
“ทำแบบนี้ ..ได้ไปออกรายการ XXX แน่”
หลายปีหลัง รายการสัมภาษณ์ประเภท Hard Talk ชื่อดังในโทรทัศน์และออนไลน์ไทยหลายรายการ มักจะถูกใช้เป็น ‘เวที’ ในการชวนผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในเรื่องราวความขัดแย้งที่กำลังเป็นกระแสในสังคม ณ เวลานั้น มาพูดคุยชี้แจงข้อเท็จจริง ตกลงทำความเข้าใจ หาข้อสรุป หรือกระทั่งหาวิธีแก้ไขปัญหา
สังเกตได้จากการถูก tag ชื่อรายการ หรือโดนพาดพิงถึง เมื่อมีดราม่าไวรัลต่าง ๆ บนโลกออนไลน์
หลายเรื่องเกี่ยวข้องกับคดีความ จนถูกมองว่า เป็นเพราะคนไม่เชื่อใจกระบวนการยุติธรรม ถึงต้องมาหาทางออกกันบน ‘หน้าจอ’ แทนที่จะเป็นบนสถานีตำรวจหรือในชั้นศาล
แต่ถึงจะได้รับความเชื่อถือและสร้าง impact ได้จริง ในอีกด้านหนึ่ง รายการเหล่านั้นบางรายการก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า การตั้งคำถามมีลักษณะตั้งธงหรือชี้นำ, ด่วนตัดสินผู้มาร่วมรายการ ไปจนถึงเล่นบทบาทที่ ‘เกินเส้น’ ความเป็นสื่อสารมวลชนหรือไม่
เพื่อหาคำตอบต่อคำถามดังกล่าว เราอยากชวนทุกคนลองถอยออกมาเล็กน้อย เพื่อจะได้เห็นภาพที่กว้างและชัดขึ้นว่า แล้วสังคมไทยคาดหวังอะไรจากรายการ Hard Talk เหล่านั้น – และสิ่งที่ทุกคนหวัง ใช่บทบาทของผู้ประกอบวิชาชีพ ‘สื่อฯ’ หรือไม่
ทั้ง
..เป็นรายการสัมภาษณ์ที่เน้นนำเสนอข้อเท็จจริง อย่างรอบด้าน ไม่มีอคติ?
..เป็นศาลจำลองเพื่อเพรียกหาความยุติธรรม ให้กับผู้สูญเสีย?
..เป็นเวทีเปิดโปง เหล่าผู้วิเศษหรือวิญญูชนจอมปลอม?
..เป็นสถานที่โต้วาที ให้ผู้เกี่ยวข้องมาปะทะคารม?
..เป็นโรงมหรสพที่มาแสดงโชว์เพื่อความบันเทิง?
หรือเป็นหลายอย่างข้างต้นผสมกัน
การพูดคุยเรื่อง ‘บทบาท’ มีความสำคัญ เพราะจะไปกำหนด ‘ภาระ–หน้าที่’ จนถึง ‘ความคาดหวัง’ ของผู้ชมและสังคมด้วย
ว่าสังคมไทย คาดหวังอะไรจากรายการ Hard Talk เหล่านั้น
1. แบบไหนถึงเรียก Hard Talk
ก่อนจะไปพูดคุยกันว่า สังคมไทยคาดหวังอะไร..อยากชวนมาทำความเข้าใจเรื่องนิยามกันก่อนว่า อะไรบ้างที่เข้าข่ายเป็น ‘รายการสัมภาษณ์ Hard Talk’?
