากการได้รับรู้ข้อความเชิงลบ และให้อินฟลูเอนเซอร์ช่วยแสดงท่าทีของพฤติกรรมเชิงบวกต่อข้อความเชิงลบนี้

เมื่อถามว่าพฤติกรรมการสื่อสารเชิงลบนี้ เป็นการสื่อสารของคนกลุ่มใหญ่หรือไม่ ทางหัวหน้าโครงการฯยืนยันว่าไม่น่าจะเป็นคนกลุ่มใหญ่ แต่สร้างปัญหาใหญ่มากกว่า เพราะถ้านับจากสถิติคนเข้ามาดูรายการของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ในช่วงที่ทำโครงการรณรงค์สร้างพฤติกรรมร่วมเชิงบวกฯนี้ มีคนดูรวมกันทุกรายการมากถึง 14 ล้านวิว และในช่วงเวลานั้นแทบไม่มีคอมเมนต์ลบๆแสดงตัวออกมาเลย อย่างน้อยก็แสดงได้ว่าคนส่วนใหญ่นั้นสนับสนุนการเมนต์บวกมากกว่าเมนต์ลบอย่างเห็นได้ชัด และเชื่อได้ว่าหลายคนอยากอยู่ในโลกออนไลน์ที่ไม่เป็นพิษเสียมากกว่า

สามารถรับชมรายการ ภายใต้เเคมเปญ #MOVEBYMENTS ได้ที่ :
1.​ เพลง เกินปุยมุ้ย (version เมนต์บวก) ที่ Mass Music
2. ​ช่องเทพลีลา
3.​ ช่อง โครตคูล
4.​ ช่อง Japan and Friends
5.​ ช่อง Powerpuff GAY
6.​ ช่อง Little Monster
7.​ ช่อง mintchyy
8.​ ช่อง ตู่ Soundtiss

หนังเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

“กลับไปที่ราก” ประโยคสรุปรวมการแก้ไขปัญหาของ คุณพวงเพชร สุภาวาณิชย์ หัวหน้าโครงการ “THE MAGIC SEEDS มหัศจรรย์เมล็ดพันธุ์เหนือมิติ” ผลงานผู้รับทุน ประเภทเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปี 2566 ที่พูดถึงการแก้ไขปัญหาของคุณภาพชีวิตโดยรวม ตั้งแต่เรื่องสิ่งแวดล้อม ปากท้อง สภาพจิตใจ รากที่ คุณพวงเพชรพูดถึงนั้น มันคือเรื่องของการดูแลดินน้ำป่าให้สมดุล โดยผ่านภูมิปัญญาของปราชญ์ชาวบ้านที่ถูกสั่งสมและถ่ายทอดออกมาให้ผู้คนได้เก็บเกี่ยวเรียนรู้กัน และนำไปใช้เพื่อให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีเกิดขึ้นกับทั้งตัวเอง ชุมชน คุณพวงเพชรเชื่อว่า การที่เรากลับไปแก้ไขปัญหาเรื่องธรรมชาติที่ถูกทำลายลงไปทุกวันนั้น ควรเป็นภารกิจเร่งด่วน และเป็นลำดับความสำคัญแรกด้วยซ้ำก่อนที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องอื่นๆ เพราะถ้าแก้เรื่องธรรมชาตินี้ได้ มันก็จะส่งผลไปยังเรื่องอื่นๆด้วย เพราะทุกอย่างนั้นมันต่อเนื่องสัมพันธ์กันหมด

ด้วยความสำคัญของธรรมชาติ ด้วยความเชื่อว่าถ้าแก้ไขปัญหาเรื่องธรรมชาติที่ถูกทำลายไปได้ ด้วยเชื่อว่าถ้าธรรมชาติกลับมาดีมันจะส่งผลต่อสิ่งต่าง ๆ ที่สัมพันธ์ต่อกัน และที่สำคัญ คือภูมิปัญญาของปราชญ์ชาวบ้าน ที่มีทั้งความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางปฏิบัติลงมือทำที่ผ่านการทดลองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน โครงการ “THE MAGIC SEEDS มหัศจรรย์เมล็ดพันธุ์เหนือมิติ” จึงมีความตั้งใจใช้ภาพยนตร์เป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อจะได้บันทึกเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ และได้สื่อสารเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้คนในสังคมได้รับรู้ ตระหนักถึง หรือคาดหวังไปถึงให้คนในสังคมได้นำไปทดลองใช้ ทดลองปฏิบัติตามแนวคิดนี้ ภาพยนตร์เรื่องเดียวกันกับชื่อของโครงการจึงเกิดขึ้น จากการสนับสนุนของ “กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” ในชื่อภาพยนตร์ว่า “มหัศจรรย์เมล็ดพันธุ์เหนือมิติ”

เนื้อหาของหนังได้พาคนดูไปเปิดโลกทัศน์กับภูมิปัญญาของปราชญ์ชาวบ้านภาคอีสานในนาม “เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้านภาคอีสาน” ผ่านการผจญภัยในฉากชนบทของเด็กหนุ่มจากเมืองกรุงที่มีคำถามกับความเชื่อของคนรุ่นเก่า และภูมิปัญญาของเหล่าปราชญ์ชาวบ้านภาคอีสานที่อยู่ในหนังนั้น เกิดจากการสั่งสมการทำงานร่วมกับปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่ภาคอีสาน นับ 10 ปี เธอได้เรียนรู้เก็บเกี่ยวภูมิปัญญาของเหล่าปราชญ์มาอย่างนับไม่ถ้วน เป็นภูมิปัญญาที่ทำให้เธอเชื่อว่าสามารถนำมาใช้ในการกอบกู้โลกและสร้างโลกที่น่าอยู่กว่านี้ขึ้นมาได้

เธอจึงไม่อยากพลาดเมื่อมีโอกาสที่จะได้สื่อสาร ได้ส่งต่อภูมิปัญญานี้ต่อให้กับผู้คนอื่นในวงกว้างมากขึ้น หรือการที่คำสอน แนวทางปฏิบัติของเหล่าปราชญ์ชาวบ้านจะเข้าไปอยู่ในหนังในฐานะบทภาพยนตร์หนึ่งนั้น ทางโครงการฯ ก็ได้ทำการตรวจทาน ตรวจสอบอีกครั้งกับเครือข่ายปราชญ์ เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วเราจึงเริ่มดำเนินการถ่ายทำ และความคาดหวังที่ทาง โครงการ “THE MAGIC SEEDS มหัศจรรย์เมล็ดพันธุ์เหนือมิติ” หวังไว้นั้นคือการแสดงภูมิปัญญาจากฐานราก และกระจายตัวไปสู่การเติบโตขยายตัว เติบโตเป็นไม้ใหญ่ให้ดอกให้ผลต่อไปในอนาคต สมกับดังหนังที่เดินเรื่องด้วยชื่อเมล็ดพันธุ์มหัศจรรย์เมล็ดหนึ่ง

รับชมภาพยนตร์ “THE MAGIC SEEDS มหัศจรรย์เมล็ดพันธุ์เหนือมิติ” ได้ที่

https://www.youtube.com/watch?v=ZoO_p3hxi90&t=42s

ละครเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เด็กต้องเล่น ต้องได้ใช้ชีวิต

มีเด็กอีกหลายต่อหลายคน พวกเขาอาจรู้ว่ามีสัตว์ที่ชื่อว่าเป็ดอยู่ในโลกนี้ แต่ก็ไม่เคยได้รู้ไม่เคยได้เห็นเลยว่าหน้าตารูปร่างของมันเป็นอย่างไร มันเดินมันวิ่งแบบไหน ตัวมันนุ่มนิ่มขนาดไหน ลูกเป็ดกับเป็ดโตแล้วต่างกันอย่างไร มีเด็กอีกหลายต่อหลายคนเช่นเดียวกัน พวกเขาแทบไม่สามารถออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ไม่สามารถไปเล่นในสนามเด็กเล่นที่เด็กคนอื่นเล่นกันอย่างสนุกสนานได้เลย พวกเขาต้องจำกัดตัวเองอยู่กับบ้าน เพราะการออกไปเล่นข้างนอกนั้นอันตรายไม่ปลอดภัย