และมันต่างกับ ‘รายการสัมภาษณ์ทั่ว ๆ ไป’ อย่างไร
แน่นอนว่า รายการประเภทนี้อยู่ภายใต้ร่มการเป็นรายการ Talk Show (โชว์ที่มีเนื้อหาว่าด้วยการสัมภาษณ์หรือสนทนา) ที่มีพัฒนาการร่วมกับสื่อโทรทัศน์ ด้วยรูปแบบการดำเนินรายการพื้นฐานอันเรียบง่าย คือมีพิธีกรมานั่งสัมภาษณ์แขกรับเชิญในประเด็นต่าง ๆ
เบอร์นาร์ด เอ็ม ทิมเบิร์ก และโรเบิร์ต เจ แอร์เลอร์ เคยร่วมกันเขียนถึงประวัติศาสตร์รายการ Talk Show ที่แม้จะเน้นเฉพาะที่ออนแอร์ในสหรัฐอเมริกาแต่ก็พอทำให้เห็นภาพรวมพัฒนาการของรายการประเภทนี้ในระดับนานาชาติได้ ผ่านหนังสือ Television Talk: A History of the TV Talk Show ที่วางขายในปี ค.ศ.2002/พ.ศ.2545 โดยแบ่งพัฒนาการของรายการ talk show ออกเป็น 5 ยุค อิงจากเทคโนโลยีการแพร่ภาพกระจายเสียง, รูปแบบการผลิตรายการ เช่น รายการสดหรืออัดเทปไว้ล่วงหน้า, การถูกกำกับควบคุมโดยรัฐหรือโดยคนในองค์กรเอง และประเภทของเนื้อหา จะเน้นบันเทิงหรือสาระความรู้ โดยระบุว่า Talk Show ที่นำประเด็นข่าวสารบ้านเมืองมาพูดคุยอย่างเข้มข้น หรือ Hard Talk เริ่มได้รับความนิยมตั้งแต่ยุคหกศูนย์ ก่อนจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจนเฟื่องฟูสุด ๆ ในยุคเก้าศูนย์
หนึ่งในรายการ Hard Talk ที่มีชื่อเสียงระดับโลก คือรายการ HARDtalk ของสำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษ ที่เริ่มออนแอร์ในปี ค.ศ.1997/พ.ศ.2540 โดยสตีเฟ่น ซัคเกอร์ ผู้ดำเนินรายการเคยให้นิยามรายการสัมภาษณ์ประเภท Hard Talk ไว้ว่า มันคือรายการที่ผู้คนมานั่งจับเข่าคุยกันในประเด็นที่ซีเรียสและลงลึก ขณะที่แครี่ คลาร์ก บรรณาธิการรายการเดียวกัน ก็เสริมว่า “เราจะคิดอยู่ในใจเสมอว่าผู้ชมต้องการอะไร พวกเขาคาดหวังให้เราถามคำถามยาก ๆ ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลเท็จและการคาดเดา นี่คือรายการที่จะคอยตรวจสอบผู้มีอำนาจและเจาะลึกถึงประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ”
สำหรับประเทศไทย มีงานวิจัยที่พยายามให้นิยามของรายการ Hard Talk หรือ ‘คุยข่าว’ ไว้หลายรูปแบบ เช่น
“เป็นรายการสนทนาเชิงสาระ ที่มุ่งนำเสนอข้อเท็จจริง ไขข้อสงสัย วิเคราะห์ วิพากษ์ ให้ความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง โดยรายการสนทนาเชิงสาระเหล่านี้มักอาศัยความสามารถของพิธีกรในการล้วงคำตอบจากผู้ร่วมรายการเป็นหลัก”
—วิทยานิพนธ์ รูปแบบและลีลาการสัมภาษณ์ของพิธีกรรายการประเภทสนทนาเชิงสาระทางโทรทัศน์ โดยจิตต์สุขุม พวงเพชร (ปี พ.ศ.2548)