และยังมีเด็กอีกหลายคนบนโลกใบนี้ที่ที่เกิดมาพร้อมกับความพิการทางการเห็น เมื่อไม่ได้เล่น ไม่ได้ซน ไม่ได้สัมผัสกับโลกข้างนอก พวกเขามักมีแนวโน้มไม่แข็งแรง ขาดความยืดหยุ่น ความคล่องตัว ที่สำคัญคือการฟอร์มบุคลิกภาพและการเคลื่อนไหวในวันที่พวกเขาเติบใหญ่ไปกว่านี้

การได้รู้จักโลก การได้วิ่งเล่น ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตทั้งทางด้านร่างกาย และสติปัญญา “โครงการจินตนาการเสรีสื่อละครสร้างสรรค์เพื่อเด็กพิการทางการเห็น” ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประจำปี 2566 เริ่มต้นขึ้นจากโจทย์ดังกล่าว พวกเขานำเอาการแสดงละครเวทีที่เป็นความถนัดของพวกเขาตั้งแต่ร่ำเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย ใช้มันเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาให้กับกับเด็กที่เป็นผู้พิการทางการเห็น

เริ่มต้นด้วยการทำการบ้านอย่างหนัก ตั้งแต่การหาข้อมูลต่าง ๆ ของเด็กพิการทางการเห็นอยู่หลายเดือน เพื่อจะนำมาสู่การมาออกแบบละครที่มีเนื้อเรื่องแบบไหน ตัวละครอย่างไรที่จะเหมาะสมกับกลุ่มเด็กพิการทางการเห็นมากที่สุด เพื่อให้ละครนี้สามารถให้เด็ก ๆ นั้นได้พัฒนาการการเคลื่อนไหวร่างกาย เด็ก ๆ เล่นแบบไหนจะไม่เป็นอันตราย วัสดุประกอบเรื่องราวแบบไหนที่จะทำให้เกิดจินตนาการได้ว่า สิ่งนี้คือต้นหญ้า สิ่งนี้คือลำธาร สัตว์ตัวนี้คือตัวอะไร รูปร่างมันเป็นแบบไหน ละครเวทีที่ชื่อ “ลูกเป็ดผจญภัย” จึงถูกนำมาแสดงหลังจากทีมงานของโครงการฯ ได้ทำการบ้านอย่างหนักหน่วงมาหลายเดือนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เรื่องราวของเป็ด จะช่วยแก้ไขปัญหาอะไรให้กับเด็กที่พิการทางการเห็นได้ คุณเพชรรัตน์ มณีนุษย์ หัวหน้าโครงการเล่าให้เราฟังว่า “เพราะเป็ดนั้นเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวได้หลายแบบ ทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนแบบท่าทางของเป็ด เป็นการฝึกเคลื่อนไหวได้หลายท่าทาง เนื้อเรื่องของละครลูกเป็ดผจญภัยนั้น บอกให้เห็นถึงความรักและความมั่นใจของแม่เป็ด ที่เป็นกำลังใจให้ลูกออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง และในแต่ละด่านที่ลูกเป็ดผ่าน ลูกเป็ดนั้นเองที่จะได้ช่วยเหลือสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งละครเรื่องนี้ต้องการที่จะบอกพวกเขาว่า เด็ก ๆ ทุกคนมีความสามารถ และสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ แม้ว่าตัวเองจะไม่สมบูรณ์ก็ตามที” หัวใจที่สำคัญของเรื่องนี้ก็คือ การที่ลูกเป็ดกล้าที่จะออกมาผจญภัยในโลกภายนอก ถึงแม้ว่าในช่วงแรก ๆ ของชีวิตนั้น อาจจะเจออุปสรรคในการใช้ชีวิต แต่ในตอนจบเป็ดตัวนั้นก็จะเติบโดขึ้นอย่างสวยงาม และชีวิตเขาก็จะพบแต่ความสุขใจ