“เป็นรายการสนทนาหรือเสวนาข่าว ที่มีองค์ประกอบสำคัญคือผู้ดำเนินรายการ ..ประเด็นที่นำมาพูดคุยมักเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ ผู้คนอยากรู้อยากหาคำตอบไม่ว่าจะเป็นทั้งในโซเชียลมีเดียหรือตามสื่อต่าง ๆ ดังนั้นการนำเสนอจะต้องเป็นการเจาะลึกหาคำตอบให้ได้มากกว่าข้อมูลที่ผู้คนในสังคมรู้อยู่แล้ว
—วิทยานิพนธ์ ทัศนคติของผู้ชมที่มีต่อรายการคุยข่าวเพื่อสร้างกลยุทธ์การทำรายการ โดยทินณภพ พันธะนาม (ปี พ.ศ.2561)
พอจะเห็นภาพชัดขึ้นหรือยังว่า รายการ Hard Talk มีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง
- รูปแบบเป็นการสัมภาษณ์ระหว่างพิธีกรกับแขกรับเชิญ
- เนื้อหาคือการพูดคุยถึงปรากฎการณ์ทางสังคม เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริง ไขข้อสงสัย วิเคราะห์ วิพากษ์หรือให้ความรู้ และให้ได้คำตอบที่ลึกไปกว่าสิ่งที่คนรู้อยู่แล้ว
- มักถามคำถามยาก ๆ เพื่อตรวจสอบผู้มีอำนาจ หรือเจาะลึกในประเด็นสำคัญ
โดยปัจจัยสำคัญที่จะทำให้รายการนั้นได้รับความนิยมหรือไม่ นอกเหนือจากตัวประเด็นและแขกรับเชิญ ก็คือลีลาและความสามารถของ ‘พิธีกร’
2.Hard Talk แบบ ‘ไทย ๆ’
สำหรับประเทศไทย รายการ Hard Talk มีมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ที่มักได้รับการพูดในยุคหลังคือรายการ ‘คมชัดลึก’ ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี ระหว่างปี พ.ศ.2543-2546 ที่มีสรยุทธ สุทัศนะจินดาเป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งต่อมาสรยุทธได้ย้ายไปทำรายการลักษณะเดียวกันชื่อ ‘ถึงลูกถึงคน’ ในสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี หรือช่อง 9 อสมท. ระหว่างปี พ.ศ.2546-2549
ก่อนจะมีรายการลักษณะคล้ายกันปรากฎขึ้นมาอีกมากมาย โดยเฉพาะในยุคที่เปลี่ยนจาก ‘ทีวีแอนะล็อก’ ที่มีสถานีโทรทัศน์ระดับชาติเพียง 6 ช่อง ไปสู่ ‘ทีวีดิจิทัล’ ที่มีสถานีโทรทัศน์ระดับชาติถึง 24 ช่อง เมื่อปี พ.ศ.2557
ไม่รวมถึงการเกิดขึ้นของสำนักข่าวออนไลน์ ช่วงหลายปีหลัง
ความนิยมในรายการ Hard Talk ของผู้ชมไทย ทำให้สมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ผู้จัดงานประกาศรางวัลนาฎราช หนึ่งในรางวัลใหญ่ที่สุดของคนวงการโทรทัศน์ถึงขั้นมีการเปรียบเทียบกับรางวัล Emmy Awards ของสหรัฐฯ เพิ่มการประกาศรางวัลสาขา ‘รายการฮาร์ดทอล์กยอดเยี่ยม’ มาในปี พ.ศ.2560 เป็นปีแรก
และจนถึงปี พ.ศ.2567 มีรายการ Hard Talk เข้าชิงรางวัลดังกล่าวถึง 15 รายการ โดยรายการที่ได้รับรางวัล มีดังนี้
- ปี 2560 ‘ถามตรง ๆ กับจอมขวัญ’ ช่องไทยรัฐทีวี
- ปี 2561 ‘ถามตรง ๆ กับจอมขวัญ’ ช่องไทยรัฐทีวี
- ปี 2562 ‘ถามตรง ๆ กับจอมขวัญ’ ช่องไทยรัฐทีวี
- ปี 2563 ไม่มีการประกาศผลรางวัลรายการฮาร์ดทอล์กยอดเยี่ยม เนื่องจากสถานการณ์โควิด
- ปี 2564 ‘ถกไม่เถียง’ ช่อง 7
- ปี 2565 ‘โหนกระแส’ ช่อง 3
- ปี 2566 ‘คุยให้คิด’ ช่องไทยพีบีเอส
- ปี 2567 ‘โหนกระแส’ ช่อง 3
ทั้งนี้ แม้รูปแบบทั่วไปรายการ Hard Talk ของไทยจะไม่ต่างจากสากล แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะ โดยเฉพาะวิธีดำเนินรายการของ ‘พิธีกร’ ที่จะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายว่า รายการนั้น ๆ จะได้รับความนิยมหรือไม่
ในงานวิจัยเรื่อง คุณลักษณะและเทคนิคการสัมภาษณ์ของพิธีกรรายการประเภทฮาร์ดทอล์กของไทย ของวัชรินทร์ ทินโชติ เผยแพร่ปี พ.ศ.2566 ระบุถึงความสำคัญของพิธีกรรายการ Hard Talk ของไทย ไว้ดังนี้
“ลักษณะของรายการประเภทฮาร์ดทอล์กของไทยมีเนื้อหาที่แตกต่างจากรายการฮาร์ดทอล์กต่างประเทศอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องเนื้อหาที่รายการฮาร์ดทอล์กต่างประเทศจะมีความจริงจัง สัมภาษณ์แบบเจาะลึก ตรงประเด็น ตรงไปตรงมา ขณะที่รายการฮาร์ดทอล์กของไทย จะมีการพยายามสร้างความสมดุลระหว่าง ‘ความเป็นสาระ’ และ ‘ความบันเทิง’ กล่าวคือการสร้างสาระ มาจากการสัมภาษณ์แขกรับเชิญในประเด็นนั้น ๆ การเชื่อมโยงไปสู่ข้อกฎหมายหรือการนำเส้นทาง ประเด็นสู่โครงสร้างทางสังคม ส่วนการสร้างความบันเทิงมาจากการทำให้รายการมีสีสัน ไม่ตึงเครียด จนเกินไป ผู้ชมสามารถสนุกไปกับการติดตามประเด็นได้
“ปัจจัยสำคัญในการสร้างความน่าสนใจให้รายการ คือ ‘พิธีกร’ จะต้องมีคุณลักษณะและเทคนิคการสัมภาษณ์ดังที่กล่าวไปในผลการวิจัย เช่น การสร้างบรรยากาศผ่อนคลายด้วยการใช้คำพูดไม่เป็นทางการหรือเสียงไม่เป็นทางการ เพื่อทำให้เกิดการ เร้าอารมณ์ทั้งแขกรับเชิญและผู้ชม อีกทั้งต้องสร้างประเด็นให้มีดูเป็นเรื่องที่เรียกร้องความสนใจ (dramatize) เพื่อกระตุ้นการเรตติ้งให้รายการและสถานีนั้น ๆ สามารถดำเนินธุรกิจไปต่อได้ในอุตสาหกรรมโทรทัศน์”
วัชรินทร์ยังระบุว่า เนื้อหาในรายการ Hard Talk ที่นำมาวิเคราะห์ (ศึกษา 3 รายการดัง ได้แก่ ‘ถามตรง ๆ กับจอมขวัญ’, ‘ถกไม่เถียง’ และ ‘โหนกระแส’) ส่วนใหญ่มักเป็นการร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม โดยมักมีการชวนผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เช่น ทนายความ มาทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้ช่วยพิธีกรในการถามคำถาม ในขณะที่บุคลิกของพิธีกรหลัก ถูกปรับจาก ‘เป็นคนดี–เป็นกลาง’ ไปเป็น ‘กล้าถาม–เป็นธรรม’ แทน โดยเทคนิคในการถามของพิธีกรจะเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้ชม ซึ่งบางครั้งจะมีการถามในเชิงสรุป หรือชี้นำ