ติดตามรับชมผลงานได้ที่  Facebook : The Little Blind Adventure

เมตาเวิร์สกับสุขภาพจิต ตอนที่ 2

“ส่วนตัวกลัวความสูง พอได้เล่น VR Acrophobia มันก็จะรู้สึกหวิว ๆ ด้วยความที่เราเห็นภาพรอบตัวที่เป็นมิติความสูงมาก ๆ เราก็จะตื่นเต้น เกิดการกระตุ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังโอเคอยู่ มันเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราได้ประสบการณ์ ไปอยู่บนความสูงมาก ๆ ทั้งที่เราไม่ได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองโดยตรง จริง ๆ มันก็แอบสนุก มันน่าจะช่วยให้คนกลัวความสูง ลดความกลัวลงได้” เชน อายุ 22 ปี นักศึกษา

“หลังจากได้เล่น VR Self-Talk มันเหมือนได้สร้างตัวเองขึ้นมาอีกคน เพื่อจะได้นั่งพูดคุยกันถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และให้คำแนะนำตัวเอง มันช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากยิ่งขึ้น ได้อยู่กับตัวเอง รู้ว่าตัวเองมีปัญหาอะไร และเรียนรู้ว่าเราควรจะให้คำแนะนำแก่ตัวเองอย่างไร เพื่อให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีสุขภาพจิตที่แข็งแรง” อาร์ม อายุ 21 ปี นักศึกษา

ความรู้สึกเหล่านี้เป็นรีแอคชั่นบางส่วนของเชนและอาร์ม วัยรุ่นที่มาร่วมเปิดประสบการณ์สู่การดูแลจิตใจผ่านโลกเมตาเวิร์ส ทดลองใช้โปรมแกรม VR Acrophobia สำหรับคนกลัวความสูง และ VR Self-Talk พูดคุยกับตัวเองในรูปแบบอวตาร เทคโนโลยีที่จะเข้ามาช่วยดูแลพวกเขาในอนาคต ซึ่งออกแบบและพัฒนาขึ้นโดย CARIVA – AI and Robotics และ ME HUG ก่อนนำมาจัดแสดงในนิทรรศการเมตาเวิร์สกับเมนทัลเฮลท์ ที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) แล้วได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม สร้างความดีใจให้กับทีมงานผู้ผลิต ที่ได้เจอกับนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยสื่อสารองค์ความรู้เรื่องสุขภาพจิตให้ดูเฟรนลี่และจูงใจให้คนเข้ามาเชื่อมโยงกับสิ่งนี้ได้ง่ายขึ้น

“ปกติเวลาเราทำงานในเชิงสุขภาพจิต ไม่ว่าคิดเงิน หรือฟรี หรือเคี่ยวเข็ญขนาดไหน ก็ไม่มีใครมาสนใจเลย ถูกเมินตลอด แต่พอเรานำความทันสมัยของเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ปรากฏว่าช่วยดึงความสนใจให้คนเข้ามาหาเรา กลายเป็นว่าเราป๊อปปูล่าที่สุดเลยในบรรดาบูธทั้งหมดที่มีในงาน ซึ่งเราไม่เคยได้รับความสนใจแบบนี้มาก่อน มันช่วยทำให้มุมมองไบแอสของคน ที่มองงานด้านสุขภาพจิตว่าเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องของคนบ้า คนสติไม่ดี ไม่สนใจและไม่เข้าใจเรา มันหายไปเลย สิ่งที่พลิกโฉมไปเลย คือ มีแต่คนวิ่งเข้ามาหาเรา อุ๊ยแว่นวีอาร์ อยากลองเล่น ลองใช้ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เข้ามารอคิวต่อแถวกันยาวมาก แถมยังมีหน่วยงาน องค์กร และสถาบันการศึกษา ติดต่อให้ไปออกบูธความรู้เรื่องนี้เกือบทุกเดือน”

ดร.กัณฐรัตน์ เหลืองอ่อน CEO – ME HUG และนักจิตวิทยา เล่าไปยิ้มไปกับความภูมิใจที่ได้เห็นฟีดแบคที่ดีมาก ทั้งจากในแวดวงนักจิตวิทยา ที่ชื่นชมและอยากให้นำเทคโนโลยีนี้เข้าไปช่วยรักษาคนไข้ในโรงพยาบาล ได้เครือข่ายผู้เชี่ยวชาญที่ตื่นตัวและเข้ามาร่วมศึกษาเป็นจำนวนมาก ส่วนกลุ่มประชาชนทั่วไปก็สนใจอยากให้มีการจัดนิทรรศการแบบนี้อีกเรื่อย ๆ หลายคนก็อยากให้มาช่วยฝึกทักษะความมั่นใจ การเข้าสังคมให้กับพวกเขาด้วย

นอกจากเทคโนโลยี VR แล้ว ในโครงการเมตาเวิร์ส กับ สุขภาพจิต ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ประเภทเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปี 2565 ก็ยังมีการสร้างนิทรรศการเสมือนจริงไว้ในโลกเมตาเวิร์ส ที่เว็บไซต์ spatial จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับงานวิจัยที่รีวิวมาจากต่างประเทศ ในการนำเทคโนโลยีเมตาเวิร์สมาใช้ดูแลสุขภาพจิตในแต่ละด้าน ว่าให้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร อีกทั้งยังมีการจัดเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความก้าวหน้าของเมตาเวิร์สกับเมนทัลเฮลท์อีกด้วย โดยองค์ความรู้ทั้งหมด ได้ถูกบันทึกและถ่ายทอดออกมาเป็นสื่ออินโฟกราฟฟิก บทความ และคลิปวิดีโอ ให้ผู้สนใจได้หาชมย้อนหลังกันได้ที่เพจเฟซบุ๊กและยูทูบ ME HUG ซึ่งในขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นประเด็นท้าทายทีมผู้ผลิตอย่างมาก ต้องใช้เวลา 6-7 เดือน

“เป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของทีมเรา ซึ่งถนัดเรื่องงานวิจัยและการฝึกอบรม แต่ไม่ได้ถนัดเรื่องการผลิตสื่อตอนขอทุน ซึ่งเป็นการขอครั้งแรก เราไม่รู้ว่าสามารถขอเฉพาะในส่วนของงานวิจัยและการฝึกอบรมได้ ก็เลยเสนอเรื่องการผลิตสื่อเข้าไปด้วย ซึ่งเราไม่มีความรู้เลยว่า จะมีต้นทุนและขั้นตอนการผลิตมากขนาดนี้ โดยเฉพาะสื่อวิดีโอที่เกินกำลังของเรา แถมเสนอไปตั้ง 18 ตอน ตอนละ 15 นาที ซึ่งไม่รู้ว่ามันเยอะมาก ทั้งเรื่องโปรดักชันและค่าเช่าอุปกรณ์ อีกทั้งคลิปสัมภาษณ์ความยาว 15 นาที มันก็ยาวเกินไปที่จะทำออกมาให้ดูน่าสนใจ ถ้าไม่ได้มีภาพหรือกราฟฟิกมาเสริม สุดท้ายก็ต้องหาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยผลิต”

ดร.กัณฐรัตน์ เน้นย้ำทิ้งท้ายว่า แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ทีมงานผู้ผลิตกว่า 20 คน ก็ภูมิใจที่โครงการนี้ได้ ทำให้เรื่องของสุขภาพจิตดูเป็นมิตรมากขึ้น ช่วยเผยแพร่องค์ความรู้และสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องเมทัลเฮลท์ เพื่อให้สังคมเห็นว่าสุขภาพจิตเป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่จำเป็นต้องป่วย ก็เข้ามาศึกษาและดูแลได้ จึงอยากชวนทุกคนมาดู มั่นใจว่าต้องมีหนึ่งในหลายตอนที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์กับคุณแน่นอน