เป็นเอกลักษณ์ของรายการ Hard Talk แบบไทย ๆ
3. การเป็นสื่อฯ ทำได้แค่ไหน
การที่อยู่ในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ ซึ่งถูกวัดความสำเร็จด้วย ‘เรตติ้ง’ ตลอดเวลา รายการ Hard Talk ต่าง ๆ จึงพยายามปรับปรุงรูปแบบรายการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชมเพื่อให้ได้ความนิยมสูง ๆ จนบางครั้งก็ถูกตั้งคำถามว่า ยังอยู่ในบทบาทการเป็นสื่อฯ ที่ดีหรือไม่
รายการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักคือ ‘โหนกระแส’ ของช่อง 3 ที่มี หนุ่ม–ภูดิท (ชื่อเดิมกรรชัย) กำเนิดพลอย เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นรายการ Hard Talk อันดับหนึ่ง ณ เวลานี้
ต้นปี พ.ศ.2568 เขานำเสนอข่าวเรื่องราวความสัมพันธ์เชิงชู้สาวของดารานักร้องชายรายหนึ่ง (โตโน่–ภาคิน คำวิลัยศักดิ์) อย่างต่อเนื่อง จนถูกวิจารณ์ว่าทำแต่เรื่อง ‘ผัว ๆ เมีย ๆ’ กระทั่งต้องออกชี้แจงว่า ตัวเองไม่ใช่ซูเปอร์แมน ต้องเรียนรู้หลายเรื่อง ทั้งกฎหมาย การแพทย์ สิทธิเด็ก และเคยทำเรื่องราวของผู้มีอิทธิพล ตำรวจและทหารที่มีพฤติกรรมไม่ดี เสี่ยงมือเสี่ยงเท้า จนบางครั้งหาความปลอดภัยแทบไม่เจอ แต่กลับถูกวิจารณ์ว่าทำแต่เรื่องผัวเมีย
“บางเรื่องที่ผมไม่ได้ทำ ไม่ใช่เพราะไม่อยากทำ แต่บางครั้งผมไม่ถนัดและผมไม่มีความรู้ทางด้านนั้นเพียงพอ ซึ่งการนำเสนอของหลายช่อง หลายรายการดีกว่าผมเยอะมาก ผมจึงเกรงว่าถ้าผมทำจะกลายเป็นไปชักใบให้เรือเสียเปล่า ๆ”
ก่อนหน้านี้ ในปี พ.ศ.2567 รายการ ‘โหนกระแส’ ยังเคยถูกคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ลงโทษระงับการออกอากาศ 1 วัน กรณีนำเสนอเนื้อหาในลักษณะที่จะสร้างความเกลียดชังระหว่างคนในสังคม เปิดโอกาสให้แหล่งข่าวกล่าวร้ายหรือพาดพิงบุคคลอื่น ในลักษณะยั่วยุ บริภาษ ด้วยการใช้ภาษาหยาบคาย รุนแรง ดูถูก เหยียดยามบุคคลอื่นในเชิงลดคุณค่า
มีข้อมูลจากงานวิจัยเรื่อง ‘การกำกับดูแลเนื้อหารายการวิทยุและโทรทัศน์ของ กสทช. ระหว่างปี พ.ศ. 2565 – 2567‘ ของ อ.พรรษาสิริ กุหลาบ ที่ระบุว่า ระหว่างปี พ.ศ.2565-2567 รายการ Hard Talk ดังรายการนี้ ติดหนึ่งในห้ารายการโทรทัศน์ที่ถูกร้องเรียนต่อ กสทช. มากที่สุด
ในอดีต หนุ่ม-กรรชัย เคยให้สัมภาษณ์ไว้หลายครั้งถึงบทบาทที่เขาอยากจะเป็น พร้อมชี้แจงถึงสารพัดเสียงวิจารณ์ ทั้งการเป็นศาลเตี้ย, ทำตัวเป็นคนกลาง ไม่ใช่สื่อกลาง ไปจนถึงการเป็นผู้มีอิทธิพล
- ชื่อรายการ ‘โหนกระแส’ ก็ชัดเจนว่า อะไรที่เป็นกระแสจะหยิบมาเล่นทั้งหมด และจะไม่สัมภาษณ์แค่เรื่องราวดี ๆ โลกสวย เพราะส่วนตัวมองโลกเป็นสีเทา มีมิจฉาชีพแฝงตัวมาทุกรูปแบบ ถ้านำเสนอแต่ด้านดี คนจะไม่รู้ทัน (ให้สัมภาษณ์ The STANDARD ปี พ.ศ.2564)
- ชี้แจงเรื่อง ‘ศาลเตี้ย’ ชอบไปตัดสินคนนั้นคนนี้ ยืนยันว่าไม่ได้ตัดสิน แค่พูดตามบริบทของสังคม บางครั้งแขกรับเชิญมาแค่ข้างเดียว ก็ต้องพูดในอีกมุม แล้วให้ผู้ชมตัดสิน “ส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องความเป็นกลาง แต่ความเป็นธรรมจะต้องมี” (ให้สัมภาษณ์รายการเล่าก็เล่าวะของน้าเน็ก–เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา เมื่อปี 2566)
- อธิบายเรื่องการเป็นคนกลางนำเช็คไปมอบให้ครอบครัวผู้เสียหายในคดีแพรวา จนถูกวิจารณ์ว่าทำเกินหน้าที่สื่อฯ “การเป็นสื่อ มันคือการที่คนต้องพึ่งพาเราได้ด้วย และต้องพึ่งพาได้ในหลายๆ เรื่อง ไม่ใช่แค่พึ่งพาในเรื่องการนำเสนอข่าวอย่างเดียว จบแล้วแยกย้ายไป” (ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปี พ.ศ.2563)
- ปฏิเสธการเป็น ‘ผู้มีอิทธิพล’ แต่หากมีอิทธิพลจริง ก็จะนำสิ่งนั้นไปทำให้สังคมดีขึ้น ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก (ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชน ปี พ.ศ.2563)
4. สิ่งที่คนไทยควรคาดหวังจากรายการ Hard Talk
ที่ผ่านมา รายการสัมภาษณ์ประเภท Hard Talk จะถูกหยิบมาพูดคุยถกเถียงในแวดวงวิชาการเสมอว่า ถือเป็นรายการข่าวหรือไม่ เพราะเนื้อหาบางเทปก็ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นประเด็นข่าว หรืออาจมีการนำเสนอเนื้อหาที่สุ่มเสี่ยงต่อจริยธรรม จนถูกร้องเรียนและตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่หน่วยงานกำกับดูแล เช่น กสทช. อาจจะต้องปวดหัวต่อไป
ในสภาพสังคมที่บิดเบี้ยว กลไกต่าง ๆ ของภาครัฐไม่ทำงาน กระบวนการยุติธรรมไม่ตอบโจทย์ ผู้ถือกฎหมายบางคนกลายเป็นอาชญากรเสียเอง เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา แทนที่คนจะหันไปพึ่งพากลไกแก้ปัญหาที่มีอยู่แล้ว กลับพุ่งเข้ามาหาสื่อฯ ให้ทำหน้าที่อันหลากหลาย ไม่เพียงนำเสนอข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ครบถ้วน และรอบด้านเท่านั้น
ไม่แปลกที่รายการ Hard Talk ดังหลายรายการจะถูกเรียกหา ในเมื่อไปออกรายการนี้แล้ว เสียงของฉันจะดังขึ้น ปัญหาจะถูกใส่ใจจากผู้มีหน้าที่ หรือกระทั่งถูกแก้ไขอย่างฉับพลันทันใด
แต่เรา-ในฐานะประชาชน ก็ควรกลับมาตั้งคำถามและทบทวนอยู่เสมอว่า แล้วสื่อฯ ควรจะมี ‘เส้น’ อะไรที่ไม่ควรข้าม เพื่อให้ยังสามารถทำ ‘หน้าที่’ ได้อย่างเหมาะสม ยังสามารถเป็นกระบอกเสียงและช่วยเหลือผู้คนได้ โดยที่ไม่กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเสียเอง
ความเห็นล่าสุด